บท
ตั้งค่า

บทที่ 2 พลอยวดี

พิพรรธนั่งเงียบไปครู่ใหญ่เมื่อวรพรตเล่าเรื่องที่เกิดกับหลานสาวจบลง พลอยวดียังเด็กเกินไปกับการมีความรัก เขาไม่โทษหลานแต่เขาโทษผู้ชายคนนั้น

“ยัยพลอยต้องไม่ตายฟรี ผมจะทำให้พวกมันสูญเสียเหมือนที่มันทำกับเรา”

เขาเอ่ยออกมา ดวงตาที่มองรูปภาพหน้าศพหลานมีแต่ความโกรธวิ่งวนอยู่ในนั้น วรพรตถอนใจเป็นครั้งที่เท่าไหร่เขาไม่สนใจจำแต่เขาต้องห้ามพิพรรธ

“พรรธ ยัยพลอยจากเราไปแล้วให้หลานไปอย่างสงบเถอะ อย่าไปทำร้ายคนที่เขาไม่รู้เรื่องเลย”

“ไม่รู้เรื่องหรือครับ ถ้าไม่รู้เรื่องยัยพลอยจะเป็นแบบนี้มั้ย ผมไม่อยู่เฉยหรอกครับพี่ ผมจะกลับไปเรียนแล้วจะกลับมาคิดบัญชีกับพวกมัน”

“พรรธ..พี่ขอละ อย่างสร้างเวรต่อกันเลยนะ”

“พี่ไม่ทำก็อยู่เฉยๆ ผมจะทำเพื่อหลานสาวคนเดียวของผม”

ชายหนุ่มลุกเดินออกจากห้องโถงซึ่งจัดเป็นที่ตั้งศพ เขาจะทำอย่างที่พูดเพื่อหลานสาวของเขา ผู้ชายที่เป็นต้นเหตุของการจากไปทั้งที่ยังไม่ถึงเวลาอันควรของพลอยวดีจะต้องพบแต่ความทุกข์ ชื่อโมไนยจะติดอยู่ในใจของเขาจนกว่าการแก้แค้นจะสิ้นสุดลง...

ดวงจันทร์กลมโตเหมือนจะใหญ่กว่าปกติสาดแสงผ่านใบไม้เป็นช่องตกถึงร่างสูงของชายหนุ่มที่ยืนนิ่งอยู่ใต้ต้นไม้หลังบ้าน สายตาทอดมองทิวแถวต้นองุ่นซึ่งอยู่ไกลจากตัวบ้านพอประมาณ กี่ปีแล้วที่เขาอยู่กับหมู่ไม้พวกนี้ เขามาอยู่ตั้งแต่พื้นดินยังเป็นป่าหญ้ารก เจ้าของที่บอกขายเมื่อมาโนชมาติดต่อขอซื้อ

หลังจากนั้นพื้นที่ว่างเปล่าไร้คุณค่าเริ่มปรับดิน ปลูกต้นไม้ ปลูกบ้านบนเนินเขาสามารถมองเห็นทิวทัศน์และพืชไร่ได้รอบทิศทางเพียง 3 ปีผ่านไป ต้นไม้ที่โมไนยสั่งให้สินธพบอกคนงานปลูก เจริญเติบโตให้เจ้าของชื่นใจแต่โมไนยไม่มีโอกาสชื่นชมต้นไม้พวกนั้นในตอนกลางวัน เขาออกมาเดินดูไร่ในยามวิกาล ความยินดีมีบ้างที่ต้นไม้กำลังทำหน้าที่ของมันอย่างดีเยี่ยมแต่การมองเห็นตอนกลางคืนไม่เหมือนเห็นตอนกลางวันมันต่างกันมากทีเดียว

สินธพรายงานความเปลี่ยนแปลงของสวนองุ่น ผลิตผลของไม้ผลอื่นๆ ที่ปลูกผสมผสานตามคำสั่งของโมไนย เนื้อที่เกือบ 1 พันไร่ไม่ใช่ของเล่นที่ชายหนุ่มจะสั่งเพียงอย่างเดียวแล้วสำเร็จลุล่วงดังใจ เขาต้องลงไปดูการทำงานด้วยตัวเองบ้างแต่การออกไร่ในตอนกลางวันเขาต้องสวมหมวกผ้าปิดหน้าเหลือเพียงลูกตา คนงานต่างสงสัยว่าทำไมนายใหญ่จึงต้องปกปิดใบหน้าทุกครั้งที่ออกไร่

แต่ไม่มีใครกล้าถามนายใหญ่ มีบางคนกระซิบถามนายน้อยอย่างเกรงใจก็ได้คำตอบสั้นๆ และเข้าใจง่ายว่า

“เขาร้อน ไม่อยากให้แดดถูกหน้า”

โมไนยก้าวเรื่อยๆ ลงเนินสนามหญ้าสู่ประตูรั้วไม้เตี้ยสีขาว เขาออกมาเดินเล่นทุกคืนที่นอนไม่หลับและเลือกเฉพาะคืนเดือนหงายซึ่งเขาจะได้เห็นธรรมชาติแห่งราตรีไปพร้อมกับของในไร่แต่เขาไม่เคยรู้สึกมีความสุขสักครั้งที่เดินอาบแสงจันทร์อย่างนี้

ลมยามดึกพัดวูบปะทะใบหน้ายับย่น เขาหลับตาสูดลมหายใจลึกๆ ผ่อนออกมาช้าๆ ลืมตาขึ้นมองตรงไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย เงาสีดำปรากฏเบื้องหน้าของเขา เสียงหัวเราะแหลมลึกดังมาจากร่างนั้น เขาถอยเท้ารวดเร็ว หมุนตัวออกวิ่งกลับไปที่บ้านแต่พอวิ่งได้ไม่กี่ก้าวก็ต้องชะงักเพราะร่างหญิงสาวผมยาวปิดหน้าขวางทางไว้

“ฮะ ฮะ ฮะ ฮะ ฮะ ฮ่ะ ๆๆ”

เขาถอยห่างและวิ่งออกไปด้านข้างแต่เงาดำก็ดักทางไว้อีก เขาวิ่งไปอีกทางก็ถูกดักพร้อมเสียงหัวเราะบาดไปถึงหัวใจ ขนลุกชัน ตัวเย็นเฉียบ

“หยุดเสียที หยุดจองเวรกับฉันเสียที หยุดเสียที”

เขาตะโกนแหวกความมืดมิด เสียงก้องสะท้อนกลับมาที่ตัวเอง ร่างสูงทรุดลงคุกเข่ากับพื้น ใบหน้าปีศาจกระตุก มือสองข้างกุมที่หน้าท้อง เสียงหัวเราะดังวนเวียนรอบตัว ร่างหญิงสาวชุดขาวลอยหมุนไปรอบๆ

“หยุดเสียที หยุด..ฉันบอกให้หยุด หยุด.....”

โมไนยยกมือกำแน่นขณะตะเบ็งเสียงออกไป เสียงฝีเท้าวิ่งใกล้เข้ามา เสียงหัวเราะยังคงดังก้องอยู่ในหู แสงจันทร์กระจ่างพร่ามัว ร่างหญิงสาวหยุดนิ่งอยู่ตรงหน้า มือยาวยื่นออกมาแตะที่ลำคอของเขารวดเร็ว ลมหายใจขาดเป็นห้วง

เขายกมือขึ้นแกะมือเย็นราวกับก้อนน้ำแข็งออกแต่มันไม่ขยับแม้แต่น้อย ร่างค้อมเอนล้มฟุบลงกับพื้น เสียงหัวเราะและทุกสรรพสิ่งรอบข้างหยุดนิ่งพร้อมกับแสงจันทร์ดับวูบลง...

สินธพนั่งมองพี่ชายด้วยความรู้สึกกังวล โมไนยออกจากบ้านไปในไร่ทุกคืนเดือนเต็มดวงและทุกครั้งพี่ชายของเขาหมดสติอยู่ในไร่หรือไม่ก็ใต้ต้นไม้ใหญ่หลังบ้าน คืนนี้ก็เหมือนคืนก่อนๆ เขาสะดุ้งตื่นกลางดึกเพราะเสียงของโมไนย เขาวิ่งออกจากห้องนอนลงชั้นล่างตรงไปห้องคนรับใช้เคาะประตูปลุกดวงดี

ดวงดีรู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นกับนายใหญ่ เขาวิ่งตามสินธพออกจากบ้านและก็เป็นอย่างที่พวกเขาคิด โมไนยฟุบอยู่กับพื้นหญ้าห่างจากต้นไม้ใหญ่ประมาณ 100 เมตร ดวงดีอุ้มนายกลับเข้าบ้านโดยไม่ต้องรอคำสั่งจากสินธพ

วิไลเช็ดตัวให้นายแล้วออกจากห้องไป ดวงดีเดินตามภรรยาปล่อยให้สินธพนั่งมองพี่ชายเพียงลำพัง โมไนยพบกับสิ่งน่าหวาดกลัวอีกแล้ว เขาเชื่ออย่างนั้น เสียงร้องราวกับคนเสียสตินั้นบอกชัดว่าโมไนยกำลังเผชิญหน้ากับสิ่งเร้นลับที่สินธพมองไม่เห็น ดวงดีและวิไลไม่เห็นเช่นกัน

“พี่ไนย พี่ไนยครับ”

สินธพเรียกพี่ชายเมื่อร่างที่นอนเหยียดยาวไม่ได้สติเกือบชั่วโมงขยับแขนที่วางพาดอยู่บนหน้าอก เสียงน้องชายดังอยู่ใกล้ๆ โมไนยลืมตาขึ้นมองแล้วลุกพรวด ขยับถอยห่างน้อง

“อย่า..”

“พี่ไนย ผมเอง สินครับพี่”

สินธพยกมือขึ้นแบสองข้างรีบบอกชื่อตัวเองกับพี่ชายก่อนที่จะถอยหนีตกเตียงอีกด้านหนึ่ง ครั้งนี้โมไนยหวาดกลัวกว่าทุกครั้ง สิ่งที่พี่ชายของเขาเห็นคืออะไรกันแน่

“พี่ไนย ใจเย็นๆ นะครับ ผมเอง ผมกับพี่ดวงไปเจอพี่ที่ทางลงไปไร่องุ่น พี่ไปทำไมครับ พี่บอกผมไม่ใช่หรือครับว่าพี่ไม่ชอบคืนเดือนหงาย”

“พี่ไม่รู้ พี่..อยากไปเดินเล่น”

โมไนยพยายามจะอธิบายให้น้องชายฟังถึงสิ่งที่เขาประสบมาแต่เขาเล่าไม่ได้พูดไม่ออก ภาพที่เขาเห็นมันตามหลอน หญิงสาวชุดขาวใบหน้าซีดจ้องหน้าเขา หัวเราะเสียงแหลม ดวงตาเหลือกมีแต่ตาขาวที่บ่งบอกถึงความโกรธแค้น

“พี่อยากพัก แกไปนอนเถอะ ขอบใจที่ช่วยพี่ ไปนอนได้แล้ว”

“นอนไม่หลับแล้วละครับ ผมจะเคลียร์เอกสารที่ค้างอยู่ ถ้าพี่อยากได้อะไรเรียกพี่ดวงกับพี่วิไลได้ สองคนนั่นอยู่ที่ครัว”

“ขอกาแฟแก้วเดียว”

“ได้ครับ เดี๋ยวผมจะให้พี่ดวงเอามาให้”

สินธพเดินออกจากห้องพี่ชาย เขาแอบถอนใจหลายครั้งกับเหตุการณ์ซ้ำซากในคืนขึ้น 15 ค่ำ โมไนยเดินออกจากบ้านเพื่อพบกับความน่ากลัว เหมือนมีใครเรียกเขาออกไป นอกจากคืนจันทร์เต็มดวง มีบางวันที่โมไนยร้องขอความช่วยเหลือแต่พอสินธพหรือดวงดีวิ่งไปหาก็ไม่เห็นอะไรนอกจากอาการสั่นสะท้าน หวาดกลัว รนรานหนีของโมไนย

สินธพปรึกษาพ่อกับแม่เพื่อพาพี่ชายไปรักษาตัวต่างประเทศแต่โมไนยไม่ยอม เขาปกติดีทุกอย่าง มาโนชจึงหาหมอมาตรวจอาการของลูกชายที่ไร่นับดาว ผลออกมาว่า โมไนยไม่เป็นอะไร มาโนชกับสาลินีสบายใจเรื่องหนึ่งแต่ทุกข์ใจกับใบหน้าของลูก ทำอย่างไรโมไนยก็ไม่ยอมเข้ารับการผ่าตัด ไม่ยอมออกจากไร่นับดาว

“สิน พี่ไปด้วย ให้พี่ดวงเอากาแฟไปที่ห้องทำงาน”

โมไนยเดินนำน้องชายออกจากห้อง เขานอนไม่หลับและไม่อยากอยู่เพียงลำพัง ดวงดีถือเหยือกใส่กาแฟกับแก้วเข้าไปในห้องทำงาน เขากับภรรยารู้หน้าที่ว่าควรทำอย่างในเมื่อโมไนยนอนไม่หลับ

เวลาผ่านไป 10 กว่าปีแต่วิญญาณอาฆาตของหญิงสาวไม่ยอมเลิกรา โมไนยจมอยู่กับความหวาดผวาและความทุกข์ที่เขาไม่มีเจตนาก่อมันขึ้นมา เขารู้ข่าวการเสียชีวิตของพลอยวดีเมื่อกลับจากโรงพยาบาลซึ่งพิธีศพของหล่อนเสร็จเรียบร้อยไปนานแล้ว

ไม่มีใครในบ้านไปร่วมไว้อาลัยกับการจากไปของหล่อน สินธพจะไปแต่มาโนชห้ามไว้ พ่อบอกกับเขาว่า

“เราไม่ใช่คนผิด ทำไมเราต้องไป ลูกชายพ่อเกือบตายก็เพราะเขา ถ้าตาไนยตายล่ะพวกเขาจะมามั้ย ตาสินไม่ต้องไป ไอ้ดวงบอกพ่อว่าแม่ของเด็กนั่นประกาศเป็นศัตรูกับเรา มันเรื่องอะไรมาโทษเรา ลูกตัวเองทำคนอื่นไว้แท้ๆ ไม่คิด”

“พ่อครับ อโหสิกรรมให้เธอเถอะครับ เธอไม่ได้ตั้งใจ”

สินธพเข้าใจความรู้สึกของพ่อแต่เมื่อพลอยวดีเสียชีวิตไปแล้วความโกรธก็ควรหยุดไปด้วย สาลินีมองหน้าลูกชายคนเล็กแล้วเอ่ยขึ้น

“ตาสิน เราอโหสิแล้วพวกเขาล่ะอโหสิมั้ย ประกาศลั่นขนาดนั้นแม่ยอมไม่ได้หรอก ถ้าเขาคิดจะทำร้ายลูกของแม่อีกไม่ว่าจะเป็นแกหรือตาไนย แม่สู้ตาย แม่ไม่กลัวมันหรอกไอ้พวกมีสีมีเส้น มันมีได้แม่ก็มีได้”

สาลินีจะแจ้งความเอาผิดกับพลอยวดี สินธพขอร้องไว้เพราะอย่างไรพลอยวดีก็จบชีวิตของหล่อนไปแล้วแต่เขาไม่สามารถขอร้องให้แม่กับพ่อหายโกรธได้

โมไนยไม่มีโอกาสเข้าเรียนมหาวิทยาลัยแต่เขาเรียนอยู่กับบ้านถึงเวลาสอบของมหาวิทยาลัยเปิดเขาไปสอบด้วยการปิดหน้า สินธพขออนุญาตอาจารย์คุมสอบซึ่งสิ่งนี้โมไนยกลายเป็นจุดสนใจของผู้ที่เข้าสอบและมีคำถามตามมามากมาย สินธพตอบคำถามเหล่านั้นแต่สายตาหลายคู่ไม่เชื่อว่าโมไนยปิดหน้าเพราะผื่นพิษจากอาหาร

แม้ต้องเจอปัญหาสังคมภายนอกแต่ชายหนุ่มก็สามารถเรียนจบปริญญาโทด้านบริหารจากมหาวิทยาลัยชื่อดังของประเทศได้

เขาค้นหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตเมื่อต้องการรู้เรื่องที่อยากรู้ เขาสามารถเป็นเจ้าของไร่นับดาวโดยไม่ต้องเรียนมหาวิทยาลัยเกษตร สินธพช่วยพี่ชายด้วยการเรียนเกษตรโดยตรงจากมหาวิทยาลัยกระทั่งจบปริญญาโทและเข้ามาบริหารไร่กับพี่ชาย เขาทิ้งพี่ไปเรียนต่อต่างประเทศไม่ได้

มาโนชและสาลินีบินกลับมาเยี่ยมลูกทุกครึ่งปีเมื่อเห็นความเข้มแข็งของโมไนยพวกเขาก็สบายใจกลับไปทำงานโดยไม่กังวลเรื่องลูกชายคนโตอีก โมไนยทำตัวเป็นผู้นำที่ดีแต่เวลาอยู่คนเดียวเขากลายเป็นคนอ่อนแอและหวาดกลัว เวลา 10 ปีไม่ได้ช่วยให้ใจของเขาเข้มแข็งได้เลย

เขาระแวงทุกครั้งที่มีคนถือขวดแก้วเดินผ่านมา อาการเครียดปรากฏที่มือ หายใจติดขัดและสุดท้ายหนีอย่างน่าสงสาร

สินธพสั่งห้ามคนงานทุกคนเข้ามาในบ้าน หากมีปัญหาเรื่องงานให้บอกดวงดีหรือวิไล เขาจะออกไปพบที่ศาลาประชุมประจำสัปดาห์ซึ่งอยู่ห่างจากตัวบ้าน 200 เมตร ไม่มีใครเห็นหน้านายใหญ่สักคนยกเว้นดวงดีและวิไล เวลาที่โมไนยออกไปดูงานในไร่เขาจะสวมหมวกผ้าปิดใบหน้าทั้งหมดเห็นแค่ลูกตาซึ่งคนงานเดาใบหน้าแท้จริงของนายไม่ได้ว่าเป็นอย่างไร

เวลาผ่านไปพวกคนงานคุ้นชินกับการไม่ได้เห็นหน้านายใหญ่แต่รับรู้ถึงความใจดีมีเมตตาของนายพวกเขาจึงไม่ต้องการเห็นหน้าว่าจะเป็นอย่างไร พวกเขาคิดกันไปเองว่า นายโมไนยหน้าตาดีเช่นเดียวกับนายสินธพที่มีใบหน้าเกลี้ยงเกลา ผิวพรรณดีเหมือนผู้หญิง จมูกโด่ง ดวงตาคม คิ้วเข้ม ปากบางสีชมพูแต่นายใหญ่สูงกว่านายน้อย

โมไนยรินกาแฟใส่แก้ว มือสั่นเล็กน้อย ภาพของปีศาจสาวยังวนเวียนอยู่ในสมอง เขายกแก้วขึ้นแตะริมฝีปาก รสชาติกาแฟทำให้คลายความกลัวได้มากทีเดียว สินธพมองพี่ชายตลอดเวลา

“พี่ไนย พรุ่งนี้ไปออฟฟิศมั้ยครับ เกษตรอำเภอเขามาขอพบผม เขาจะมาแนะนำการทำปุ๋ยอินทรีย์กับน้ำหมักใช้กับผลไม้”

สินธพดึงพี่ชายเข้ามาเรื่องงานเพื่อให้ลืมเหตุการณ์สยองขวัญไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา โมไนยไม่มองหน้าน้องชายแต่พูดเสียงเรียบ

“มาพบทำไม เราทำอยู่แล้ว เรื่องเดิมๆ หาเรื่องมาพบแกเพราะสาเหตุอื่นรึเปล่า”

“คงไม่หรอกครับ เธอเป็นเกษตรอำเภอคนใหม่เพิ่งบรรจุมาครับ”

“อยากทำผลงาน ทำไมไม่ไปสอนชาวบ้าน มาถึงไร่เราทำไม”

ความระแวงยังไม่จางไปจากความคิด เขายกกาแฟขึ้นดื่ม สินธพมองพี่แล้วยิ้ม เขาเข้าใจความรู้สึกของพี่ว่าคิดอย่างไร

“เธออยากขอความร่วมมือให้ชาวบ้านมาดูด้วยน่ะครับ ชาวบ้านแถบนี้รู้จักไร่เรา”

“ผู้หญิงใช่มั้ย”

โมไนยไม่สนใจเหตุผลแต่สนใจคำว่า เธอ ที่สินธพเรียกแทนเกษตรอำเภอคนใหม่

“ใครครับ”

“เกษตรอำเภอที่แกพูดถึงน่ะสิ เป็นผู้หญิงใช่มั้ย”

“ครับ ผู้หญิง ชื่อใจดีครับ”

สินธพเอ่ยชื่อหญิงสาวพรางจ้องหน้าพี่ชาย อยากรู้ว่าพี่สนใจกับชื่อของเกษตรอำเภอสาวหรือไม่ ใบหน้าพังผืดกระตุกนิดหนึ่ง ดวงตาวาวไหว

“ชื่ออะไรนะ”

โมไนยสบตาน้องชาย เขาไม่แน่ใจว่าได้ยินชื่อที่น้องชายพูดถึงนั้นถูกต้องหรือไม่ คนอะไรจะชื่อง่ายๆ อย่างนั้นแต่ได้ยินแล้วสบายใจจนอยากเห็นหน้า

“ชื่อใจดีครับ นางสาวใจดี สมปรารถนา”

“ฮะ ฮะ ฮะ ๆ”

โมไนยเผลอหัวเราะออกมาและเสียงนั้นค่อนข้างดังจนคนในห้องครัวได้ยิน สินธพเลิกคิ้วสูงดวงตาเบิกกว้างกับเสียงหัวเราะและรอยยิ้มของพี่ชาย เขาไม่เคยได้ยินเสียงนี้ไม่เคยเห็นรอยยิ้มของพี่อีกเลยนับจากวันที่พี่เข้าโรงพยาบาล

ชื่อเกษตรอำเภอคนใหม่มีอิทธิพลต่อความรู้สึกของโมไนยมากเพียงนี้ทีเดียวหรือ ความหวังที่จะได้เห็นโมไนยคนเดิมผุดขึ้นในใจของสินธพ เขายิ้มไปกับความเปลี่ยนแปลงแบบปุ๊บปั๊บของพี่ชาย

ดวงดีกับวิไลวิ่งออกจากครัวตรงไปที่ห้องทำงานของนาย เสียงหัวเราะหยุดลง เท้าของทั้งคู่หยุดตามไปด้วย

“พี่ดวง เสียงเงียบไปแล้ว เราหูฝาดรึเปล่าพี่”

วิไลมองไปที่ห้องทำงาน ปากถามสามีอย่างไม่มั่นใจ ดวงดีพยักหน้าแล้วว่า

“นั่นสิ หูฝาดรึเปล่าวะ”

“ไปดูกันพี่ ให้มันรู้ไปเลยว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องทำงานนาย ไปพี่”

วิไลไม่รอคำตอบจากสามีว่าจะไปพิสูจน์เสียงหัวเราะหรือเปล่า หล่อนวิ่งนำไปหยุดหน้าห้องทำงานเจ้านายหนุ่ม ยกมือเคาะประตูสามครั้ง

“เข้ามา”

สินธพเอ่ยอนุญาต ไม่ต้องถามว่ามีอะไรเขาก็พอจะรู้ว่าสองสามีภรรยาเคาะประตูทำไม เสียงหัวเราะของโมไนยไม่เบานักและคนที่อยากรู้อย่างวิไลมีหรือจะไม่รีบมาที่นี่

ประตูห้องเปิดออก วิไลก้าวเข้ามาตามด้วยดวงดี ทั้งสองมองสินธพก่อนจะเบนสายตาไปที่เจ้านายใหญ่

“มีอะไร ทำหน้าประหลาด”

โมไนยถามเสียงเครียด เขาเพิ่งรู้ตัวว่าหัวเราะและเป็นการหัวเราะอย่างมีความสุข เขาไม่เคยรู้สึกอยากทำเช่นนี้มานานมากแล้ว ความเจ็บปวดทั้งร่างกายและหัวใจทำให้เขาลืมเสียงหัวเราะ ลืมรอยยิ้ม ลืมความร่าเริงที่เป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของเขาจนหมดสิ้น

นิสัยร่าเริง ยิ้มเก่ง ใจดีเป็นสาเหตุของความสูญเสียที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดกับชีวิตของเขาแต่ในความโชคร้ายก็ยังโชคดีที่ยังมีลมหายใจอยู่ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกอยากหัวเราะ

“เราได้ยินเสียงหัวเราะค่ะ คุณไนยหัวเราะหรือคะ พี่จำได้แม่น คุณสินหัวเราะคนละอย่างกับคุณไนย เสียงคุณไนยเพราะกว่าคุณสิน”

“พี่วิไล หักเงินเดือนครึ่งเดือน ชมแต่พี่ไนยคนเดียว เสียงฉันไม่เพราะรึไง”

สินธพแทรกขึ้นอย่างอารมณ์ไม่ดีแต่ในใจของเขาลิงโลดยินดีจนอยากจะกระโดดกอดพี่ชาย สัญญาณดีๆ อย่างนี้ ใครบ้างจะไม่ดีใจ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel