Chapter 6 ยัยปลาทอง
ชายหนุ่มย่อตัวลงนั่งบนส้นเท้าตรงหน้าหญิงสาว ขายาวๆ คร่อมตัวเธอเอาไว้ โน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ ยกนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้บีบจมูกหญิงสาวอย่างมันเขี้ยว
“นี่ยัยปลาทอง...จำไม่ได้หรือไงว่าวันนี้เพิ่งโดนคาดโทษมา อย่ามาทำเป็นอวดเก่ง”
“แค่คุณเป็นห่วงฉันก็ดีใจแล้ว” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นบอกอย่างมีความสุข
“ฉันกำลังดุ นี่เธอจะดื้อด้านไปถึงไหน”
“ก็จะให้ทำอย่างไรล่ะ ฉันขึ้นมาแล้ว” หญิงสาวบอกเสียงอ่อยเหมือนสำนึกผิด
ชายหนุ่มจับแขนหญิงสาวให้ขยับลุกขึ้นตาม แล้วจูงแขนอีกฝ่ายพาเดินกลับเข้าไปในห้องของตัวเอง เขาเห็นความดื้อด้านของหญิงสาวมาตลอดสี่ปี จากความระอาเลยกลายเป็นความเคยชิน และความดื้อดึงของเธอก็ทำให้เขายิ้มออกมาได้เองคนเดียว เพราะในที่สุดเขาก็โกรธเธอไม่ลง ทั้งที่ปฏิเสธตัวเองว่าไม่ใช่ความรัก
“งั้นก็มานี่แล้วกัน แต่อีกสามชั่วโมงเธอต้องลงไปนะ”
ปาจรีย์ยิ้มแป้นมองมือใหญ่ที่จูงมือของเธออย่างมีความสุข เธอต้องการจากเขาเพียงเท่านี้เอง ความสุขจากการถูกเอาใจใส่ แม้จะโดนดุทุกครั้ง แต่เธอก็มองออกว่าเขาเป็นผู้ชายที่อ่อนโยนที่สุดในโลก
คนจูงมือหันกลับมามองหญิงสาวอีกครั้ง พอเห็นรอยยิ้มเต็มวงหน้าของเธอก็อดดุอีกครั้งไม่ได้
“ฉันกำลังโกรธ” เขาบอกเสียงเข้มอีกครั้ง
แทนที่จะกลัว หญิงสาวกลับยิ้มตาหยี “เอ็นดูยัยปลาทองตัวนี้ด้วยนะคะ ตอนนี้อดนอนอาจจะจำทางกลับบ้านไม่ได้ ถ้าได้งีบบนโซฟาสักสองสามชั่วโมงน่าจะดี”
ชายหนุ่มกลั้นยิ้ม แต่หญิงสาวก็เห็นริมฝีปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย แค่นี้ก็พอแล้วสำหรับเธอ หญิงสาวเลือกที่จะไม่พูดต่อ หากเก็บความรู้สึกทั้งหมดไว้ในหัวใจ
“วันนี้ฉันเพลียกับการแข่งขัน ต้องการการพักผ่อน หวังว่าตื่นขึ้นมาจะไม่เจอเธอในห้อง สร้างปัญหาให้ฉันต้องปวดหัวอีกนะ” ชายหนุ่มบอกทิ้งท้ายก่อนจะเดินเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง
ตรงที่หญิงสาวยืนอยู่เป็นโซนพักผ่อน โฮมเธียเตอร์ชุดใหญ่กับเครื่องออกกำลังกายหลายชิ้นบ่งบอกให้รู้ว่ากิจวัตรประจำวันของเจ้าของห้องเป็นอย่างไร หญิงสาวทิ้งตัวลงบนโซฟาตัวใหญ่ เธอหันไปอมยิ้มกับประตูบานใหญ่ที่เจ้าของห้องเพิ่งเดินเข้าไป
“ขอบคุณที่คุณเป็นห่วงฉัน ฉันหวังว่าสักวันฉันจะมีพื้นที่ในหัวใจคุณมากกว่านี้...Happy Valentine my darling...” หญิงสาวบอกผ่านบานประตูเบาๆ ก่อนจะทิ้งศีรษะลงบนหมอนและปิดตาลงอย่างเปี่ยมสุข
ความเย็นของอากาศทำให้หญิงสาวห่อตัว ซุกหน้าหาความอบอุ่น หากแต่แสงที่แยงตาทำให้เธอต้องรีบซุกหน้าลงกับหมอน ทว่าความรู้สึกแปลกๆ บางอย่างกลับเกิดขึ้นในหัว
“ทำไมวันนี้แม่ไม่ปลุก” หญิงสาวรำพึงกับตัวเอง มารดาของเธอแต่งงานกับชาวอเมริกันและเปิดร้านอาหารไทยเล็กๆ หน้าที่อีกอย่างหนึ่งของหญิงสาวคือเดินจับจ่ายซื้อของเข้าร้านให้มารดา
ครอบครัวของปาจรีย์เป็นครอบครัวที่ค่อนข้างยากจนในดินแดนแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ปรานีมารดาของเธอแต่งงานกับผู้ชายไทยสองครั้ง ครั้งแรกแต่งด้วยความพลาดพลั้งเพราะตั้งท้องปาจรีย์ แต่เพราะไม่ได้ศึกษานิสัยใจคอกันนาน แต่งไปได้ไม่กี่เดือนสามีคนแรกของนางก็เจ้าชู้มีเมียน้อยไม่ว่างเว้นทั้งที่จนแสนจน ทั้งคู่เลิกกันในวันที่ปาจรีย์อายุยังไม่ถึงหนึ่งขวบ
นางปรานีแต่งงานใหม่อีกครั้ง แต่สามีคนที่สองกลับยิ่งเจ้าชู้กว่าสามีคนแรกจนต้องเลิกรากันไป นางปรานีเข็ดขยาดกับความรัก แต่สุดท้ายฟ้าก็เห็นใจแม่ม่ายลูกติดส่งรักแท้มาให้ นางแต่งงานกับผู้ชายอเมริกันวัยปลดเกษียณ แม้จะแก่แต่เขาก็ดูแลนางกับลูกเป็นอย่างดี
นางปรานีหอบหิ้วลูกสาววัยห้าขวบเดินทางมาอยู่อเมริกาตั้งแต่ตอนนั้น กระทั่งตอนนี้ปาจรีย์อายุยี่สิบห้าปี ส่วนสามีของนางปรานีก็เสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อนด้วยวัยชรา ทิ้งที่ดินและสมบัติบางส่วนให้นางไว้เก็บกินยามแก่ และหนึ่งในนั้นก็คือร้านอาหารไทยที่นางดูแลอยู่ในขณะนี้
ปาจรีย์ค่อยๆ ยกคอขึ้นจากหมอน กะพริบตามองแสงสว่างด้านนอก บรรยากาศรอบห้องทำให้เธอเผลอกระโดดออกจากโซฟาที่เธอนอนอยู่ทั้งคืนทั้งที่ตั้งใจจะงีบแค่สองสามชั่วโมงเท่านั้น หญิงสาวควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋าเสื้อคลุมที่เธอสวมมา
“ทำไมนาฬิกาไม่ปลุก” หญิงสาวรำพึงกับตัวเอง
ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะค้นหาโทรศัพท์เจอ เจ้าของห้องก็เปิดประตูออกมาเสียก่อน
“ทำไมยังไม่กลับ” เขาถามเสียงเขียวทันทีที่เห็นหญิงสาวยังอยู่ในห้องของตัวเองทั้งที่เธอรับปากเอาไว้ว่าจะกลับ
“เด็กสร้างบ้านอย่างเธอเชื่อถือไม่ได้เลยสักครั้งสินะ” แววตาคมที่จ้องมองปาจรีย์ไม่แตกต่างจากเสียงมากนัก เขาเดินเข้าไปหาตัวเธอพร้อมกับหย่อนก้นลงนั่งบนขอบโซฟา ห่างจากตรงที่หญิงสาวนั่งพอสมควร
“เอ่อ...นาฬิกาไม่ปลุก” หญิงสาวอ้อมแอ้มตอบ ไม่กล้าสบตาชายหนุ่ม เพราะรู้ว่าคำพูดที่หลุดออกมาจากปากของเธอเมื่อครู่ก็แค่คำแก้ตัวที่ฟังไม่ขึ้น
ใบหน้าของหญิงสาวเจื่อนลงเหมือนรู้สึกผิดจริงๆ จับกระเป๋าเป้ของเธอมาค้นหาของแก้เขิน
“นี่คือเหตุผลที่ดีที่สุดของเธอแล้วใช่ไหม ให้มันได้อย่างนี้สิน่า” ชายหนุ่มสบถออกมา ตั้งใจจะโกรธแต่พอเห็นอาการของหญิงสาวก็ทำใจโกรธไม่ได้สักครั้ง
สายตาคมหรี่มองคนที่มัวแต่สนใจของในกระเป๋ามากกว่าจะฟัง ผ่านไปสักพักคนนั่งมองก็เกิดอยากรู้ขึ้นมา “แล้วนั่นหาอะไร ถามไม่ได้ยินหรือไง”
“ก็ฉันไม่มีอะไรจะแก้ตัว คุณจะลงโทษอย่างไรก็ได้ แต่ช่วยพาฉันกลับออกไปจากที่นี่ที ถ้าเจ้านายไร้เหตุผลคนนั้นรู้เข้า ฉันกลัวถูกไล่ออก”
“หึๆ” ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ เลิกคิ้วสูงมองหน้าหญิงสาว “ตอนนี้กลัวเป็นแล้วหรือ”
หญิงสาวเอียงหน้าหลบทำปากขมุบขมิบแอบบ่นที่เขารู้ทันเธอทุกเรื่อง แต่ก็ต้องรีบหันกลับมายิ้มแป้นขอความเห็นใจจากเขา
“ก็ลองคิดดูว่าถ้าข่าวนี้รู้ถึงหูบอส คุณจะเดือดร้อนด้วยหรือเปล่า”
ชายหนุ่มจ้องมองใบหน้าคนพูดถมึงทึง “ปลาทองอย่างเธอกล้าขู่ฉลามด้วยหรือ”
“ไม่ได้ขู่ แค่อยากบอกให้รู้ว่าบางทีสัตว์น้ำเหมือนกันก็ต้องพึ่งพาอาศัยกัน” หญิงสาวบอกเสียงอ่อย
“ปลาทองอย่างเธอจะไปช่วยอะไรใครได้ สั่งอะไรก็ลืม บอกอะไรก็ลืม มีแค่เรื่องกินกับเรื่องดันทุรังที่ยังเป็นที่หนึ่งไม่เปลี่ยนแปลง”
หญิงสาวยิ้มกว้างแทนที่จะโกรธที่โดนตำหนิ เธอยกมือเล็กขึ้นลูบหน้าท้องป้อยๆ
“พูดถึงเรื่องกินก็เริ่มหิวแล้วละ หาอะไรรองท้องก่อนแล้วค่อยกลับได้ไหม ถ้าไม่มีอาหารไปหล่อเลี้ยงสมองฉันก็คิดอะไรไม่ออก”
