ตอนที่4.โตแล้วเหตุใดทำตัวเป็นเด็กเช่นนี้
“ปีนี้ข้าอายุยี่สิบหกแล้ว” เขาถอนหายใจหนักหน่วง อ้าปากจะพูดแล้วก็เปลี่ยนใจไปพูดเรื่องอื่นแทน “เจ้าเด็กนั้นเป็นอย่างไรบ้าง”
“เด็ก?” แม่นมเหมยกุ้ยเลิกคิ้ว ครู่ต่อมาจึงเข้าใจคำถาม “แม่นางผู้นั้นยังหลับอยู่ แต่ข้าให้คนสนิทค่อยเฝ้าไว้ หากนางฟื้นจะมารายงานทันที”
“อืม” เขาแค่รับคำกัดขนมเปี้ยะอีกคำ
“ข้าตระเตรียมเสื้อผ้าสตรีให้นางแล้ว”
หลัวหลิวหยางเลิกคิ้วแล้วสบตากับแม่นม “ท่านแน่ใจว่านางอยากสวมเสื้อสตรีหรือ?”
“ได้ยินว่านางเดินทางเพียงลำพัง การแต่งกายเป็นบุรุษย่อมปลอดภัยกว่า” แม่นมเหมยกุ้ยยื่นมือไปรินน้ำชาให้ “อีกอย่าง ผู้อื่นเห็นว่าท่านแม่ทัพพิทักษ์บูรพาอุ้มคนเจ็บเข้ามารักษาด้วยตนเอง ข้าเกรงว่าผู้อื่นจะเอาไปร่ำลือว่าท่านนิยมชื่นชอบบุรุษด้วยกัน ข้าจึงคิดว่านางแต่งกายเป็นหญิงจะเหมาะสมที่สุด”
“แค่กๆๆ” หลัวหลิวหยางสำลักขนมเปี๊ยะ แม่นมเหมยกุ้ยรีบลุกขึ้นมาลูบหลังให้
“โตแล้วเหตุใดทำตัวเป็นเด็กเช่นนี้”
หลัวหลิวหยางคว้าน้ำชามาดื่ม จะไม่ให้สำลักขนมเปี๊ยะได้อย่างไร เขาไม่คิดว่าแม่นมเหมยกุ้ยจะเป็นกังวลเรื่องเขาถึงเพียงนี้ นั้นสินะ เป็นทั้งแม่ทัพพิทักษ์บูรพา เป็นทั้งบุรุษผู้มีดวงกินภรรยา แล้วจะยังเป็นบุรุษที่กินบุรุษด้วยกันอีก ช่างเป็นบุรุษที่น่าริษยาเสียจริง
“ช่างเถิด แม่นมช่วยสั่งคนให้อุ่นสุราส่งไปยังเรือนของข้าก็แล้วกัน”
“ได้เจ้าค่ะ”
“ไม่ได้กลับจวนหลายวัน ข้าเดินเล่นสักครู่จะกลับเข้าไป”
ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วก้าวยาวๆ ออกจากห้องหนังสือที่ใช้เป็นห้องทำงาน ทั้งที่คิดว่าจะเดินเล่น แต่สองเท้ากลับพาเดินมาที่เรือนรับรองที่สตรีแปลกหน้าผู้นั้นพำนักอยู่ ทหารยามทำความเคารพเขา ชายหนุ่มเพียงพยักหน้ารับแล้วตัดสินใจผลักบานประตูเข้ามาด้านใน
มือหยาบกร้านเพราะจับกระบี่กรำศึกมายาวนานยื่นไปปัดม่านมุ้งออก แม้บอกตัวเองว่าอยู่สนามรบมานาน ทว่าเมื่อเห็นสตรีที่หมดสติ แขนเต็มไปด้วยแผลถลอก ร่องรอยขูดขีด ยังเหลือรอยเลือดยังแห้งกรังที่ผมของนาง ข้อเท้าข้างขวาถูกพันผ้าอย่างแน่นหนา
เสี้ยวเวลาอันแสนสั้นก่อนหมดสติ ดวงตาของนางเบิกกว้างด้วยความตกใจ ปฏิกิริยาในตอนนี้แม้นางยังหลับอยู่ แต่ยังคงเป็นความหวาดกลัว เปลือกตาของนางกระตุก ปลายนิ้วมือขยับเกร็ง หลัวหลิวหยางเอื้อมมือไปกุมมือหญิงสาวไว้โดยไม่ทันคิด
“ไม่เป็นไรแล้ว เจ้าปลอดภัยแล้ว”
ไม่ใช่ถ้อยคำอ่อนโยนหวานหู แต่น้ำเสียงหนักแน่นที่พร้อมปกป้องขับไล่ความหวาดกลัวของหญิงสาว นางบีบมือของเขาแน่นราวกับเป็นสิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยว เขาไม่อาจผละไปจากนางได้จึงค่อยๆ นั่งลงบนเตียงข้างนาง ดวงตาของเขาจ้องมองริมฝีปากของนางพึมพำ แม้รู้ว่านางยังไม่ได้สติแต่เขากลับโน้มตัวลง แนบใบหูใกล้ริมฝีปากของนาง
“ท่านช่วยชีวิตข้า” หญิงสาวพึมพำแทบฟังไม่ออก นางลืมตาขึ้นมองเขา แล้วพยายามขยับตัว เพียงการขยับตัวเล็กน้อยก็ทำให้นางหลุดเสียงร้องเจ็บปวดออกมา
“นอนลงไป ใจเย็นๆ”
“ข้า...” นางพยายามอย่างสุดกำลัง อย่างน้อยนางก็ได้มาพบหน้า ‘เขา’ แล้ว “ข้าต้องพูดกับท่าน”
“เจ้ารู้จักข้ารึ?”
เหมือนนางจะฝืนยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มอันแสนเศร้า หลัวหลิวหยางพยายามเค้นสมองว่าเคยพบนางที่ใดมาก่อนหรือไม่
“จง...” นางกลืนน้ำลายลงคออย่างลำบาก “จง...ระวัง...อนุชา...แห่ง...แคว้นเหยี่ยน...ให้มาก ...เขา..คิด...ไม่ซื่อกับแคว้นจ้าวของเรา”
นางอยากพูดมากกว่านี้ แต่ทุกครั้งที่เปล่งเสียงก็เจ็บแปลบไปทั่วแผ่นอก นางสูดลมหายใจลึกสะกดความเจ็บปวดเหล่านั้นไว้
“ระวัง..จงระวังตัว..”
“ข้ารู้แล้ว” เขาตอบเพื่อให้นางสบายใจ “เจ้าพักผ่อนก่อน เจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัส ต้องพักผ่อนให้มาก”
เขามองนิ้วมือของนางที่เริ่มผ่อนคลายลง ท่าทางนางหลับไปอีกครั้ง เขาสัมผัสนิ้วมือของนาง แม้เขาจะไม่เชี่ยวชาญเรื่องสตรี แต่รับรู้ได้ว่ามือคู่นี้ผ่านอะไรมามาก มือนางอาจไม่เนียนนุ่มแต่ไม่ได้หยาบกระด้าง ข้อนิ้วแข็งแรงเหมือนคนจับพู่กันอยู่เสมอ แต่ในขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกเปราะบางละเอียดอ่อน เพียงการสัมผัสเล็กน้อยนี้กลับทำให้เขาปั่นป่วน เมื่อมั่นใจว่านางหลับไปจริงๆ แล้วเขาจึงขยับตัวช้าๆ ออกมาจากเตียงพลางครุ่นคิดว่าเคยพบนางที่ใด เหตุใดนางลืมตาแค่แวบเดียวกลับรู้ว่าเป็นเขาและพูดเรื่องสำคัญเช่นนี้ มีน้อยคนนักจะรู้ว่าตอนนี้การเมืองในแคว้นเหยี่ยนปั่นปวนมากเพียงใด นอกจากจะเป็นคนขององค์ฮ่องเต้หรือรัชทายาท
