ตอนที่ 4 ค้ำประกันให้ผัว!!
สิ้นเสียงตวาดของเขาหลักฐานตรงหน้าก็ไม่อาจจะทำให้ฉันปฏิเสธอะไรออกไปได้เลย ฉันที่ทำได้เพียงแค่เม้มปากแน่นพร้อมกับสายตาที่เริ่มสั่นระริกเนื่องด้วยจำนนต่อหลักฐาน นั่นก็เพราะว่าภาพตรงหน้าลายเซ็นนั้นมันเป็นของฉันจริง ๆ เพียงแต่ว่าฉันยังจำไม่ได้ว่าไปเซ็นเอาตอนไหนกันนะ อีกทั้งนึกยังไงก็นึกไม่ออก
ฉันสะบัดหัวไปมาเล็กน้อยเพื่อเรียกสติที่อาจจะดับวูบไปได้ทุกขณะให้กลับคืนมาอีกครั้ง ก่อนจะพยายามตั้งสติแก้ปัญหาที่อยู่ตรงหน้าให้ดีที่สุด
(...ฮึบ...มีสติเข้าไว้ยัยลิน เรื่องนี้มันต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดอย่างแน่นอน มันต้องมีบางอย่างผิดพลาดแน่ ๆ เพราะฉะนั้นเราต้องตั้งสติแล้วอธิบายให้เขาฟัง...ใช่!! ฉันต้องรีบอธิบาย...)
เมื่อคิดได้ดังนั้นฉันก็รีบเอ่ยปากบอกเขาไปตามความจริงที่เกิดขึ้น...
“กะ...ก็ใช่ ตะ...แต่ว่า” ฉันยอมรับตามภาพตรงหน้าก่อน พร้อมกับพยายามที่จะอธิบายเพิ่มเติม
แต่ทุกอย่างมันกลับไม่ได้ง่ายอย่างนั้น เมื่อเขายังคงแสดงทีท่าออกมาอย่างชัดเจนว่าไม่ยินยอมที่จะรับฟังข้อเท็จจริงจากฉันเลย
“ถ้าใช่ลายเซ็นของมึงงั้นก็แปลว่า...มึงต้องรับผิดชอบ!!” เสียงแข็งกร้าวดุดันยังคงตวาดใส่ฉันไม่หยุด จนฉันเริ่มไม่พอใจกับการกระทำที่เขาปฏิบัติต่อฉัน
“เอ๊ะ!!...นายนี่ พูดไม่รู้เรื่องหรือไงกัน ก็แล้วจะให้ฉันไปรับผิดชอบได้ยังไงก็ในเมื่อฉันไม่ได้เป็นคนทำ...ฉันไม่ได้ทำ!!” ฉันยืนกรานเสียงแข็ง พร้อมกับพรั่งพรูความจริงออกไปอย่างไม่ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ก่อ ก่อนจะพูดอธิบายต่อโดยที่แอบหวังว่าเขาจะฟังฉันบ้างสักนิด
“มันก็จริงอยู่ที่ว่าลายเซ็นนั้นมันเป็นลายเซ็นของฉัน...ใช่...ลายมือของฉัน ฉันจำได้และก็จะไม่ขอปฏิเสธด้วย แต่ว่าฉันไม่รู้จักคนที่มีชื่ออยู่ในสัญญานั้นเลยนะ เขาเป็นใครฉันเองก็ไม่รู้ หน้าตาแบบไหน รูปร่างยังไง ให้ตายเหอะ...ฉันไม่เคยเห็นไม่เคยเจอเขามาก่อนด้วยซ้ำ แล้วจะมาให้ฉันรับผิดชอบได้ยังไงกัน...นายเข้าใจที่ฉันพูดไหม” ฉันตอบปฏิเสธไปตามความจริง พร้อมกับอธิบายเพิ่มและหวังว่าเขาจะมีเมตตาฟังคำของฉันบ้าง เพราะมันคือเรื่องจริงที่ว่า...ฉันไม่เคยรู้จักบุคคลคนนั้นจริง ๆ คนที่เป็นคนกู้ฉันไม่รู้จักเขาจริง ๆ ฉันพูดโดยพยายามส่งสายตาที่จริงใจไปให้เขาอย่างต้องการให้เขาเชื่อฉัน
“อย่ามาตอแหล!!...หึ...เป็นอย่างนี้ทุกตัว ตอนอยากได้เงินกูไม่เห็นเป็นอย่างนี้กันเลย แต่ทำไมพอถึงเวลาจ่ายก็คิดจะเบี้ยวหนี้รีบหายหัวต้องมาให้กูเสียเวลาตามหาอีก...พวกมึงนี่แม่ง...น่าจับโยนให้ไปเป็นอาหารไอ้เข้ซะให้เข็ด...เห้อ...เอางี้แล้วกันพูดกันง่าย ๆ เข้าใจกันง่าย ๆ อย่าให้กูต้องเหนื่อยเยอะ ในเมื่อมึงเป็นคนเซ็นค้ำประกัน แถมมึงเองก็ยอมรับว่าลายเซ็นนั้นเป็นของมึงจริง ๆ ถ้างั้น...มึงก็ต้องรับผิดชอบ...จบ...” น้ำเสียงเอือมระอาที่ส่งมาฉอดใส่หน้าฉันซะยืดยาว ถึงกับทำให้ฉันทำได้เพียงแค่อ้าปากพะงาบ ๆ เถียงแทบไม่ทัน ก่อนที่ประโยคสุดท้ายของเขานั้นจะพูดตัดบทอย่างไร้ความเมตตาปรานี
แต่มีหรือที่คนอย่างลลินจะยินยอม ในเมื่อการปรักปรำของเขามันก็ทำให้ฉันเหลืออดแล้วเหมือนกัน อีกทั้งคนอย่างฉันไม่มีทางยอมรับในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ทำอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น...ฉัน...จะ...ไม่...ยอม!!
“ก็แล้วทำไมนายไม่ฟังกันบ้างล่ะห๊ะ...ก็ฉันบอกอยู่นี่ไงว่าฉันไม่ได้รู้จักกับคนคนนี้ เขาเป็นใคร หน้าตาแบบไหน ฉันเองไม่รู้ ไม่รู้เลยจริง ๆ จะเอาฉันไปสาบานที่ไหนก็ได้ แล้วอีกอย่างฉันก็ยังนึกไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่าตัวเองไปเซ็นค้ำประกันเอาตอนไหนตั้งแต่เมื่อไหร่ นายฟังภาษาคนไม่เข้าใจหรือไง หรือไม่ฉันว่า...มันต้องมีการเข้าใจผิดกันแน่ ๆ นายควรจะตรวจสอบให้ดีก่อนนะ หรือยังไงจะให้ฉันไปหาหลักฐานมาชี้แจงให้นายเห็นเองว่าฉันไม่เกี่ยวด้วยดีไหม...” ฉันร้อนใจอธิบาย พร้อมกับพยายามหาเหตุผลที่พอนึกได้ขึ้นมาประกอบเข้าช่วย แต่ทว่า...สิ่งที่เขาแสดงออกมานั้นกลับทำให้ฉันรู้ได้ทันทีเลยว่าฉันเข้าตาจนเสียแล้ว...
“หึ...คนอย่างพวกมึงนี่มันหน้าด้านจริง ๆ เลยนะถึงเวลาจนตรอกก็ยังไม่ยอมรับ” เขาค่อนแคะใส่ฉันด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม พร้อมกับแววตาที่ฉายออกมาว่ารังเกียจอย่างปิดไม่มิด
และถึงแม้ว่าฉันจะไม่ชอบสีหน้าและน้ำเสียงดูถูกของเขาจนอยากจะตะบันหน้าหล่อ ๆ ของเขามากแค่ไหน แต่ถึงยังไงฉันก็ต้องมีสติเข้าไว้ เพราะฉันจะไม่ยอม...ฉันจะไม่มีวันยอมรับในสิ่งที่ฉันไม่ได้ทำเด็ดขาด...
(ฮึบ...ต้องสู้...ต้องไฝว้...เท่านั้นยัยลิน)
และในขณะที่ฉันกำลังจะอ้าปากอธิบายอะไรเพิ่มเติมออกไปอีกครั้ง เขาก็ได้สวนคำพูดกลับมาโดยไม่ให้ฉันได้ทันตั้งตัว และประโยคที่เขาใช้ตอกหน้าฉันนั้นก็ยิ่งกลับทำให้ฉันต้องหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความฉงนมากขึ้นไปอีก
“อยากเซ็นค้ำประกันให้ผัว ถึงเวลาผัวไม่มารับผิดชอบ คนเป็นเมียก็ต้องรับผิดชอบสิ...กูพูดถูกไหม” ใบหน้าหล่อเหลายิ้มเย้ยหยันมุมปากพูดด้วยน้ำเสียงหยาบกระด้าง พร้อมกับหรี่สายตาที่กำลังมองฉันด้วยความดูหมิ่นอย่างไม่ปิดบัง
แต่ทว่า...คำพูดที่ถูกพ่นออกมาจากปากของคนตรงหน้านั้น กลับทำให้ฉันถึงกับอ้าปากค้าง งงเป็นไก่ตาแตก...ด้วยสุดแสนที่จะสงสัย
“ห๊ะ!! ผัว...ผัวใคร ใครผัวใคร แล้วใครเป็นเมียใคร ผัวอะไรที่ไหนอี๊กกกกกก... โอ๊ยยยย...นี่นายเอาทีละเรื่องได้ไหม เรื่องเก่ายังเคลียร์ไม่จบเลย มีเรื่องใหม่ขึ้นอีกแล้วเหรอ แล้วนี่เป็นอะไรจู่ ๆ หาเรื่องมายัดเยียดให้ฉันไปเป็นเมียเป็นผัวกับใครกันอีกเนี้ย นี่ฉันงงไปหมดแล้วนะ” ฉันบอกออกไปอย่างเหลืออดบวกกับความไม่เข้าใจที่ประเดประดังเข้ามา
(โอ๊ยยยยยเวรกรรมจริง ๆ เลยไอ้ลินเอ๊ย...นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกันเนี้ย...อย่างจะบ้าตายไม่รู้วันนี้เดินเอาเท้าข้างไหนออกจากบ้านทำไมถึงได้ซวยแบบนี้ เอ๊ะ!!...หรือเมื่อเช้าจิ้งจกมันร้องทักแล้วลืมสังเกตหรือเปล่านะ ทำไมฉันถึงต้องมาซวยเจออะไรแบบนี้ด้วยเนี้ย) ฉันสบถกับตัวเองในใจอย่างคนหัวเสีย
และทันทีที่ฉันพรั่งพรูความอัดอั้นตันใจและความสับสนที่อยู่ข้างในออกไปจนหมด คำพูดเหล่านั้นของฉันก็ได้ทำให้คนตรงหน้าดูมีทีท่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย โดยเฉพาะสีหน้าที่มักจะแสดงถึงการดูถูกเหยียดหยามและดูหมิ่นฉันมาตลอด กลับเหมือนจะฉายรอยยิ้มดีใจขึ้นมาเพียงชั่วขณะ ก่อนที่เขาจะปรับสีหน้าให้กลับมาเป็นยักษ์เป็นมารตามเดิม
แต่ทว่า...เขากลับไม่รู้เลยว่า ทั้งสีหน้าแววตา และรอยยิ้มที่เปลี่ยนไปของเขาเพียงครู่เดียวนั้น จะกลับถูกสายตากลมโตของฉันจับจ้องเก็บข้อมูลเอาไว้หมดแล้ว...
“เหอะ...เลิกตอแหลได้แล้ว...ถึงเวลาที่ต้องใช้หนี้แล้ว” หลังจากเขากลับมาทำตัวเป็นคนร้ายกาจเช่นเดิม เขาก็ได้ยืนยันถึงเจตนารมณ์ของตัวเองที่มีต่อฉัน พร้อมกับยกยิ้มร้ายที่มุมปากอย่างมีเลศนัยบางอย่าง
ส่วนฉันที่ยังคงไม่อาจยอมรับกับหนี้ที่ฉันไม่ได้ก่อขึ้นมาได้ ก็ยังคงทู่ซี้ประวิงเวลาร้องขอความเมตตาจากเขาอย่างไม่ยอมลดละ
“แต่นาย...นายเชื่อฉันเถอะนะว่าฉันไม่รู้จักเขาจริง ๆ ฉันสาบานได้ มันต้องมีอะไรผิดพลาดอย่างแน่นอน” ฉันพูดเสียงอ่อย โดยที่ยังคงหวังว่าเขาจะเห็นใจฉันบ้าง
และก่อนที่ฉันจะโดนสรุปให้ต้องตกกระไดพลอยโจนไปกับเรื่องนี้ ฉันที่ยังไม่ละความพยายามสุดท้ายที่มีก็ได้ขุดเซลล์สมองตัวเองขึ้นมาขบคิดถึงเรื่องราวที่อาจจะตกหล่นไประหว่างทาง เผื่อว่ามันอาจจะมีประโยชน์ให้กับเรื่องที่เกิดขึ้นกับฉัน ณ เวลานี้ก็ได้
จนกระทั่ง...
