ตอนที่7. รับปาก
“ท่านหมอจะไปดูอาการลูกชายข้าใช่ไหม?”
“อืม” หมอมู่พยักหน้ารับแล้วหันไปทางลูกสาว นางเดินผลุบหายไปหยิบล่วมยาส่งให้บิดา “เจ้าอยู่บ้านดีๆ ล่ะ”
“เจ้าค่ะ”
นางรับคำแล้วมองบิดาออกไปกับคนกลุ่มนั้น ใบหน้าหวานระบายยิ้ม ท่านพ่อนี่ก็พูดเหมือนนางจะออกไปที่ไหนได้ หญิงสาวเดินวนกลับเข้าไปในครัว หลังจากไปรักษาเคอหลิ่งหลินที่จวนแม่ทัพจ้าว นอกจากจะได้ค่ารักษามาแล้ว ฮูหยินอี้ซิ่วยังจิตใจดี แบ่งปันแป้งข้าวโพดและแป้งสาลีมาให้นางไว้ทำอาหาร คงเพราะได้ยินมาว่าสองพ่อลูกรักษาผู้คนไม่รับเงินแต่ก็ไม่มีรายได้ จึงแบ่งปันของกินของใช้มาให้ นางไม่แปลกใจเลยที่เคอหลิ่งหลินเป็นคนจิตใจงามเพราะดูจากฮูหยินและท่านแม่ทัพแล้วก็ล้วนเป็นผู้มีเมตตา
มีแต่บุรุษผู้นั้น นางได้เจอเขาเพียงครั้งเดียวในวันแรกที่ได้เข้าจวนแม่ทัพจ้าว แล้วก็ไม่ได้พบเขาอีก ใบหน้าหล่อเหลาคมคายแบบที่สังหารสตรีได้เพียงยิ้มเดียว ทว่าหนึ่งในนั้นไม่ใช่นางอย่างแน่นอน แต่สิ่งที่รบกวนนางก็คือสายตาของเขายามจ้องมองเคอหลิ่งหลินที่บาดเจ็บสาหัส แววตามีความห่วงหาอาทรปนปวดร้าวแจ่มชัด นางไม่กล้าเอ่ยปากถามว่าเขาเป็นใคร ดูจากที่เขารำเพลงกระบี่ระบายโทสะนั้นแล้วคงเป็นทหารคนหนึ่งแต่นางก็ไม่กล้าเดายศตำแหน่งของเขา ขนาดเคอหลิ่งหลินที่นางรู้จักมาสองปี มาวันนี้เพิ่งรู้ว่าแท้จริงแล้วนางเป็นถึงบุตรสาวบุญธรรมของแม่ทัพจ้าวซื่อก่วงผู้เกรียงไกร
นางได้แต่ถอนหายใจเบาๆ ตั้งใจจะเดินไปหยิบตำราแพทย์กับขนมที่ทำไว้มากินเพลินๆ นานๆ จะมีช่วงเวลาที่ว่าง ไม่มีคนเจ็บคนป่วยสักคราหนึ่ง แต่ยังไม่ทันไร นางก็รู้สึกว่าหน้าบ้านมีคนมาอีกแล้ว คงเพราะอยู่ที่นี่ถึงสองปีจึงคุ้นชินกับความรู้สึกเหล่านี้ นางเดินไปที่หน้าบ้านก็เห็นพ่อบ้านของจวนแม่ทัพจ้าว พอเห็นหน้านางก็ยิ้มออกมาทันที
“แม่นางมู่”
“พ่อบ้านตู้” นางทักทาย “ท่านพ่อเพิ่งออกไปดูคนเจ็บเมื่อครู่เอง”
“อ่อ...” เขาพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“อาการพี่หลิ่งหลิน เอ่อ...ไม่ใช่สิ ท่านหญิงเป็นอย่างไรบ้าง มีอะไรผิดปกติหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่มีอะไรแตกต่างจากเดิมนัก แต่ฮูหยินอี้ซิ่วร้อนใจ อยากให้ไปดูอาการคุณหนูสักหน่อย”
“ได้เจ้าค่ะ แต่ไม่รู้ท่านพ่อจะกลับเมื่อไหร่ ถ้าอย่างไรข้าไปดูอาการให้ก่อนดีไหมเจ้าคะ”
“เห็นทีต้องรบกวนแม่นางมู่แล้ว”
“โปรดรอสักครู่ ข้าน้อยเก็บของสักประเดี๋ยว”
หญิงสาวรีบหมุนตัวเดินไปหยิบล่วมยาของตนเอง แล้วนางก็นึกถึง ‘น้องชาย’ ของพี่หลิ่งหลิน ระหว่างที่พี่สาวหมดสติหลับใหลเช่นนี้คงเหงาแย่ นางเดินไปหยิบขนมจินเด รู้ดีว่าในจวนแม่ทัพคงมีของกินอร่อยๆ แต่นางก็จำได้ว่าพี่หลิ่งหลินของนางชื่นชอบขนมที่นางทำขนาดไหน และมักเปรยอยู่เสมอว่าอยากให้น้องชายเอาแต่ใจคนนั้นได้กินขนมอร่อยๆ ฝีมือนาง หญิงสาวยิ้มน้อยๆ ชีวิตนางโดดเดี่ยว เป็นลูกคนเดียวที่ติดตามบิดาที่ชอบเดินทาง จึงทำให้นางไม่มีเพื่อนสนิท รวมถึงไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน พอได้พบกับเคอหลิ่งหลินแล้ว นางก็รู้สึกราวกับว่ามีพี่สาวจริงๆ และมีน้องชายอีกคน น้องชายที่นางไม่รู้จัก เพียงแต่ได้ยินเรื่องราวจากปากของเคอหลิ่งหลินเท่านั้น
“ขออภัยที่ให้รอเจ้าค่ะ” นางรีบเดินเร็วๆ ออกไปที่หน้าบ้าน ท่านพ่อบ้านยื่นมือไปรับล่วมยามาช่วยถือ แต่นางส่ายหน้าและยื้อไว้ “มิเป็นไรเจ้าค่ะ ข้าน้อยถือเองได้”
“ล่วมยาของแม่นางมู่ดูท่าจะหนัก ให้ข้าช่วยเถอะ”
ในที่สุดพ่อบ้านก็คว้าล่วมยาที่เป็นกล่องไม้สี่เหลี่ยมของนางไปถือ นางได้แต่แอบถอนหายใจเบาๆ แล้วเดินตามไปที่รถม้า เงื่อนไขเดียวที่จะให้นางไปรักษาก็คือต้องมารับและมาส่งนางด้วย นางไม่ได้ถือตัวว่าตนเองเป็นหมอให้ผู้เคารพแต่เพราะนาง ‘หลงทิศ’ ขนาดอยู่เมืองนี้มาสองปี นางยังจำทางไม่ได้ ครั้งก่อนที่คุณชายเฉินอาการทรุดหนัก นางออกจากบ้านเพื่อไปตามหาเคอหลิ่งหลิน รู้เพียงแค่ว่าอยู่จวนแม่ทัพจ้าว นางถามทางไปทั่วแต่ก็ยังเลี้ยวผิด โชคดีที่เคอหลิ่งหลินกำลังจะไปหาคุณชายเฉินอยู่แล้วจึงเห็นนางเข้า ทำให้นางไม่ต้องร้องไห้เพราะหลงทางในเมืองที่อยู่มาถึงสองปีแล้ว
ไม่นานนักก็มาถึงที่หมาย หญิงสาวลงจากรถม้าแล้วเดินตามพ่อบ้านไปที่ห้องของเคอหลิ่งหลิน เมื่อเปิดประตูห้องก็พบฮูหยินอี้ซิ่วนั่งรออยู่ก่อนแล้ว นางย่อตัวคารวะตามมารยาทแล้วจึงขอไปจับชีพจรหญิงสาวที่ยังไม่ได้สติ แต่กระนั้นสีหน้าก็ดีขึ้น แก้มฝาดเลือด ดูเหมือนคนหลับไปเท่านั้น
“เป็นอย่างไรบ้าง เมื่อไหร่นางจะฟื้น”
“ข้าน้อยยังไม่อาจบอกได้ว่าท่านหญิงจะฟื้นเมื่อใด แต่สีหน้าของท่านหญิงดีขึ้นมาก ชีพจรก็ชัดเจนขึ้น ระหว่างนี้ต้องรบกวนพี่ชุนเอ๋อร์พลิกตัวท่านหญิงบ่อยๆ จะได้ไม่เกิดรอยช้ำจ้ำเลือดเพราะการนอนท่าเดียวนานเกินไปเจ้าค่ะ”
“ปกติข้าชอบดุนางที่ซุกซนเกินเหตุ อยากเห็นนางเรียบร้อยเป็นกุลสตรี แต่พอเห็นนางเอาแต่นอนแบบนี้ ข้าใจคอไม่ดีเลยจริงๆ”
“ฮูหยินโปรดวางใจ อย่างไรแล้วท่านหญิงต้องฟื้นอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ” มู่ฟางเหนียงมองสีหน้าฮูหยิน ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยปากออกไป
“เรียนจ้าวฮูหยิน ข้าน้อยขอบังอาจจับชีพจรของท่านได้หรือไม่เจ้าคะ”
“เอ๋? ข้าป่วยรึ”
