ตอนที่ 4
“ท่านแม่ทัพเฉิง...ข้าเห็นแสงคบเพลิงอยู่ไม่ไกล เราเดินทางจวนถึงหมู่บ้านแล้วขอรับ”
หวังซื่ออยู่บนหลังม้ารีบหันไปรายงานต่อบุรุษร่างสูงบนหลังอาชาสีเผือกซึ่งอยู่ในชุดดำโพกผ้าบนศีรษะและใบหน้ามิดชิดเห็นแต่ดวงตาดำยาวรี่องประกายเมื่อเห็นแสงไฟส่องสว่างอยู่ไม่ไกลตามคำบอกกล่าว
“รีบไปกันเถิดท่านแม่ทัพเฉิง จากนี้ไม่ไกลเราก็จะถึงหมู่บ้านแล้ว”
“หวังซื่อ”
เฉิงจิ้นเหอส่งเสียงก่อนบังคับม้าคู่ใจให้หยุดนิ่งและเปิดผ้าปิดใบหน้าหล่อเหลาราวเทพออก หวังซื่อบังคับม้าให้หยุดตาม
“มีอะไรหรือท่านแม่ทัพ”
“ข้าเพียงอยากเตือนเจ้าว่าอย่าได้กล่าวถึงยศชั้นตำแหน่งของข้าเมื่อเข้าไปในหมู่บ้าน เวลานี้ข้ามิใช่แม่ทัพ ขุนศึกแห่งองค์จักรพรรดิ์ เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาที่มาจากหมู่บ้านอื่นนามว่าจิ้นเหอ”
“ต้อขออภัยขอรับ ท่านเฉิงเตือนข้าหลายหนแต่ข้าก็ยังเผลอตัว”
“และตอนนี้เจ้าก็คือหวังซื่อ สหายของข้า อย่าได้ลืมว่าเรามายังหมู่บ้านใกล้เขตหวงซานเพื่อจุดประสงค์อันใด”
“ไม่ลืมขอรับ ว่าเรามาที่นี่ก็เพื่อตามล่าฆาตกรฆ่าคนในวังหลวงที่เดินทางมายังวัดโค้วอิงยี่...เอ้อ...รวมทั้งแม่นางซูฉี คู่หมายของท่าน”
เสียงตอนท้ายของหวังซื่ออ่อนลง หากแต่คำกล่าวนั้นจุดประกายกล้าคมในแววตาของเฉิงจิ้นเหอให้โพลงขึ้นราวเปลวไฟ เขาคือแม่ทัพแห่งวังหลวงผู้ผ่านศึกมานับไม่ถ้วนแม้อายุเพียงสามสิบปี ด้วยวรยุทธและชั้นเชิงการรบกล้าแกร่งหาใครเทียม
ทว่าแม่ทัพผู้เกรียงไกรกลับต้องพบความผิดหวังรุนแรงหลังเดินทางกลับจากการออกศึกปราบชนเผ่าน้อยที่แข็งข้อต่อองค์ซ่งไท่จู่ เมื่อการศึกรวบรวมดินแดนถวายองค์ฮ่องเต้สิ้นสุดลงเฉิงจิ้นเหอกลับได้รับข่าวร้ายว่า เว่ยซูฉี บุตรสาวคนเดียวของอัครเสนาบดีซึ่งเป็นคู่หมายของเขาถูกปลิดชีพพร้อมทหารติดตามขณะเดินทางมายังไม่ทันถึงวัดโค้วอิงยี่บนยอดเขางังฮ้วยฮง
มีนายทหารที่รอดชีวิตไปได้เพียงคนเดียวนำความรายงานต่อวังหลวงว่าฆาตกรคือคนจากพรรคมารแห่งเขาหวงซานซึ่งเป็นที่หวั่นเกรงของผู้คนในยุทธภพ นั่นคือ...
นางมารหมื่นบุปผา
เฉิงจิ้นเหอเก็บความอาฆาตแค้นและขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตจากองค์ฮ่องเต้เดินทางมาเพื่อตามล่าคนกระทำความผิดด้วยตัวเองโดยมิได้นำพานายทหารติดตามให้เอิกเกริก มีเพียงหวังซื่อ คนสนิทติดตามมาด้วยเพื่อมิเป็นที่สงสัยแก่คนทั่วไป
เฉิงจิ้นเหอตั้งปณิธานไว้แก่ใจว่าหากพบนางมารผู้เป็นฆาตกรอำมหิตก็จะฆ่านางด้วยมือตัวเอง จักสับร่างของนางเป็นหมื่นชิ้นแล้วโยนทิ้งลงในหุบเหวที่ลึกที่สุดบนยอดเขาหวงซานเพื่อให้สมกับความเคียดแค้นที่นางพรากลมหายใจหญิงคนรักไปจากเขา
“ไปกันเถอะจิ้นเหอ”
หวังซื่อรีบชักชวนแต่ก็ต้องชะงักเมื่อแม่ทัพหนุ่มร้องขึ้นว่า
“เดี๋ยวก่อนหวังซื่อ...ข้าเห็นว่าตรงนั้นมีใครยืนอยู่”
“ไหนท่าน?...อา...จริงด้วย”
หวังซื่อชะเง้อมองแล้วดึงบังเหียนบังคับม้าคุ่ใจก้าวตามอาชาของแม่ทัพหนุ่มซึ่งเหยาะย่างล่วงหน้าตรงไปยังแสงที่วาบจากคบฟส่องสว่างในมือของชายสามคนกำลังยืนล้อมหญิงนางหนึ่งตรงกลาง ทั้งหมดหันมาทางคนทั้งสองเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าม้าหยุดลง หนึ่งในชายสามคนจ่อคบเพลิงและหรี่ตามองก่อนคำรามดัง
“พวกเจ้าสองคนเป็นใคร หากมิใช่คนแถวนี้ก็จงรีบผ่านไปเสียให้พ้น!”
“แล้วพวกเจ้าเล่าเป็นใครกัน ใยจึงยืนล้อมหญิงเพียงคนเดียว”
เฉิงจิ้นเหอตะโกนถามกลับอย่างไม่กลัวเกรงยังความไม่พอใจแก่หนุ่มวัยฉกรรจ์ทั้งสาม
“ไม่ใช่เรื่องของเจ้าอย่ามายุ่งย่ามจะดีกว่า ถ้าไม่อยากถูกฆ่ายามวิกาลโดยมิมีผู้รู้เห็นก็จงไปซะ!
“แสดงว่าพวกเจ้ากำลังทำเรื่องไม่ดีจริง ๆ ด้วย แต่ขอโทษที ข้าล่ะชอบนักกับไอ้การเข้าไปยุ่งย่ามเรื่องชาวบ้าน”
“จิ้นเหอ!”
หวังซื่อร้องปรามตัวสั่นเพราะตนเองนั้นไร้วรยุทธ หากไม่ทันเสียแล้วเมื่อแม่ทัพหนุ่มกระโดดลงจากหลังม้า เฉิงจิ้นเหอตวัดผ้าคลุมออกทำให้เห็นรูปร่างสูงใหญ่กำยำในชุดสีดำน่าเกรงขาม ดวงตายาวรีบนใบหน้าหล่อเหลาราวรูปสลักของเทพจ้องคนทั้งสามที่ย่างสามขุมเข้ามาพร้อมกัน
หญิงสาวซึ่งถูกรายล้อมเมื่อครู่ขยับก้าวถอยหลังแต่กลับสะดุดตอไม้ล้มลง นางเงยหน้าขึ้นอีกครั้งก็เห็นประกายเงาวับสะท้อนจากปลายดาบของชายหนุ่มที่ตวัดไปมาปะทะคมดาบของชายทั้งสามเสียงดังสนั่นหวั่นไหวก่อนคนเลวทั้งหมดจะถูกปลายดาบคมกริบตวัดลงกลางหลังและกลางลำตัวล้มลุกคลุกคลานวิ่งหนีกระเจิดกระเจิงทั้งที่ตามร่างกายเปื้อนเปรอะด้วยโลหิตแดงฉานหายไปคนละทิศคนละทางในความมืด
“แม่นาง...เป็นอย่างไรบ้าง”
เฉิงจิ้นเหอปราดเข้าไปประคองร่างของสตรีที่นั่งตกตะลึงบนพื้น นางเงยหน้าขึ้นและจ้องบุรุษหนุ่มผู้ซึ่งเข้ามาช่วยได้ทันเวลา
“ข้าไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณท่านผู้กล้าที่มาช่วยข้าไว้”
“ดึกดื่นเช่นนี้ใยจึงเข้ามาในป่าเพียงผู้เดียว รู้หรือไม่ว่ามันอันตรายมาก”
“ข้าเดินทางมาจากอีกหมู่บ้าน กำลังจะเข้าไปในเมืองเพื่อหาที่พักก็มาพบคนพวกนี้เสียก่อน ช่างโชคดีเหลือเกินที่ท่านผ่านมาพอดี”
“เจ้าชื่ออะไร?”
“ข้าชื่อ...ฟางซิน”
