บทที่ 4 อุบายขวางขบวนเสด็จ
นัยน์ตาคมเข้มเหลียวมองต้นเสียง “ไม่มีอะไร เจ้าอย่าได้ใส่ใจ”
“อ้อ” จินชางหลงลดสายตามองสตรีที่นั่งคลุกฝุ่นด้วยสีหน้าประหลาดใจ นางจับจ้องเขาแทบไม่วางตา
แววตาหวานเชื่อมเช่นนี้เป็นเหตุให้เขาขนลุกเกรียวไปทั้งร่าง ชายหนุ่มเร่งปล่อยม่านลงด้วยความรวดเร็ว มือถูกย้ายมาวางบนตักพร้อมกับขยำผ้าเนื้อดีจนเกิดรอยยับย่น
“องค์ชาย เกิดประชวรตรงไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ” กงกงที่คอยปรนนิบัติองค์ชายห้าจินชางหลงอย่างใกล้ชิดมองสีหน้าแปลกประหลาดของเขาด้วยความเป็นห่วง
“เปล่า”
ได้ยินเช่นนี้กงกงก็ผ่อนลมหายใจโล่งอก
เสียงจากด้านนอกดังขึ้นอีกครั้ง
“จะทะเลาะกันข้าไม่ว่า แต่เหตุใดต้องมาขวางทางข้า หากเกิดเรื่องกับน้องชายข้า ข้าจะตัดศีรษะพวกเจ้าทุกคน”
ฝานฟ่านที่กำลังคิดแก้ต่างพลันหมอบกายลงอีกครั้ง “ท่านอ๋องกระหม่อมไม่รู้ว่าท่านจะเสด็จผ่านทางนี้ ก็เลย…”
นัยน์ตาคมกริบตวัดมองเข้ม “…เจ้าก็เลยรังแกสตรีไร้ทางสู้ไม่สนถูกผิดอย่างนั้นหรือ”
เฉินอิ้งถงที่แสร้งค้อมศีรษะกายสั่นสะท้านลอบอมยิ้ม
เหยียนอ๋องผู้นี้แม้จะเป็นพระเอกธงแดงทว่ากลับไม่ไร้ศีลธรรมเสียทีเดียว แน่นอนว่าเรื่องดูแลราษฎรเขาย่อมตัดสินอย่างเที่ยงธรรม
เฉินอิ้งถงพอคาดเดาอุปนิสัยของจินเหยียนได้บ้าง เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นพระเอกในซีรีส์ที่ดูมาแล้วตั้งหนหนึ่ง ชินอ๋องผู้นี้ในท้ายที่สุดก็ต้องย้อมสีผสมลงไปจนกลายเป็นธงสีเขียว
“ท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉันมิได้มีเจตนาล่วงเกินขบวนเสด็จของท่าน ทว่าบุรุษผู้นั้นเขาข่มเหงสตรีไร้ทางสู้ หม่อมฉันเองก็ไร้แรงต่อต้าน”
“เป็นเช่นที่นางกล่าวมาหรือไม่”
น้ำเสียงแข็งกร้าวสาดประกายเย็นเยียบยิ่งสร้างความหวาดกลัวให้กับฝานฟ่านขึ้นอีกหลายส่วน ใจของเขามันเต้นโครมครามดุจดั่งถูกของแข็งหวดตีซ้ำหลายหน ริมฝีปากค่อย ๆ อ้าเผยอ
“ท่านอ๋อง โปรดไว้ชีวิตบุตรชายกระหม่อมด้วย เขายังเด็กจึงมีความคิดเลอะเลือน หากเขาล่วงเกินท่านกระหม่อมยินดีให้เขารับโทษ”
จู่ ๆ ชายวัยกลางคนก็ปรากฏกายขึ้น ที่แท้เป็นเศรษฐีฝานหงจื้อ เขาทราบมาว่าวันนี้จะมีขบวนเสด็จของชินอ๋องจึงรุดมาตามบุตรชาย เพราะเกรงอีกฝ่ายจะเผลอทำงามหน้า แต่แล้วก็ไม่ทันการณ์ เมื่อเขามาถึงทุกอย่างดูเหมือนสายไปเสียแล้ว
หากชินอ๋องรู้ว่าฝานฟ่านมักเที่ยวข่มเหงเหล่าสตรีอ่อนแอจนเป็นนิสัยต้องไม่เก็บลูกชายของเขาเอาไว้แน่
จินเหยียนเหยียดยิ้ม “เช่นนั้นเจ้าจะลงโทษบุตรชายของตนอย่างไร”
“กระหม่อมจะสั่งสอนเขาไม่ให้กระทำเรื่องต่ำช้าเช่นนี้อีก” เอ่ยจบฝานหงจื้อก็ฟาดใบหน้าบุตรชายของตนนับสิบครั้งโดยไม่ยั้งมือ
ฝานฟ่านตะลึงลานพูดไม่ออก โลหิตตีตื้นขึ้นกลางลำคอจนรู้สึกถึงความเค็มและคาวในเวลาเดียวกัน
“เจ้าลงโทษบุตรชายตนเองหนักถึงเพียงนี้เชียวหรือ เมื่อครู่ข้ายังไม่ไต่สวนสิ่งใดด้วยซ้ำ เช่นนั้นก็หมายความว่าเรื่องที่แม่นางผู้นี้เอ่ยเป็นความจริงสินะ”
ฝานหงจื้อตกใจจนหน้าสั่น เป็นเขาที่ผลีผลามเพราะรู้นิสัยมุทะลุของบุตรชายดี ทำให้ยามนี้แม้คิดแก้ต่างก็คงไม่ทัน
จินเหยียนผินหน้ามองหญิงสาวที่นั่งหมอบนิ่ง ทั้งที่ถูกรังแกนางกลับไม่โวยวายหรือร้องไห้ฟูมฟายเฉกเช่นนิสัยสตรีทั่วไป “เจ้าลุกขึ้นเถิด”
“ขอบพระทัยท่านอ๋อง”
กิริยาท่าทางของเฉินอิ้งถงสะดุดตาเขาอย่างมาก แม้นางเป็นเพียงหญิงชาวบ้านธรรมดากระนั้นกลับรู้กิริยาวางตัวได้อย่างเหมาะสม
อันที่จริงนางกำลังคิดหาแผนการใกล้ชิดขบวนเดินทางของเขาต่อไปอยู่ต่างหาก
“เมื่อครู่เจ้าบอกว่าเขาข่มเหงเจ้า เช่นนั้นข้าจะไม่ถามว่าเขาทำอย่างไร เมื่อครู่…” นัยน์ตาคมหรี่ลงจนแคบ จากนั้นเบนมองไปยังสองพ่อลูกที่ยืนก้มหน้าเป็นเบื้อใบ้ “เจ้านามว่าอะไร”
ฝานหงจื้อเร่งคุกเข่า “กระหม่อมฝานหงจื้อ ส่วนนี่คือบุตรชายนามว่าฝานฟ่านพ่ะย่ะค่ะ” เขาดึงแขนฝานฟ่านให้คุกเข่าตาม อีกฝ่ายหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บแต่ก็ต้องรีบทำตามบิดาอย่างเสียไม่ได้
“เศรษฐีฝาน ข้าเอ่ยเช่นนี้คงถูกกระมัง ดูจากการแต่งกายของพวกเจ้าสองพ่อลูกแล้วช่างแตกต่างจากทุกคนเสียเหลือเกิน”
เหล่าชาวบ้านที่อยู่รอบด้านต่างก้มหน้าเงียบ ทุกคนล้วนแต่งกายด้วยผ้าเนื้อหยาบตัดเย็บอย่างเรียบง่าย อีกอย่างจินเหยียนก็รู้มานานว่าอำเภอฉีหลินแห้งแล้งกันดาร กระนั้นเขากลับไม่คิดว่าจะได้เห็นบางคนแต่งตัวประหนึ่งนกยูงรำแพนอยู่ที่นี่ หากเทียบกับเขาซึ่งเป็นถึงอ๋อง สองพ่อลูกกลับดูแต่งกายมีอันจะกินมากกว่าตนเสียอีก
“กระหม่อมมิบังอาจ” ฝานฟ่านหน้าเผือดสี
“หึ” จินเหยียนเหยียดยิ้ม เสียงทุ้มกล่าวต่อ “เช่นนั้นก็ไปไต่สวนกันตามกระบวนการกฎหมาย คนผิดก็ว่าไปตามผิด แม่นางเจ้าคิดเห็นเช่นไร”
เฉินอิ้งถงตอบนอบน้อม “ท่านอ๋องทรงพระปรีชายิ่ง ทว่าหม่อมฉันเป็นเพียงหญิงชาวบ้านธรรมดา เกรงว่าคงมิอาจสร้างแรงกระเพื่อมให้พวกเขาได้”
“เจ้าจะบอกว่ากฎหมายที่นี่หละหลวมอย่างนั้นหรือ”
“หม่อมฉันมิกล้าเพคะ”
“เอาล่ะ ข้าเสียเวลามามากพอแล้ว”
หลังจบประโยคนายอำเภอก็พาเหล่าเจ้าหน้าที่กรูเข้ามาคุมตัวฝานฟ่านและไม่ลืมเชิญเฉินอิ้งถงไปให้ปากคำต่อ
“ท่านอ๋อง กระหม่อมต้องขออภัยกับเรื่องที่เกิดขึ้น” นายอำเภอค้อมศีรษะ
“ไม่เป็นไร ข้าเพียงผ่านทางมาเท่านั้น เรื่องทางนี้ฝากท่านนายอำเภอจัดการต่อด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ร่างระหงเดินขนาบรถม้าที่จอดนิ่งสนิทผ่านไปเนิบช้า นางเห็นปลายนิ้วเรียวยาวขาวซีดกำลังแง้มม่านเล็กน้อยก็ลอบอมยิ้ม ครั้นม่านเริ่มขยับหญิงสาวจึงแสร้งเปลี่ยนสีหน้าเป็นเซื่องซึมประหนึ่งต้องการฟ้องอยู่กลาย ๆ
หากไปทั้งอย่างนี้เฉินอิ้งถงรู้ดีว่านางไม่มีทางรอดพ้นจากเงื้อมมือคนมีเงินไปได้แน่ ไม่ว่าจะกี่ยุคกี่สมัยคนที่ถูกเอาเปรียบได้โดยง่ายก็หลีกไม่พ้นชาวบ้านตาดำ ๆ วันนี้นางจะไม่ยอมจับเสือมือเปล่าเป็นอันขาด
จินชางหลงลอบมองเหตุการณ์ผ่านช่องแคบได้ยินและได้เห็นทุกสิ่ง สีหน้าเศร้าหมองของเฉินอิ้งถงทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเวทนาหญิงสาวขึ้นมา นางเป็นเพียงสตรีตัวเล็ก ๆ ถูกข่มเหงรังแกไม่พอ ยังต้องไปให้ปากคำที่ศาลตัวคนเดียว เกรงว่าความยุติธรรมอาจกลายเป็นดั่งสายลม เพียงพัดผ่านไปพริบตาก็ดุจมิเคยมี
กระทั่งแผ่นหลังเล็กลับตาไป จินชางหลงจึงกล่าว “ท่านพี่ เรื่องรักษาไม่ต้องเร่งร้อนเพียงนั้นก็ได้พ่ะย่ะค่ะ อีกอย่างไม่รู้ว่าเราจะไปถึงที่หมายก่อนฟ้ามืดหรือไม่ มิสู้เราอยู่ที่อำเภอฉีหลินสักคืนก่อนดีหรือไม่”
“ชางหลง จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร อาการป่วยของเจ้าไม่อาจรอช้า ยิ่งตกดึกเจ้าก็จะยิ่งเหน็บหนาวเข้ากระดูก ถึงอย่างไรข้าก็จะเร่งพาเจ้าไปให้เร็วที่สุด”
“ท่านพี่ ข้าไม่เป็นไร อีกอย่างข้ารู้ว่าท่านเองก็เห็นใจแม่นางน้อยคนนั้นใช่หรือไม่ พวกเราเป็นถึงคนของราชวงศ์ แม้เป็นเรื่องเล็กน้อยของราษฎรก็ไม่ควรมองข้าม ท่านเคยสอนข้าเอง”
จินเหยียนเลิกคิ้ว “เจ้าหมายถึง อยากไปช่วยนางอย่างนั้นหรือ”
“เอ่อ…” จินชางหลงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“ช่างเถิด เช่นนั้นเจ้าพักสักหน่อยก็ดี ข้าจะได้ถือโอกาสนี้ถามทางคนที่นี่ไปเสียเลย บางทีอาจได้เบาะแสมากขึ้น”
จินชางหลงยิ้มไปจนถึงดวงตา “ยังเป็นท่านพี่ที่เข้าใจข้าที่สุด”
“เจ้านะเจ้า สุขภาพก็ไม่ดียังอยากช่วยเหลือผู้อื่นอีก”
“ท่านจะพูดเช่นนั้นก็ไม่ถูก เมื่อครู่ข้าเองก็เห็นว่าท่านจัดการอย่างไร เพียงแต่ท่านเอาแต่กังวลเรื่องของข้าจึงปล่อยผ่านไปใช่หรือไม่”
จินเหยียนแค่นยิ้ม “เช่นนั้นข้าจะหาโรงเตี๊ยมให้เจ้าก่อน”
จินชางหลงส่ายหน้า “ข้าอยากไปดูการตัดสินคดีนี้ด้วยตนเองพ่ะย่ะค่ะ”
