ท่านอ๋องข้าอยากเป็นเซียนหาใช่ภรรยาท่าน

357.0K · จบแล้ว
Violets PPm
100
บท
5.0K
ยอดวิว
8.0
การให้คะแนน

บทย่อ

หมอสาวจากปัจจุบันข้ามเวลาไปฟื้นในร่างเด็กสาวที่ไร้ญาติ เริ่มก้าวเข้าสู้วิถีเซียนตามการสั่งสอนของอาจารย์ที่รับอุปการะดูแล ต้องลงเขาตามคำสั่งของอาจารย์ช่วยผู้คนได้พบวาสนาด้ายแดงโดยไม่รู้ตัว

นิยายเทพเซียนนิยายจีนโบราณท่านอ๋องหมอข้ามมิติเกิดใหม่ฝึกพลังเซียนสมุนไพรนิยายย้อนยุค

ตอนที่ 1 สิ้นวาสนา

จุดเชื่อมต่อระหว่างชายแดนสามแคว้นในป่าเขาที่ห่างไกลมีภูเขาเขียวขจีซับซ้อนกว้างใหญ่ เบื้องบนมองเห็นท้องฟ้ากว้าง เบื้องล่างแลเห็นลำธารหลายสายทอดยาวแยกจากน้ำตกบนภูผาสูง ลมเย็นพัดแผ่วเบา เกือบยอดเขายังมองเห็นจุดสีขาวส่องประกายกระทบแสงแดดจ้า อารามแห่งนี้ คือ “ไป๋เทียน” เป็นอารามขนาดไม่ใหญ่นักสีขาวกระจ่างตา ว่ากันว่าปรมาจารย์หญิงท่านหนึ่งต้องการหลบเร้นห่างไกลจากโลกที่วุ่นวายจึงเลือกที่จะหยุดวิถีทางโลกฝึกฝนบำเพ็ญเพียรอยู่นานหลายสิบปีจนบรรลุมรรคาเป็นเซียนก่อนจากไปได้สร้างอารามแห่งนี้ขึ้นมา รอบๆ มีเพียงเสียงนกร้อง ใบไม้ไหวสงบเงียบยิ่งนัก

ห้องโถงหลักด้านหน้าอารามมีรูปพระโพธิสัตย์ขนาดใหญ่ ควันธูปจางๆลอยอ้อยอิงตามกระแสลมที่พัดเข้ามาเบาๆ อาจารย์ห้าท่านกำลังบำเพ็ญเพียรอย่างสงบนิ่งบนเบาะกระจายซ้ายและขวา ด้านหน้าเป็นกระถางกำยานหอมจากสมุนไพรล่องลอยเอื่อยเฉื่อย ห้องข้างมีภาพวาดของปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งอารามแห่งนี้ และเป็นเรื่องต่อมาว่าท่านปรมาจารย์ได้บรรลุมรรคาเป็นเซียนที่สามารถมีชีวิตเป็นอมตะและมีอิทธิฤทธิ์มากมาย

“แย่แล้ว แย่แล้ว ท่านอาจารย์ พวกท่านอยู่ที่ใด ท่านอาจารย์ใหญ่ ท่านอาจารย์รอง”

อาจารย์ที่นั่งแต่ละท่านล้วนมีผมขาวใบหน้าอิ่มเอิบ อาจารย์ใหญ่มีรูปร่างผอมบางอายุเกินร้อยปีอาจารย์ที่อายุน้อยสุดปีนี้พึ่งได้แปดสิบเก้า บรรดาอาจารย์ที่สวมชุดเทาซับในขาวทุกท่านเพียงลืมตาขึ้นมองเจ้าของเสียงเสียงตื่นตระหนกที่ดังเข้ามาก่อนตามมาด้วยเสียงรองเท้าวิ่งตึกตักอย่างรีบเร่ง เมื่อได้เห็นตัวตนเจ้าของเสียงเด็กน้อยก็วิ่งเข้ามาหยุดหอบหายใจอยู่บนพื้นตรงหน้าเรียบร้อย

“จิ่วเอ๋อร์ มิใช่เด็กน้อยแล้วเจ้าส่งเสียงดังอันใดทั้งยังวิ่งในเขตอาราม ใยไม่รักษากริยามารยาทที่อาจารย์สั่งสอน”

อาจารย์รองผู้มีรูปร่างอวบท้วมกว่าอาจารย์ผู้มีรอยยิ้มเอื้ออารีบนใบหน้าเป็นผู้เอ่ยถามขึ้นมา

เด็กสาวสวมชุดเทาวิ่งพรวดพราดเข้ามาหยุดยืนหอบหายใจสักครู่ เงยหน้ากลมเนียนแก้มดั่งซาลาเปาที่เวลานี้แดงปลั่งมีเหงื่อไหลเป็นเม็ดเนื้อผ้าบนรูปร่างกระทัดรัดเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ  เด็กสาวอยู่ในวัยสิบสองปีเพราะเกิดในครอบครัวยากจน ครอบครัวอาศัยอยู่ในชนบทที่แร้นแค้นฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล บิดามารดามีบุตรหลายคนสิบปีก่อนช่วงที่ครอบครัวเลี้ยงไม่ไหวกำลังจะพากันอดตาย อาจารย์ใหญ่ผู้ซึ่งไม่เคยออกจากอารามได้ผ่านไปพอดีด้วยความเมตตาสงสารจึงเอ่ยปากขออุปการะ ด้วยท่านอาจารย์มองเห็นว่าเป็นผู้มีโชควาสนากับการบำเพ็ญเพียร บิดาดีใจจึงรีบยกให้เด็กหญิงตัวน้อยจึงกราบลาบิดามารดาและครอบครัวติดตามกลับมาอาราม นางเติบโตท่ามการเลี้ยงดูของอาจารย์ทุกคนที่อารามและได้รับการตั้งชื่อให้ตามลำดับในพี่น้องของครอบครัวตนเอง นางเป็นเด็กสาวที่จิตใจดีงาม      

“เรียนท่านอาจารย์ อาจารย์รองและอาจารย์อาทุกท่าน ศิษย์ลงไปตักน้ำและหาผลไม้ที่ลำธารด้านล่างตามปกติ ขณะที่เดินกลับอารามได้ยินเสียงประหลาดข้างทาง ศิษย์สงสัยจึงหยุดและแหวกหญ้าริมทางเข้าไปดูพบเห็นคล้ายซากศพของเด็กน้อย จึงรีบกลับมาอารามเรียนให้อาจารย์ทราบเจ้าค่ะ”

พูดจบก็ยังหายใจเข้าออกแรงๆ อาจารย์ใหญ่หันไปหาอาจารย์รอง หากเป็นเรื่องจริงร่างนั้นจะปล่อยให้เป็นอาหารของสัตว์ป่าก็ดูจะน่าสงสารเกินไปสมควรได้รับการจัดการที่เหมาะสมจึงพยักหน้าพลางเอ่ยให้ลงไปตรวจสอบและจัดการให้เหมาะสม

“เด็กหรือ ที่นี่ห่างไกลบ้านเรือนของชาวบ้านยิ่งนักไม่ค่อยจะมีผู้คนมาถึง เจ้าพาศิษย์น้องสองสามคนตามนางไปตรวจสอบดูว่าความจริงเป็นอย่างไร แล้วจัดการตามความเหมาะสม เด็กที่ว่าจะมีชีวิตหรือไม่ก็สมควรลงไปดูเสียหน่อย มิอาจปล่อยปละละเลยได้ ผู้บำเพ็ญสมควรมีจิตเมตตา”

“ข้าทราบแล้วศิษย์พี่ ท่านวางใจได้ข้าจะจัดการให้เหมาะสม”

ชั่วครู่เดียวกลุ่มอาจารย์และศิษย์ตัวน้อยก็พากันเดินลงมาจากอารามด้วยความสุภาพยิ่งไม่มีเสียงพูดจาให้ได้ยินมีเพียงเสียงฝีเท้าหนักเบาไม่เท่ากันเท่านั้น เมื่อเดินตามจิ่วเอ๋อร์ตัวน้อยมาถึงจุดหนึ่งเกือบปลายทางก่อนขึ้นอารามเด็กน้อยก็ชี้ไปที่ด้านข้างทางเดิน ร่องรอยต้นหญ้าถูกแหวกออกไว้แล้วพอที่จะมองดูได้ อาจารย์รองก้าวไปข้างหน้าเมื่อมองลงไปมีร่างของเด็กสาวตัวเล็กๆ นอนขดตัวในพงหญ้ามีใบไม้และเศษหญ้าปิดคลุม รอบๆร่างเล็กก็ไม่มีสิ่งของใดใดเห็นเพียงสีเขียวสีน้ำตาลของต้นไม้ใบหญ้า พลิกดูสภาพเด็กสาวใบหน้าเลอะดินโคลน เสื้อผ้าฉีกขาดสกปรกเปรอะเปื้อนมองไม่เห็นสีที่แท้จริงของเนื้อผ้า สีผิวซีดเซียวไร้สีสันสภาพเหมือนคนตายจริงตามที่จิ่วเอ๋อร์ขึ้นไปบอก นางโบกมือเรียกคนหนึ่งในกลุ่มให้ก้าวเข้าไปก้มๆ เงยๆตรวจดูลมหายใจและชีพจร

“โชคดี เด็กนี่ยังมีชีวิตอยู่แต่ลมหายใจเบาบางมากเจ้าค่ะศิษย์พี่”

“พวกเจ้าสองคนช่วยกันหาไม้มาทำแคร่หามพานางกลับอาราม”

บนเตียงอุ่นร่างเล็กถูกวางเหยียดยาวผลัดเปลี่ยนเป็นชุดของจิ่วเอ๋อร์แต่ก็ยังดูใหญ่เกินกว่ารูปร่างของนางที่เล็กและผอมบางอย่างยิ่ง อาจารย์ใหญ่นั่งที่ขอบเตียงเป็นผู้ตรวจชีพจรและร่องรอยต่างๆ ก่อนจะดึงผ้าห่มคลุมร่างเล็กไม่ให้ถูกลมยามค่ำคืนที่หนาวเย็น ท่านถอนหายใจ ลุกขึ้นหันมาสบตาอาจารย์ท่านอื่นที่ยืนรอบๆ

“ศิษย์พี่ เด็กน้อยนางนี้มีอาการเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”

อาจารย์อาสามแซ่หลี่ ผู้มีใบหน้าเรียบเฉยนิ่งสงบในมือยังคงนับประคำในมือเลื่อนไปเรื่อยๆ เป็นผู้เอ่ยถาม

“เด็กหญิงผู้นี้คาดว่าได้รับพิษบางอย่างทำให้ชีพจรอ่อนแรงและอาจจะพลัดหลงมาหรือถูกนำมาทิ้งไว้ โชคยังดีถูกจิ่วเอ๋อร์พบเข้าและในอารามของเรามีโอสถพอที่จะบรรเทาอาการของนางได้ ถือว่าสวรรค์เมตตาแล้วจากนี้ก็ต้องดูว่าเด็กน้อยคนนี้มีวาสนาเพียงพอไหม หากโชคนางยังเหลือพอสองสามวันหลังจากนี้เด็กน้อยก็น่าจะฟื้นขึ้นมา หลังจากนั้นถ้าอาการดีขึ้นค่อยซักถามรายละเอียดอีกครั้งพวกเจ้าก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนเถอะ ให้จิ่วเอ๋อร์ต้มยาและอยู่ดูแลนางแล้วกัน”

“จิ่วเอ๋อร์ เจ้ารับหน้าที่ต้มยาและป้อนให้นางเช้าเย็น เจ้าดูแลนางได้หรือไม่ หากว่าดีขึ้นรู้สึกตัวแล้วเจ้าก็ไปตามอาจารย์ เข้าใจหรือไม่” 

“ศิษย์ ทราบแล้วเจ้าค่ะ”

เด็กสาวผงกศรีษะพร้อมยกมือคำนับให้กับอาจารย์ทุกท่านที่ค่อยๆทยอยออกจากห้องไปในห้องเหลือเพียงจิ่วเอ๋อร์คนเดียวมีลมพัดเข้ามาจากหน้าต่าง ที่นี่อยู่บนเขาสูงอากาศกลางคืนเย็นมากนางรีบเดินไปปิดหน้าต่างเพื่อให้ห้องอบอุ่นขึ้น ตรวจดูความเรียบร้อยของเทียนก่อนจะถอยออกจากห้อง

แสงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าเสียงนกร้องนอกหน้าต่าง จิ่วเอ๋อร์ลืมตาขึ้นอากาศกำลังสบาย ความจริงนางยังอยากปิดตานอนหลับต่ออีกสักนิด แต่ใจยังกังวลกับเด็กผู้หญิงตัวเล็กไม่ต่างกับนางที่นอนเหยียดยาวตั้งแต่พาขึ้นมายังไม่ได้สติสักครั้ง เมื่อวานเย็นหลังทานมื้อเย็นเมื่อดูแลตนเองผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยก็มานั่งเฝ้าอาการนาง ป้อนยาตามเวลาที่ท่านอาจารย์ใหญ่กำชับไว้ ในใจข้าคาดหวังว่านางจะลืมตาขึ้นมา (หายไวไวนะข้าเฝ้ารอเจ้าอยู่) ในอารามที่นี่เงียบเหงามีแต่บรรดาผู้อาวุโสที่คร่ำเคร่งบำเพ็ญเพียรมุ่งหวังจะบรรลุเป็นเซียน สำหรับตนเองแล้วอยากได้เพื่อนเล่นเพื่อนคุยบ้างสักคน นี่ตะวันขึ้นแล้วนางน่าจะอาการดีขึ้นแล้ว(หากนางหายดีข้าจะขอให้อาจารย์รับนางไว้แล้วข้าจะเป็นศิษย์พี่ใหญ่ เด็กน้อยคนนี้ต้องเป็นศิษย์น้องของนางเท่านั้น) พลางมองไปที่เตียงยังไม่มีการขยับตัวใดใด เมื่อเอื้อมมือไปอังที่หน้าผากยิ่งตกใจใยเป็นเช่นนี้ นางยังมีชีวิตยังหายใจใช่หรือไม่ ข้าต้องรีบไปตามอาจารย์ใหญ่มาช่วยนาง

“อาจารย์ อาจารย์เจ้าคะท่านตื่นแล้วหรือยังเจ้าคะ ศิษย์ขออนุญาต เด็กคนนั้นร่างกายเย็นเฉียบเลย ท่านได้โปรดไปดูอาการนางด้วยเจ้าค่ะ”

มือเล็กเคาะที่ประตูไม้สามครั้งแล้วรอจนได้ยินเสียงตอบรับจากด้านในจึงเปิดแล้วก้าวเข้าไปด้านในพบอาจารย์ยืนถือลูกประคำอยู่อย่างสงบ

“เรียนท่านอาจารย์ เมื่อครู่ข้าสัมผัสตัวนางมันเย็นมาก ข้าได้ป้อนยาตามเวลาที่ท่านกำหนดไว้แต่นางยังไม่ฟื้นขึ้นมา ท่านสามารถไปตรวจดูอาการของนางได้ไหมเจ้าคะ”

“เจ้ากลับไปเฝ้าดูนาง สักครู่อาจารย์จะตามไป”

“ดูแล้วอาการของนางยังไม่ดีขึ้นร่างกายอ่อนแอเกินไปอาจจะไม่สามารถต้านทานพิษ หากผ่านคืนนี้ไปไม่ได้นางอาจไม่รอด เจ้าอย่ากังวลกับนางจนเกินไปทุกอย่างย่อมเป็นไปตามวิถีของธรรมชาติ เจ้าดูแลนางให้ดีก็แล้วกัน ถ้านางสิ้นวาสนาเมื่อนางจากไปพวกเราก็จะจัดพิธีให้นาง จำไว้ไม่ต้องเป็นทุกข์ มีเกิดย่อมมีดับมีอยู่คู่กัน หากไม่ดับก็ไม่เกิด”

เหลือเพียงจิ่วเอ๋อร์ในห้องที่อยู่เป็นเพื่อนเด็กสาวที่ไร้วี่แววจะตื่นขึ้นมา จวบจนใกล้อาทิตย์ลับขอบฟ้าลมหายใจของเด็กสาวก็หายไปพร้อมกับแสงตะวันอย่างเงียบเหงา

“อาจารย์บอกว่าเจ้าสิ้นวาสนาแล้ว สุดท้ายข้ากับเจ้าไม่มีโอกาสได้รู้จักกัน ข้าหมดโอกาสที่จะมีศิษย์น้องรุ่นราวคราวเดียวกันเสียแล้วต้องอยู่ต่อไปเพียงลำพังกับอาจารย์และเหล่าผู้อาวุโสในอารามแห่งนี้”

จิ่วเอ๋อร์นั่งพิงเตียงอุ่นที่มีร่างไร้ลมหายใจนอนเหยียดยาวไม่ไหวติง นางแสนสงสารร่างเล็กบนเตียงยิ่งนักอายุน้อยกว่าตนเองร่างก็เล็กกว่าซ้ำยังโดดเดี่ยว นางจะต้องจัดพิธีให้อย่างเต็มที่

ฉันตายแล้วสินะ จำได้ว่าหลังจากวูบดับไป ตื่นขึ้นมาก็เดินในทางมืดๆ ไม่มียมฑูตมารับตัวหรือเทพมาปรากฏให้เห็นเหมือนในหนังหรือในนิยาย ตื่นมาก็มานอนในที่แคบๆนี้ ไม่มีเรี่ยวแรงจะยกแขนเลยได้แต่พักเอาแรงแล้วเริ่มเอื้อมมือไปสัมผัสรอบๆ แข็ง เย็น ลื่น ที่นี่ที่ไหน ฉันเริ่มรู้สึกอึดอัด อากาศมีน้อยเกินไปจึงเอื้อมแขนเริ่มเคาะผนังด้านข้างสุดแรง ในความเป็นจริงแทบไม่มีเสียงเกิดขึ้นด้วยซ้ำ ด้านนอกเสียงคล้ายมีคล้ายไม่มีจนต้องตั้งใจฟังเป็นอย่างมาก เป็นเสียงพูดเสียงบ่นเบาๆ ด้วยความหวังที่จะรอดฉันจึงพยายามใช้เรียวแรงที่มีเหลืออยู่เคาะต่อไป

"ข้ายังคงนั่งเป็นเพื่อนเจ้า ในห้องโถงนี้มีเพียงโลงศพที่หนาวเย็น นี่ข้าจุดเตาไฟจะได้อุ่นขึ้นเจ้าอยู่ลำพังคงเหงาสินะ อาจารย์ทั้งหลายท่านเป็นผู้ถือศีลบำเพ็ญเพียรแทบจะไม่มีความรู้สึกโศกเศร้า ยินดี หรือแม้แต่โกรธ ดังนั้นจึงไม่มีใครเขาสนใจมาที่นี่ ข้าได้แต่จัดเตรียมสิ่งของเซ่นไหว้ให้เจ้า หวังว่าเจ้าจะอิ่มท้องไม่ต้องหิวโหย"

“เจ้ามาจากไหนกันนะ มาเกือบถึงอาราม ข้าก็อุตส่าห์พาอาจารย์ไปช่วยนำเจ้ากลับมารักษา ใยเจ้าไม่แข็งใจไว้ ถ้าเจ้ารอด ก็จะได้มีโอกาสเป็นศิษย์น้องของข้าเชียวนะ น่าเสียดาย…"

จิ่วเอ๋อร์รู้สึกเหมือนมีเสียงดังเบาๆ ข้าต้องหูแว่วไปแน่ๆ เหมือนในโลงศพจะมีเสียง จึงแนบหูไปชิด กึก กึก… ด้วยความสงสัยจึงใช้สองแขนผลักฝาโลงศพสุดแรงทำให้แง้มเป็นช่องเล็กๆ พอมองลอดลงไปนางได้เห็นลูกตาสองดวงจ้องมองมา

“อ๊า..! ผีหลอก ช่วยด้วย”

ด้วยความตกใจกับภาพที่มองเห็นนางส่งเสียงร้องออกมาด้วยเสียงอันดัง ก่อนจะถอยหลังล้มลุกคลุกคลานเมื่อตั้งหลักได้ก็วิ่งออกไปหาอาจารย์ที่ห้อง

“อาจารย์ อาจารย์ท่านช่วยจิ่วเอ๋อร์ด้วย ผีหลอก ปีศาจจะจับจิ่วเอ๋อร์กินแล้วแล้ว”

เด็กสาวตัวน้อยถลาเข้าไปคุกเข่ามือสองข้ายขยุ้มชายแขนเสื้อของอาจารย์ไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ทั้งยังหอบจนตัวโยนหน้าตาซีดเซียวเหมือนคนขวัญหนีที่ฝ่ามือมีเหงื่อไหลออกมา

“เจ้าสงบจิตใจก่อน ที่นี่อารามพุทธ ผีปีศาจอันใดกันตั้งสติหน่อยค่อยๆพูดออกมาให้รู้เรื่อง”

เสียงอาจารย์รองเอ่ยออกมาช่วยให้นางสงบลงเล็กน้อย

“เมื่อครู่ จิ่วเอ๋อร์เข้าไปนั่งในห้องเก็บโลงศพอยู่เป็นเพื่อนนาง แล้วได้ยินเสียงจากด้านในจึงแนบหูเพื่อฟัง ข้าได้ยินด้วยความสงสัยจึงแอบแง้มฝาโลงดูเล็กน้อย ข้า.. ข้าเห็นดวงตาเพ่งจ้องมองข้า น่ากลัว น่ากลัวมาก ข้าตกใจจึงรีบวิ่งหนีมาที่นี่เจ้าค่ะ”

อาจารย์ที่ได้ยินก็พากันลุกขึ้นเดินไปที่ห้องวางโลงศพ

“พวกเจ้าช่วยกันยกฝาโลงศพเปิดออก”