บทที่ 5
เด็กน้อยเฝ้ามองภาพตรงหน้าด้วยความปวดใจและพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะไม่ให้น้ำตาไหลออกมาเพราะไม่อยากให้ใครว่าว่าเป็นเด็กขี้แยอีก
“น้องหยกอยากได้ตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ๆ ค่ะ คุณน้าวีพาหยกไปซื้อตุ๊กตานะคะ” ด้วยความที่ขาดพ่อมาตั้งแต่เด็กๆ ทำให้เด็กหญิงหยกฟ้าไม่รีรอที่จะตอบคำถามของทัดเทพไปพร้อมๆ กับอิงแอบใบหน้าซบอกของอีกฝ่ายเพื่อหาความอบอุ่นซึ่งทัดเทพก็ไม่รังเกียจที่จะลูบผมเด็กสาวกลับไปเบาๆ อย่างเอ็นดู
“ได้สิครับ เอาไว้ว่างๆ น้าวีพาเข้าเมืองไปซื้อนะครับ” ทัดเทพตอบรับคำขอแทบจะทันทีที่จ้องมองหยกฟ้าอย่างเอ็นดู เขาหลงรักเด็กๆ แต่ก็ไม่รู้ทำไมถึงได้ใจร้ายกับลูกสาวของตัวเองนัก
“น้องพลอยก็อยากได้ตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ๆ เหมือนกันคะ...” ทว่าเสียงเล็กๆ ที่ดังขึ้นโดยไม่มีใครสักคนเอ่ยถามนั้นทำเอาทั้งโต๊ะถึงกลับเงียบกริบไป
ทัดเทพปรายตามองลูกสาวอีกครั้งเหมือนจะเอาเรื่องที่อีกฝ่ายพูดออกมาทั้งๆ ที่ไม่มีใครสักคนเอ่ยถามตนเอง แต่แล้วอารมณ์เหล่านั้นกลับต้องหยุดค้างเมื่อพบกับสายตาตัดพ้อผิดหวังที่ลูกสาวกำลังจ้องมองมาที่เขา สายตาที่บ่งให้รู้ถึงความเจ็บช้ำที่เขาเป็นคนสร้างขึ้นมาทำเอาหัวอกคนเป็นพ่อเจ็บปวดจนเริ่มทำตัวไม่ถูก
“น้องพลอยคะ หนูมีตุ๊กตาแล้วนะคะ คุณแม่ซื้อให้หนูแล้วจำได้ไหมคะ” มิ่งขวัญเอ่ยตอบลูกสาวก่อนจะกำชับลูกด้วยสายตาว่าให้พลอยลดาหยุดพูดสิ่งที่คิดอยู่ แต่ดูเหมือนเด็กน้อยจะไม่ได้เข้าถึงเจตนานั้นของผู้เป็นแม่สักเท่าไหร่เพราะสายตาคู่สวยสีน้ำตาลอ่อนยังคงจ้องมองไปยังพ่อแท้ๆ ที่กำลังโอบอุ้มเด็กอีกคนเอาไว้มั่น อุ้มในแบบที่ตนไม่เคยได้รับมาก่อน
มันคือความอบอุ่นที่เด็กน้อยเองก็ต้องการมันจากผู้เป็นพ่อมาโดยตลอดเช่นกัน
“แต่น้องพลอยอยากได้ตุ๊กตาจากคุณพ่อนี่คะคุณแม่ ไม่ได้เหรอคะ” คำถามสั้นๆ ของเด็กน้อยเป็นอันต้องจบค้างไปเมื่อสาวใช้พากันเดินเอาอาหารออกมาเสริฟอย่างรู้จังหวะ
บรรยากาศที่เงียบนิ่งทำให้มิ่งขวัญรู้สึกถึงลางไม่ดีบางอย่างที่อาจจะเกิดขึ้นกับเธอหลังจากที่สองแม่ลูกตรงหน้านี้กลับไป ซึ่งมันก็เป็นจริงดั่งที่คิดเอาไว้ไม่มีผิดเพราะทันทีที่เงยหน้าขึ้นจากงานข้าวเธอก็ต้องพบกับสายตาดุดันเอาเรื่องจากคนที่นั่งฝั่งตรงกันข้ามกันแทบจะทันที
การร่วมรับประทานอาหารค่ำที่แสนจะน่าอึดอัดเป็นอันต้องสิ้นสุดลงในเวลาต่อมาโดยทัดเทพเป็นคนเอ่ยอาสาเดินออกไปส่งรุ้งมณีกับลูกสาวด้วยตัวของเขาเองและทิ้งให้มิ่งขวัญกับพลอยลดาอยู่เก็บจานชามกันแค่เพียงสองคน ไม่นานเขาก็กลับเข้ามาพร้อมเอ่ยปากสั่งสาวใช้ที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดเสียงแข็ง...
“พาพลอยลดาออกไปก่อนแวว! ฉันมีเรื่องต้องจัดการกับแม่คนอวดดีนี่สักหน่อย!!” แววดาวขานรับคำสั่งก่อนจะค่อยๆ เดินจูงมือพาคุณหนูตัวน้อยออกไป ซึ่งพลอยลดาขัดขืนเล็กน้อยแต่พอเห็นผู้เป็นแม่พยักหน้าให้พร้อมรอยยิ้มจึงยอมให้แววดาวจูงมือหายออกไปโดยง่ายดายไร้การดื้อดึงขัดขืน
“คุณวีมีอะไรกับขวัญเหรอคะ”
มิ่งขวัญตัดสินใจเอ่ยถามเพื่อทำลายความเงียบงันที่น่าอึดอัดระหว่างเธอกับทัดเทพ เพราะรู้ดีว่าขืนเธอรอให้เขาเป็นฝ่ายพูดก่อนคงต้องยืนรอไปจนถึงเช้าวันพรุ่งนี้เป็นแน่
“ยังต้องให้ฉันถามอีกรึไง! เธอกล้าดียังไงถึงได้เสี่ยมสอนให้ลูกเป็นคนไม่มีมารยาทกลางโต๊ะอาหารแบบนั้น!!” ทัดเทพตวาดถามเสียงสั่น รู้สึกเสียหน้ากับแขกของตัวเองไม่น้อยที่จู่ๆ ลูกสาวของเขาก็โพล่งประโยคนั้นออกมากลางโต๊ะอาหาร เพราะความโกรธมันพลอยทำให้เขาคิดไปไกลถึงว่าพลอยลดาคงจะถูกแม่ผู้แสนดีของเธอเสี่ยมสอนมาให้พูดเพื่อที่จะได้ทำให้เขาดูเป็นพ่อที่ไม่เอาไหนต่อหน้าคนอื่น
ยิ่งคิดได้เช่นนั้นความไม่พอใจก็ยิ่งฉายแววให้ได้เห็นในดวงตาคู่ดุดันที่กำลังจ้องมองคนที่เขาตัดสินใจให้ต้องรับผิดชอบกับเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างเอาเรื่อง
“ถ้าคุณวีโกรธเรื่องนั้นขวัญต้องขอโทษแทนน้องพลอยด้วยค่ะ แกเป็นเด็ก คงไม่ได้ตั้งใจที่จะพูดแทรกออกไปแบบนั้นหรอกค่ะ คุณวีอย่าไปโกรธหรือเกลียดแกมากไปกว่านี้เลยนะคะ” คนได้ยินสะอึกไปชั่วครู่ก่อนจะปั้นหน้าเย็นชาตามเดิมทำเหมือนกับไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรต่อคำพูดกำกวมเหล่านั้นของคนตรงหน้าสักเท่าไหร่
ต่างจากมิ่งขวัญที่สะท้อนหัวใจเหลือเกินยามต้องมายืนขอโทษแทนลูกสาวทั้งๆ ที่เธอยังมองไม่เห็นเลยว่าสิ่งที่พลอยลดาพูดออกไปทั้งหมดนั้นจะเป็นเรื่องผิดบาปสักแค่ไหน เด็กน้อยก็แค่โหยหาความรักความเอาใจใส่จากผู้เป็นพ่อแท้ๆ ของแกมันก็เท่านั้น ซึ่งหากว่าจะถามเธอว่าเรื่องทั้งหมดใครเป็นต้นเหตุล่ะก็ก็คงจะเป็นเขานั่นแหละที่จงใจให้เธอกับลูกขึ้นมาเห็นภาพเหล่านั้นจนพลอยลดาทนไม่ไหวจำต้องเอ่ยถามถึงสิ่งที่ตัวเองไม่ได้จากผู้เป็นพ่อออกไป เขาต่างหากที่บีบให้ลูกต้องพูดทุกสิ่งที่ใจต้องการออกมา
