บท
ตั้งค่า

บทที่6 มีแต่เรื่อง

กัวเหม่ยอิงเดินดูอาหารแห้งในสหกรณ์ อาหารพวกนี้มีราคาต่ำกว่านมผงเป็นเท่าตัว หรือบางทีอาหารแห้ง 10 กว่าชั่งถึงจะพอค่านมผง 1 กระป๋อง

อาหารพวกนี้เป็นของจำเป็นสำหรับพวกเธอ กัวเหม่ยอิงจึงต้องซื้อเก็บไว้จำนวนหนึ่ง อย่างสาหร่ายแห้ง กัวเหม่ยอิงก็ซื้อไป 5 ชั่ง เกากี๋เพิ่มอีก 4 ชั่งเพราะที่บ้านยังเหลืออยู่ เหลือบไปเห็นฟองเต้าหู้แห้งกับกระเพาะปลาแห้งกัวเหม่ยอิงจึงหยิบมาอีกอย่างละ 10 ชั่ง

“ของพวกนี้พี่จะซื้อจริง ๆ เหรอคะ” สะใภ้รองร้องถามด้วยสีหน้าไม่เห็นด้วย

สาหร่ายแห้งกับเกากี๋หล่อนเข้าใจว่ามันสามารถเพิ่มรสชาติในอาหารได้ดี และที่บ้านก็จะซื้อติดไว้แม้จะน้อยนิดแต่ก็ยังมี แต่ฟองเต้าหู้แห้งกับกระเพาะปลาแห้งเป็นของที่ส่งมาจากมณฑลอื่นราคาจึงแพงกว่าของแห้งอื่น ๆ

“ใช่ ฉันจะเอาไปบำรุงคุณแม่” กัวเหม่ยอิงพยักหน้า อันที่จริงเธออยากจะได้หมึกแล้วก็กุ้งแห้งตัวโต ๆ เพิ่มอีก เพียงแต่ราคามันแพงเกินไป เธอยังไม่กล้าซื้อ จึงหยิบเอากุ้งแห้งตัวเล็ก ๆ มา 1 ชั่ง

“ค่ะ”

เพราะแม่สามีล้มป่วยในตอนนั้นพวกเธอไม่ได้พาไปหาหมอ หรือตามหมอมารักษาเพราะไม่มีเงินสักหยวน อย่าว่าแต่หยวนเลย สักเฟินก็ไม่มี ในความคิดของกัวเหม่ยอิงแม่สามีของเธอป่วยใจเพราะพ่อสามีจากไป เหล่าลูกชายและสะใภ้ไม่ได้เอะใจเรื่องอาการป่วยเพราะคิดว่าพอผ่านช่วงนั้นไปเดี๋ยวแม่สามีก็ดีขึ้น

แต่ในเวลานั้นพี่ใหญ่หานหรือก็คือสามีของเธอ และน้องชายรองหานหมดวันลาจึงกลับไปปฏิบัติหน้าที่ ส่วนน้องชายสามหานนั้นเพิ่งจะขึ้นมัธยมต้นจึงไม่ค่อยได้มาหาผู้เป็นมารดา ส่วนสะใภ้ต่างต้องลงแปลงหน้า รู้ตัวอีกที่แม่สามีก็ล้มป่วยแล้ว

หากจะต้องรักษาจริง ๆ กัวเหม่ยอิงคิดว่าต้องใช้เวลาหลายปีและต้องใช้เงินมากพอสมควร เพราะอุปกรณ์การรักษาหรือความรู้ของที่นี่ยังไม่ได้พัฒนามาก ไม่เหมือนกับอนาคตที่บางโรค บางอาการก็ตรวจเจอแค่หนึ่งชั่วโมง

ตอนนี้พวกเธอทำได้เพียงบำรุงร่างกายของแม่สามีให้ดี อีกอย่างก็คือรอน้องชายคนรองของสามีกลับมา ถึงในตอนนี้เธอจะเหมือนหัวหน้าครอบครัวแค่ไหนแต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าลูกชายคนโตต้องเป็นหัวหน้าครอบครัว หากลูกชายคนโตเสียชีวิตก็ต้องเป็นหลานชายที่ต้องดูแล แต่กัวเหม่ยอิงมีเพียงลูกสาว

พวกเธอแยกบ้านออกจากบ้านใหญ่สกุลหานก็จริง แต่พวกเธอไม่ได้แยกบ้านกัน เพราะแบบนี้แล้วน้องชายรองของสามีจึงเป็นเจ้าบ้านคนต่อไป

อีกอย่างเธอเป็นเพียงลูกสะใภ้จึงต้องรอความเห็นจากคนเป็นลูกชายของแม่สามีก่อน หากจะให้ทำการรักษา และไม่แน่ว่าบางทีแม่สามีอาจเดินไม่ได้อีกตลอดชีวิต ซึ่งมันเป็นเรื่องในอนาคต อะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้

กัวเหม่ยอิงเลือกซื้อของแห้งอีก 2-3 อย่างจึงไปดูเครื่องปรุงเพิ่ม เครื่องปรุงที่บ้านมีแทบจะทุกอย่างเพราะกัวเหม่ยอิงเอาออกจากตู้ในห้องนอน แต่แม้จะมีทุกอย่างมันก็มีแค่น้อยนิด

“อยากได้เหรอ” กัวเหม่ยอิงถามสะใภ้รองที่มองชั้นผลไม้

หล่อนเม้มปากก่อนจะส่ายหัว ในชีวิตนี้หล่อนเคยกินครั้งหนึ่งในวันที่สามีซื้อมาฝาก แม้จะมีผลเดียวแต่มันก็อร่อยมาก ๆ แต่ว่าราคาของมันก็ไม่ได้ถูก

มันสามารถซื้ออาหารได้มื้อหนึ่ง หล่อนบังเอิญเหลือบไปเห็นไม่คิดว่าพี่สะใภ้จะเห็นสายตาของหล่อน

แอปเปิล 1 ถุงใหญ่ พร้อมกับสาลี่อีก 1 ถุง ถูกกัวเหม่ยอิงยกมาถือเอาไว้แล้วเดินนำหน้าสะใภ้รองไปจ่ายเงิน ของในตะกร้าก็เยอะพอสมควร เธอไม่กล้าใช้น้องสะใภ้ตัวเองหอบทั้งหมดหรอก

“ทั้งหมด 68.9 หยวนค่ะ”

สิ้นเสียงพนักงานของสหกรณ์ผู้คนที่กำลังรอจ่ายเงินและเลือกซื้อของอยู่ต่างหันมามองอย่างพร้อมเพียง เงินจำนวนนี้ไม่ใช่ว่าจะหามาได้ง่าย ๆ ขนาดพนักงานของรัฐเงินเดือนยังเริ่มต้นที่ 20-35 หยวน ไหนจะหักค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนแล้วต้องออมเงินกี่เดือนถึงจะสามารถใช้จ่ายแบบนี้ได้? อีกอย่างจากการเฉลี่ยหลาย ๆ บ้านแล้ว ในหนึ่งเดือนพวกเขาล้วนใช้เงินไม่ถึง 10 หยวน หรือหากเป็นคนในหมู่บ้านที่ทำงานเก็บแต้มสมาชิกในบ้านพวกเขาเยอะแค่ไหนของยิ่งต้องประหยัดกว่านั้น รวม ๆ แล้ว 1 ปี พวกเขาล้วนใช้เงินไม่ถึง 10 หยวน

“นี่ค่ะ” กัวเหม่ยอิงยื่นทั้งธนบัตรทั้งเหรียญให้พนักงานพร้อมกับคูปองที่ต้องใช้

วันนี้เธอใช้เงินของแม่สามีเกือบครึ่งในการซื้อของเพราะจะไม่เป็นที่สงสัยของสะใภ้รอง แต่เธอก็จดจำนวนเงินพวกนี้ไว้ในกระดาษที่มีอยู่ในห้องไว้แล้ว

กัวเหม่ยอิงเรียกพี่ชายที่รออยู่ด้านนอกเข้ามาช่วยขนของเนื่องจากไม่สามารถนำตะกร้าออกจากสหกรณ์ได้ และที่นี่ก็ไม่มีถุงให้เธอใส่ด้วยเช่นกันจึงต้องขนออกไป และคนหนึ่งก็ต้องเฝ้าของเอาไว้ ถ้าเธอขนคนเดียวกว่าจะขนครบน่าจะมืดเสียก่อน

“ซื้อครบแล้วหรือ” พี่ใหญ่กัวถาม

“ค่ะ/ค่ะ”

“งั้นเรากลับกันเลยไหม”

“กลับเลยก็ได้ค่ะ แต่แวะไปห้องพักของน้องชายสามทีนะคะ”

“ได้”

เป็นไปตามที่กัวเหม่ยอิงคิด ทันทีที่เธอให้สะใภ้รองอุ้มหลานสาวอย่างหานเผยหนิงลงจากเกวียนวัว คนในหมู่บ้านที่พักอยู่หน้าบ้านหรือจับกลุ่มคุยกันต่างหันมาสนใจ

จะไม่ให้สนใจก็ไม่ได้ เพียงแค่บ้านไหนขยับตัวบ้านข้าง ๆ ต่างก็รู้แล้ว อีกอย่างในตอนนี้บ้านสามสกุลหานมีหลานสาวคนเดียวแต่ตอนนี้มีแม่กัวอุ้มนั่งเล่นอยู่ลานบ้าน แต่สะใภ้รองที่ยังไม่มีลูกกลับอุ้มเด็กลงจากเกวียนวัว อีกทั้งยังมีลูกชายคนเล็กของบ้านหานอีก

‘เอาเกวียนวัวไปเทียบหน้าประตูแล้วขนของลง’ กัวเหม่ยอิงกระซิบน้องชายสาม

เพราะเธอแต่งออกจากบ้านกัวแล้วก็ถือว่าไม่ใช้ครอบครัวเดียวกัน

การที่จะให้พี่ใหญ่กัวขนของเข้าบ้านให้ก็ไม่ใช่เรื่อง ที่เธอทำแบบนั้นก็เพราะไม่อยากให้ใครเห็นของที่ซื้อมา เดี๋ยวบ้านใหญ่สกุลหานจะอยากได้ไปอีก และที่เธอไม่ขนของเข้าบ้านก็เพราะเธอต้องเผชิญหน้ากับคนในหมู่บ้านที่ต้องการจะเข้ามาสอด

“สะใภ้ใหญ่! นั่นเด็กที่ไหนน่ะ”

ก่อนที่จะมีใครเข้ามาในบ้านกัวเหม่ยอิงจึงสั่งให้สะใภ้รองนำหลานสาวและนำแม่กัวที่อุ้มลูกสาวของเธอเข้าไปในบ้าน ส่วนตัวเธอแล้วก็ทำการปิดประตูรั้วเอาไว้

‘ไม่ใช่ว่าลูกของเจ้าสามหรือ!’

‘จริงหรือ’

‘ไหนว่าเรียนมัธยมในเมือง’

‘ใช่’

‘หรือบ้านสามสกุลหานโกหก’

‘น้องชายสามเรียนเหรอ ฉันคิดว่าเขาทำงานในเมืองซะอีก’

‘ไม่รู้ ฉันไม่เห็นใครเห็นเขาไปเรียนนะ’

‘แล้วเด็กนั่นเป็นลูกใคร’

‘บ้านสามจะเรื่องเด็กนั่นเหรอ’

“ไม่ใช่เรื่องที่ฉันต้องตอบค่ะ” กัวเหม่ยอิงว่าเสียงเรียบ ลำพังเรื่องในครอบครัวก็ยังไม่ได้คุยกัน คนนอกกลับอยากรู้เรื่องราวภายในก่อนพวกเธอ

“หึ คงจะเป็นเรื่องร้ายแรงสินะ”

“ลูกน้องชายสามจริง ๆ เหรอ”

“เขายังไม่ได้แต่งเมียนะ”

“นั่นสิ”

“รบกวนไม่เสียงดังนะคะ พอดีพวกเราอยากอยู่เงียบ ๆ ” กัวเหม่ยอิงกล่าวด้วยสีหน้าไม่สู้ดีทั้ง ๆ ที่จริงแล้วเธอแค่เหนื่อย

กัวเหม่ยอิงไม่ได้สนใจเรื่องราวภายนอกที่พยายามจะเปิดประตูจนรั้วไม้เริ่มหัก เธอเดินเข้าไปในบ้านแล้วนั่งลงที่เก้าอี้ห้องโถงที่ทุกคนนั่งรออยู่ยกเว้นแม่สามี

“แม่กับพี่ใหญ่กลับไปพักกันเถอะค่ะ ฉันรบกวนทั้งวันแล้ว” กัวเหม่ยอิงบอกผู้เป็นมารดาและพี่ชาย

“ได้ เดี๋ยวพี่จะกลับเลย” พี่ใหญ่กัวพยักหน้า เขาพอจะรับรู้เรื่องราวคร่าว ๆ จากน้องสาวตอนไปรับน้องชายสามกับลูก เขาไม่มีสิทธิ์ออกความเห็นอะไรจึงทำได้แค่เงียบ ๆ

“มะ…แม่” แม่กัวพูดอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ มีเรื่องที่อยากจะถามแต่ก็ไม่กล้าที่จะถาม

“เอาไว้เดี๋ยวฉันจะไปหานะคะ แต่วันนี้แม่กลับไปก่อนเถอะค่ะ อีกอย่างก็ขอบคุณนะคะที่มาดูแลเสี่ยวลู่ให้ค่ะ”

“อืม” แม่กัวพยักหน้าให้ลูกสาวแล้วเดินออกไป

“แอ้ แอ้”

“นายอุ้มลูกเข้าไปหาคุณแม่” กันเหม่ยอิงสั่งน้องชายสามี อันที่จริงก็อยากจะพาเข้าไปบอกเล่าเรื่องราว แต่กัวเหม่ยอิงก็อยากให้น้องชายสามเป็นคนบอกผู้เป็นแม่เอง อีกอย่างเธอก็ไม่อยากเข้าไปทำให้น้องชายสามไม่กล้าพูด

“จะดีเหรอครับ”

“อืม กล้าทำก็ต้องกล้ารับ นายก็รู้จักนิสัยของแม่นายดี”

ก็เพราะรู้จักเขาถึงไม่อยากเข้าไป ไม่ใช่ว่ากลัวผู้เป็นแม่จะด่า แต่เขากลัวนางจะเป็นลม

กัวเหม่ยอิงส่ายหน้าตามหลังน้องชายสามีก่อนจะหันมาดูของที่ซื้อมา กัวเหม่ยอิงแบ่งของออกให้เหลืออย่างละชั่ง ของพวกนี้เธอจะเก็บไว้ในครัว ส่วนของที่เหลือเธอจะเก็บไว้ในห้องของเธอเพราะห้องของสะใภ้รองไม่มีตู้ และจะเป็นการรบกวนแม่สามีหากเอาของเข้าไปเก็บ ๆ

ส่วนห้องของน้องชายสามยิ่งไม่ได้เลย ถึงจะเป็นคนในครอบครัวแต่น้องชายสามยังไม่ได้แต่งงานจึงไม่สมควรยิ่ง

เธอได้ยินเสียงภายในห้องของแม่สามีและเสียงตกใจของแม่สามีแต่เธอไม่ได้เข้าไปดู น้องชายสามเป็นคนผูกเรื่องราวนี้เขาก็ต้องเป็นคนแก้มันเอง

“เดี๋ยวแบ่งแอปเปิลกับสาลี่ไปให้บ้านกัวอย่างละ 5 ลูก” กัวเหม่ยอิงบอกสะใภ้รองที่ช่วยแยกของ

ถุงหนึ่งบรรจุแอปเปิลกับสาลี่ถุงละ 12-15 ลูก และมันก็ผลใหญ่มาก กว่าจะกินหมดกัวเหม่ยอิงคิดว่าพวกเธอจะกินมันไม่ทัน และเธอก็คิดก่อนจะซื้อเอาไว้แล้วว่าจะแบ่งไปให้บ้านกัว ที่เธอไม่ได้เอาให้เลยก็เพราะต่อให้หาเหตุผลอะไรมาแย้งแม่กับพี่ชายของเธอก็ไม่ยอมเอาไป เอาไว้ดึก ๆ ค่อยให้น้องชายสามเอาไปส่งก็ได้

“ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันแยกไว้ให้” สะใภ้รองพยักหน้า หล่อนไม่ได้ห้ามพี่สะใภ้ว่าไม่ให้เอาให้บ้านกัว ถ้าพวกเธอไม่ได้บ้านกัวช่วย ในตอนนี้ไม่รู้ว่าจะมีอะไรกินหรือเปล่า

“อืม เราไปทำกับข้าวกันเถอะ”

เช้าวันใหม่ของกัวเหม่ยอิงไม่ใช่เช้าวันที่สดใสมากนัก เมื่อคืนเรื่องที่เธอพาเด็กกับน้องชายสามกลับบ้านเป็นเรื่องที่รู้กันทั้งหมู่บ้าน จริง ๆ มันจะไม่ใช่อะไรเลยหากเธอไม่ได้พาเด็กกลับมาด้วย

“ขอโทษครับ” น้องชายสามก้มหน้าสำนึกผิด

“เฮ้อ ต่อให้เรื่องนี้เราไม่พูดก็ต้องมีคนพูดอยู่ดี” กัวเหม่ยอิงอ้าปากหาวอย่างง่วงนอน เมื่อคืนเธอแทบจะไม่ได้นอนเพราะลูกสาวของเธอตัวร้อนจึงต้องดูอาการทั้งคืน แต่ไม่คิดว่าตื่นเช้ามาจะมีคนให้ไปพบ

และใช่ บ้านใหญ่สกุลหานพอรู้เรื่องนี้ก็รีบให้คนมาเรียกไปพบ คงจะกลัวว่าพวกนางจะทำให้เสียหน้า แต่มาเรียกก็เช้าเกินไป กับข้าวมื้อเช้าจึงเป็นสะใภ้รองทำ ส่วนเธอก็นั่งหาวอยู่บนโต๊ะกินข้าว พร้อมกับน้องชายสามีที่นั่งสำนึกผิด

“แต่เราแยกบ้านออกมาแล้ว” น้องชายสามพูดอย่างไม่พอใจ ถึงวันที่เขาได้แยกบ้านออกมาเขาจะเด็ก แต่ก็รู้หลาย ๆ เรื่อง ไม่ใช่ไม่รู้ว่าที่บ้านถูกรังแก แต่เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย ทุกคนทำเพียงบอกให้เขาเรียนไม่ต้องยุ่งเรื่องภายในบ้าน

“ใช่ เราแยกบ้านแล้ว” กัวเหม่ยอิงยกยิ้มมุมปาก

“?”

“เอาเถอะ นายจะกลับไปเรียนอีกสี่วัน คิดไว้ยังว่าจะทำยังไง” กัวเหม่ยอิงถาม ถึงเมื่อคืนเธอจะได้ยินคำที่แม่สามีพูดแต่เธอก็รอให้น้องสามีเป็นคนมาบอก

“แม่บอกให้ลองถามพี่สะใภ้ครับ”

“อืม นายก็ลองถามหล่อนดู ฉันไม่มีเวลาเลี้ยงให้หรอกนะ” กัวเหม่ยอิงพยักหน้า

กัวเหม่ยอิงนั่งคุยกับน้องชายสามเกือบครึ่งชั่วโมงสะใภ้รองก็เอากับข้าวออกมาให้ ส่วนของแม่สามีสะใภ้รองทำไปให้ตั้งแต่เช้าพร้อมกับแอบเปิลหั่นเต๋าครึ่งลูก พวกเธอต่างรีบกินมื้อเช้าเพราะต้องไปบ้านใหญ่สกุลหานที่ส่งคนมาตามตั้งแต่เช้า

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel