ทะลุมิติมาเป็นคุณหนูตัวประกอบพ่วงระบบหลีกหนีกั๋วกงตัวร้าย

88.0K · จบแล้ว
เทียนสื่อ
51
บท
4.0K
ยอดวิว
9.0
การให้คะแนน

บทย่อ

นักเขียนสาวยุคสองพันตื่นขึ้นในร่างคุณหนูตัวประกอบผู้อาภัพ ซ้ำยังบ้าใบ้จากนิยายเรื่องหนึ่ง เดิมทีต้องไร้บทบาทตั้งแต่ต้นเรื่อง ไฉนจึงมีระบบผุดขึ้นมายัดเยียดให้เธอทำภารกิจหนีตายจากพระรองตัวร้ายด้วยเล่า!

นิยายจีนโบราณข้ามมิติระบบแฟนตาซี จีนโบราณเกิดใหม่ในนิยายแฮปปี้เอนดิ้งคู่หมั้นหญิงราชวงศ์/ชนชั้นเจ้ารักแท้

บทที่ 1 ทะลุมิติมาเป็นคุณหนูตัวประกอบ (1)

รูปปั้นพระโพธิสัตว์กวนอิมสีทองอร่ามปางประทานบุตรองค์ใหญ่โตตั้งตระหง่านอยู่ด้านในโถงกราบไหว้ของวัดเจาเจิน เสียงสวดภาวนาดังกระฉ่อนไปทั่วสารทิศ ควันสีขาวพวยพุ่งดั่งหมอกหนาจากธูปหอมลอยตลบอบอวล บ่งบอกว่าวัดแห่งนี้มีผู้คนหลั่งไหลมากราบไว้อย่างไม่ขาดสาย

"พระแม่ได้โปรดประทานบุตรแก่พวกเราทีเถิดเจ้าค่ะ"

สองสามีภรรยากราบไหว้วิงวอน ต่อรูปปั้นศักดิ์สิทธิ์ พลางโขกคำนับด้วยความศรัทธา ส่วนใหญ่ผู้ที่มาขอพรจะเป็นบรรดาเศรษฐีมีเงินทั้งสิ้น ทว่าคนยากจนนั้นไม่อยากมีบุตรกลับมีอย่างง่ายดาย เพราะเช่นนี้ใครก็ต่างเอ่ยเป็นเสียงเดียวกันว่า ผู้มีบุญวาสนาย่อมถือกำเนิดยากเสมอ

แค่ก แค่ก

เสียงเล็กกระแอมดังมาจากหลังรูปปั้น สองสามีภรรยามองหน้ากันหลุกหลิก ยามนี้อาทิตย์ก็เริ่มอัสดงแล้วเสียด้วย ผู้คนบางตาลงไปมาก ภายในโถงกราบไหว้จึงดูวังเวงชอบกล

"ท่านพี่ ท่านได้ยินเหมือนกันหรือไม่เจ้าคะ"

สามีพยักหน้าเป็นการตอบกลับ เขาเหลือบซ้ายแลขวาเพื่อมองดูว่ายังมีผู้คนอยู่บริเวณนี้หรือไม่ หลังจากสำรวจก็พบว่ายังหลงเหลือสองสามคนที่กำลังแขวนผ้าแดงศักดิ์สิทธิ์กับต้นไม้อยู่ด้านหน้า ส่วนข้างในมีเพียงเขาและภรรยาสองคนเท่านั้น เพราะเส้นทางมาวัดเจาเจินแสนเปลี่ยว ยามนี้ผู้คนจึงต่างเตรียมตัวทยอยกลับเรือนเกือบหมด

"บางทีเราอาจจะหูฝาดก็ได้"

แค่ก แค่ก

เสียงไอโขลกดังขึ้นอีกระลอก สองสามีภรรยาสะดุ้งโหยง โผเข้ากอดกันกลม

"ท่านพี่เจ้าคะ ข้าว่าองค์โพธิสัตว์คงศักดิ์สิทธิ์ไม่น้อย บางทีเราอาจได้บุตรในไม่ช้า" ภรรยาเอ่ยตะกุกตะกัก

สามีพยักหน้ารัวเร็ว ยามนี้ภายในใจของคนทั้งสองกำลังเต้นระส่ำด้วยความหวาดกลัว "ชะ...เช่นนั้นเรากลับกันเลยดีกว่า นี่ตะวันจะลับขอบฟ้าอยู่แล้วด้วย"

ผู้เป็นภรรยาพยักหน้าตอบ จากนั้นคนทั้งสองก็โขกศีรษะเพื่อคำนับรูปปั้นองค์โตสามครั้งด้วยใจไหวระทึก

สามีค่อย ๆ ประคองภรรยาตนลุกยืน ยังไม่ทันหมุนกายกลับ ก็มีมือขาวซีดโผล่ขึ้นมาจากเบื้องล่างโต๊ะเซ่นไหว้

ปึง!

เสียงฝ่ามือกระทบแผ่นไม้ดังสนั่น กายคนทั้งสองสั่นระริกอยู่เหนือการควบคุม สีหน้าแตกตื่นหวาดผวา

สองสามีภรรยาเหลือบมองมือปริศนาช้า ๆ บริเวณลำแขนมีรอยเขียวเป็นจ้ำ ฟกช้ำน่ากลัวยิ่ง ขาทั้งสองข้างจึงพร้อมใจสั่นผับผับ อยากก้าวเท้าออกจากบริเวณนี้เดี๋ยวนั้น แต่ขาเจ้ากรรมดันก้าวไม่ออก

"ทะ...ท่านพี่ นะ...นั่น นั่น คนหรือเจ้าคะ"

สามีกลืนน้ำลายหนืดเหนียวลงคอ เขาพยายามข่มอาการหวาดหวั่นเอาไว้ "ต่อหน้าองค์โพธิสัตว์ คงไม่มีผีปีศาจใดหรอกกระมัง เช่นนั้นเจ้ารอข้าตรงนี้นะ"

"เจ้าค่ะ ท่านพี่ระวังตัวด้วย"

สามีปล่อยมือที่โอบประคองภรรยาออก เท้าทั้งสองเยื้องย่างเข้าใกล้โต๊ะไม้สักซึ่งห่างจากตนไม่มากนักด้วยท่าทีดุจแมวขโมย หยาดเหงื่อเม็ดละเอียดเริ่มผุดพราวขึ้นเต็มหน้าผาก แผ่นหลังเปียกโซมราววิ่งอ้อมวัดมานับสิบรอบ

"ผะ...ผู้ใด" เสียงทุ้มสั่นเครือ

ยามนี้อากาศด้านนอกก็ช่างหนาวเย็น ประตูไม้บานใหญ่ที่แง้มอยู่ถูกลมโกรกเข้ามาเป็นเหตุให้ขนบนกายพร้อมใจลุกชัน

มือปริศนาอีกด้านถูกยกขึ้นวางเสียงดัง

ปึง!

คนทั้งสองสะดุ้งโหยง

"...ท่านพี่ กลับเถิดเจ้าค่ะ บางทีอาจเป็นพวกไม่ประสงค์ดี"

ผู้เป็นสามีก็ชักไม่อยากสอดรู้เสียแล้ว เขาพยักหน้าระรัว แล้วจึงถอยห่างพลางถลันเข้าประคองภรรยาเอาไว้อีกครั้ง

"เช่นนั้นเรากลับกันดีกว่า"

คนทั้งสองตั้งท่าหมุนกายกลับ ทว่าหางตาดันเหลือบเห็นคนผู้หนึ่งโผล่ศีรษะขึ้นมาก่อน เหตุใดคนผู้นี้ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงนัก ซ้ำยังสวมอาภรณ์สีขาวซีดขาดกะรุ่งกะริ่งไปหมด

ผู้เป็นภรรยากรีดร้องเสียงหลง

กรี๊ด...

ขาที่แข็งทื่อจู่ ๆ ก็ติดไฟขึ้นมาเสียอย่างนั้น ส่วนสามียังคงยืนตัวค้างเฉกเช่นหุ่นไล่กา กระทั่งเขาเผลอสบดวงตาของอีกฝ่ายก็แทบเกิดลมจับ

"ผะ...ผะ...ผี"

ผู้เป็นสามีวิ่งตามภรรยาอย่างไม่คิดชีวิต แม่ชีห่มขาวที่กำลังเข้ามาสำรวจความเรียบร้อยเช่นเคยมองตามแผ่นหลังคนทั้งสองด้วยความงุนงง

"เกิดอันใดขึ้น"

จากนั้นแม่ชีชุดขาวก็เดินถือโคมไฟมุ่งตรงไปยังโถงกราบไหว้ทันใด

"ฮื่อ...หนาวจัง ทำไมถึงหนาวอย่างนี้เนี่ย"

ร่างปริศนาที่โผล่ขึ้นจากโต๊ะบูชาเปล่งวาจาเป็นครั้งแรก นัยน์ตากลมโตมองตามหนึ่งสตรีหนึ่งบุรุษด้วยอาการฉงน ทว่านางไม่มีเวลาใส่ใจท่าทีประหลาดของคนเมื่อครู่อีก เพราะยามนี้หญิงสาวรู้สึกว่าตนหนาวเหลือเกิน มันช่างเย็นเยียบราวกับถูกปลายมีดน้ำแข็งเสียบลึกลงยันแก่นวิญญาณ 

แขนทั้งสองถูกยกขึ้นทีละฝั่ง หญิงสาวย้ายสายตากวาดมองสลับไปมา "นี่เกิดอะไรขึ้นกัน ทำไมแขนเรามีแต่รอยเขียวช้ำแบบนี้ล่ะ"

ครั้นลองสัมผัสดูหนึ่งจุด เสียงเล็กก็ร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด

"โอ๊ย เจ็บ เจ็บ" เท้าเปลือยเปล่าค่อย ๆ ขยับเชื่องช้า เปลือกตาบางหลุบลงเบื้องล่าง "เอ๋...รองเท้าก็ไม่ใส่ บ้าไปแล้ว เท้าแข็งจนเกือบหักได้"

เท้าเล็กเคลื่อนไหวไปเบื้องหน้า แต่ดูเหมือนว่าการขยับเขยื้อนช่างไม่ได้ดั่งใจเอาเสียเลย ก้าวหนึ่งครั้งก็ราวกับว่ากระดูกกำลังจะแหลกละเอียดอย่างไรชอบกล "โอ๊ย...เดิน...ไม่ไหว เจ็บจัง...นี่เราไปถูกใครทารุณมาเนี่ย"

นัยน์ตากลมโตช้อนขึ้น จากนั้นหญิงสาวจึงตั้งสติ พยายามประมวลความคิดและกวาดสายตาเพื่อสำรวจโดยรอบ

ด้านในมีเพียงแสงจากเปลวเทียนที่ยังวูบไหวส่องสว่าง ดูเหมือนยามนี้กำลังเข้าสู่ช่วงหัวค่ำ อกด้านซ้ายเริ่มกระเพื่อมถี่ด้วยอาการประหวั่น

"นี่มัน น่ากลัวชะมัด วัดร้างหรือไงทำไมมันดูโบราณมาก อย่าบอกนะว่าอ่านนิยายจีนโบราณมากไปจนเก็บมาฝันเป็นตุเป็นตะ"

คิ้วสวยขมวดแน่นแทบผูกได้ปมหนึ่ง จากนั้นค่อย ๆ ปะติดปะต่อเรื่องราวที่ยังพอหลงเหลือในโซนสมอง