ย้อนกลับไปที่บทนำ 1-3
บทนำ
ย้อนกลับไปที่บทนำ
“พี่หมิงเสวียนอย่าตำหนิน้องอวี่เลยค่ะ เธอยังเด็กอีกทั้งเธอก็ไม่ได้มีงานอะไรให้ทำ จะตื่นสายบ้างก็ไม่เป็นไรมั้งคะ”
คำพูดนี้ไม่ได้ช่วยพูดแก้ต่างแม้แต่น้อย ดูเหมือนเป็นการยั่วโทสะของสาวน้อยอย่างเย่หมิงอวี่มากกว่า เธอไม่ชอบเกาม่านอี้อยู่แล้ว พอเธอช่วยพูดจึงดูเหมือนเป็นการว่ากล่าวเสียดสี
“เธอไม่ต้องยุ่ง ฉันจะทำหรือไม่ทำงานก็ไม่เกี่ยวกับเธอ”
“พี่แค่ไม่อยากให้พี่หมิงเสวียนตำหนิน้องอวี่เท่านั้น”
“เรื่องของฉัน ไม่ต้องรบกวนเธอเป็นห่วง”
“อาอวี่ อาอี้เป็นพี่สะใภ้ของเธอ ทำอะไรต้องให้เกียรติเธอ”
เย่หมิงอวี่หน้างอสะบัดหน้าหนีเมื่อถูกพี่ชายตำหนิเรื่องที่เธอโต้เถียงเกาม่านอี้เมื่อครู่ เรื่องที่ตระกูลเย่กำลังมีปัญหาทุกคนในบ้านรู้ดี เพราะต้องใช้เกาม่านอี้เย่หมิงอวี่ถึงได้ยอมอ่อนลง ถ้าไม่ใช่เพราะต้องการหนังสืออนุญาตผ่านทางของเกาม่านอี้ ตระกูลเย่คงไม่ยอมอ่อนถึงขนาดนี้
แต่ก็มีบ้างที่จะลืมตัวแล้วเอ่ยตำหนิแสดงกิริยาไม่ชอบเธอจนเห็นได้ชัดเจน ถึงอย่างนั้นเกาม่านอี้ก็ไม่ได้สนใจ ขอเพียงสามีรักเธอ เธอก็พอใจมากแล้ว
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารสงบลงเล็กน้อยเมื่อเย่หมิงเสวียนใช่สายตาบอกแม่กับน้องสาวให้สงบปากสงบคำเสียก่อน เย่หมิงเสวียนตักอาหารให้เธอตลอดเวลาที่นั่งทาน ไม่มีท่าทางรังเกียจหรือไม่ชอบใจสักนิดเดียว เขาแสดงเก่งมากขนาดนี้ทำไมเธอไม่เขียนให้เขาเป็นนางงิ้วไปเสียเลยนะ
“พี่หมิงเสวียนจะไปไหนหรือคะ”
“พี่ต้องออกไปช่วยพ่อดูแลงานที่สำนักงานเสียหน่อย อาอี้อยู่ที่นี่ได้หรือเปล่า พี่ไปไม่นานจะรีบกลับ”
เกาม่านอี้ชั่งใจว่าควรตามเขาไปหรือควรอยู่บ้านดี คราวก่อนเธอเลือกที่จะอยู่บ้านคอยเขา ทำให้ฉากนี้เธอไม่ได้เจอกับพระรอง กว่าจะเปิดตัวพระรองก็ปาไปตั้งเกือบกลางเรื่อง ครั้งนี้เธอตั้งใจจะเปลี่ยนเรื่องราวฉะนั้นเธอควรไป
“พี่หมิงเสวียนให้ฉันไปด้วยได้ไหมคะ อยู่บ้านคนเดียวฉันคงเบื่อ ได้ตามพี่ไปคงดีกว่าอยู่ที่บ้าน”
“เอ่อ...ได้สิ อาอี้อยากไปไหนพี่จะพาไปแน่นอน อย่างนั้นอาอี้แต่งตัวสักหน่อยพี่จะรออยู่ที่โถงชั้นล่าง”
เดิมทีเขาอยากไปคนเดียวแต่พอคิดดูแล้วว่าให้เธอไปเห็นว่าตอนนี้กิจการตระกูลเย่มีปัญหา ผู้หญิงหัวอ่อนอย่างเธอคงต้องยอมมอบหนังสืออนุญาตการค้าให้เขาเพื่อพยุงธุรกิจบ้านสามีเอาไว้
“อาเสวียน ลูกคงไม่ได้จะพาผู้หญิงคนนั้นไปด้วยหรอกใช่ไหม”
“ลูกจะพาเธอไปเพื่อให้ได้รู้ว่าตระกูลเย่มีปัญหา ผู้หญิงหัวอ่อนเช่นเธอต้องหาทางช่วยสามีแน่ คุณแม่ไม่คิดอเหมืนกันหรอครับ”
โถงไม้ถูกตกแต่งอย่างหรูหรา ช่างสวนทางกับการเงินในตอนนี้ของตระกูลเย่จริง ๆ และเพราะไม่มีทางเลือกเย่ป๋อหรานจึงให้ลูกชายจับเกาม่านอี้ไว้ให้อยู่ให้ได้ เย่หมิงเสวียนนั่งพูดคุยกับมารดาระหว่างที่รอให้เกาม่านอี้แต่งตัวเสร็จ ชายหนุ่มยกแก้วกระเบื้องเคลือบที่ภายในมีชาร้อนอยู่ครึ่งหนึ่งขึ้นมาดื่มหลังพูดจบ
แม้ไม่ได้รักชอบเกาม่านอี้แต่เย่หมิงเสวียนในตอนนี้ก็ไม่ได้มีใครในใจจึงยังคงแสร้งรักใคร่นางได้อย่างสบายใจ และเหตุการณ์ต่อไปนี้เองที่จะทำให้เขาได้เจอกับบททดสอบแห่งรักที่นักเขียนมอบให้
ครึ่งชั่วโมงต่อมาร่างอวบอิ่มก็สวมชุดกี่เพ้าสีงาช้างเดินเชื่องช้าลงมาจากบรรไดไม้เคลือบเงา พรมปูบันไดสีทึบส่งผลให้เรือนร่างอวบอิ่มดูขาวสะดุดตา เธอไม่ได้สวยอย่างสาวเอวบางร่างน้อยคนอื่น แต่กลับมีผิวสวยเนียนกระจ่างราวพระจันทร์บนท้องฟ้า
“พี่หมิงเสวียน รอนานหรือเปล่าคะ ฉันเลือกชุดนานไปหน่อยต้องขอโทษด้วยนะคะ”
“จะเลือกทำไม เลือกไปก็ไม่ได้ดูดีขึ้น”
“แม่! สวยแล้วครับไปกันเถอะ คุณพ่อคงรอพี่อยู่”
“ค่ะ”
เย่หมิงเสวียนปรามแม่ตนเองเสร็จก็หันไปยิ้มบางเบาให้ภรรยาตนเอง เดินไปจับมืออวบมาจูงไว้แล้วพากันเดินออกไปขึ้นรถที่จอดรออยู่หน้าประตูบ้าน
เกาม่านอี้รู้ว่าใครบ้างที่ไม่ชอบเธอแต่เธอไม่อยากสนใจจะทะเลาะด้วย เธอรู้ว่าเมื่อไรควรเอาคืนเมื่อไรควรหยุดจึงเลือกทำสิ่งที่สมควรทำเสียก่อน
อาคารไม้สามชั้นตรงหน้าคงเป็นสำนักงานตระกูลเย่ที่กำลังวิกฤตเพราะทางการตรวจสอบเคร่งครัด บริษัทไหนไม่มีหนังสืออนุญาตค้าขายจะไม่มีโอกาสได้ขนย้ายหรือค้าขายของโบราณ ทำให้รายรับน้อยลงแต่รายจ่ายเท่าเดิม
เมื่อตระกูลเกาค่อย ๆ ลดการทำธุรกิจเกี่ยวกับการขุดสุสานตระกูลเย่ก็เข้ามาในสายธุรกิจนี้แทนที่ แรกเริ่มเพราะทางการไม่เข้มงวดตระกูลเย่จึงมั่งมีขึ้นมา แต่ภายหลังธุรกิจนี้ถูกจับตามองมากเป็นพิเศษผู้ที่มีเส้นสายจึงได้เปรียบในการทำธุรกิจ
ตระกูลเกาก็เป็นหนึ่งในตระกูลที่มีเส้นสาย แม้ไม่มีใครรู้ว่าเส้นสายนี้มาจากนายทหารหรือผู้มีอำนาจคนใดก็ตาม เย่ป๋อหรานจึงเห็นว่าทางออกของปัญหาคือการได้ใบอนุญาตนั้นมาอยู่ในมือ แต่ของสำคัญเพียงนี้ใครจะมอบให้กันโดยง่าย ตระกูลเย่จึงวางแผนให้บุตรชายหลอกแต่งงานเพื่อยึดใบอนุญาตของตระกูลเกาในมือเกาม่านอี้มาเป็นของตน
