ตอนที่3 ยัยหนู
“ยด..”
เด็กหญิงตัวกลมก้าวขาป้อมรีบเดินเข้ามาหาคนเป็นแม่เมื่อเห็นว่ามีรถเก๋งคันสีขาวขับเข้ามาจอดที่หน้าบ้านพราวพิ้งค์ยิ้มต้อนรับคนที่มาใหม่หน้าระรื่นไม่ใช่ใครที่ไหนเป็นปลายฝันว่าที่เจ้าสาวของพ่อเลี้ยงแดนไทยเพื่อนรักของเธอเอง
“ไงจ๊ะ..เจ้าหมูอ้วนของน้าปลายมาให้น้าฟัดหน่อยเร็ว” ฟอดด ฟอดด
ปลายฝันหญิงสาวที่กำลังท้องโตหน้าตาจิ้มลิ้มเดินถือถุงกระดาษปรี่ตรงมาอุ้มหนูน้อยกอดหอมฟอดใหญ่คิดถึงไม่ได้เจอหน้าหลานสาวหลายวันเพราะต้องกลับไปเอาชุดแต่งงานที่กรุงเทพและอยู่กับครอบครัวต่อเป็นอาทิตย์
“ที่ไร่ไม่ยุ่งแล้วหรือถึงปลีกตัวมาที่นี่ได้”
“ไม่มีอะไรยุ่งแล้วล่ะที่จะวุ่นก็เห็นจะเป็นพรุ่งนี้เพราะต้องเตรียมตัวรับแขกที่บ้านฉันกับบ้านคุณแดน..เออ..วันนี้พ่อเลี้ยงคีรินฝากชุดมาให้”
ปลายฝันชี้ไปที่ถุงกระดาษข้างตัวที่ถือมาตั้งแต่ลงจากรถ
“ถ้าฉันไม่ใส่จะดูเสียมารยาทหรือเปล่า”
พราวพิ้งค์ว่าด้วยท่าทีลำบากใจ
“แน่นอน”
ปลายฝันรีบพยักหน้าสายตาของเธอบ่งบอกว่าอยากให้เพื่อนเธอนั้นรับรักพ่อเลี้ยงคีรินเสียที
“ทำยังไงพ่อเลี้ยงถึงจะเข้าใจว่าฉันไม่ได้คิดอะไรเกินไปกว่าพี่น้อง”
“พ่อเลี้ยงเค้าตามจีบเธอมาตั้งแต่เธอท้องยังไม่ยอมใจอ่อนกับเค้าอีกเหรอ..ทั้งหล่อทั้งรวยทั้งแสนดีไม่มีตรงไหนเข้าตาบ้างเลยเหรอพิ้งค์”
“เกินเลยไม่ได้จริงๆ..ฉันบอกเธอไปเป็นร้อยรอบแล้วหยุดเชียพ่อเลี้ยงให้ฉันได้แล้วไม่อย่างนั้นจะไม่คุยด้วยจริงๆด้วย”
พราวพิ้งค์มองค้อนปลายฝันตาเขียวเพราะดูท่าเพื่อนเธอจะทำลำบากใจอีกคน
“ก็ได้.ก็ได้..แค่นี้แม่เราก็ต้องดุน่าด้วยเนอะ”
“จ่ะ”
ปลายฝันยิ้มกริ่มเมื่อหลานตัวกลมหันมาพยักหน้าทำท่าเข้าใจในสิ่งที่ผู้ใหญ่เค้าพูดกัน
ตกดึกหลังจากยัยหนูพลอยขวัญหลับลงได้คนเป็นแม่ก็นั่งเขียนไดอารี่ประจำวันเหมือนเดิมเช่นที่เคยทำการเขียนเรื่องราวในชีวิตประจำวันเช่นนี้เธอทำมาตั้งแต่มาอยู่ที่นี่เพราะมันทำให้เธอเหมือนได้มีเพื่อนคุยระบายไม่ว่าเรื่องราวทุกข์สุขที่ผ่านมาแต่ละวันจะเป็นเช่นไรเธอก็จะจดบันทึกไว้ทั้งหมด
มือเรียวจับปากกาเขียนได้ประมาณครึ่งหน้าเธอก็พับเก็บสมุดเล่มหนาลงดวงตากลมโตมองลอดผ่านบานหน้าต่างกระจกไปมองยังดวงจันทร์ที่สว่างไสวเต็มดวงนับว่าปลายฝันโชคดีเหลือเกินเพราะแม้นฤดูกาลนี้จะเป็นช่วงฝนลงหนักแต่สองสามวันมานี้ฟ้าเปิดตลอดไม่มีแม้ลมฟ้าลมฝนให้เห็นทำให้งานแต่งที่กำลังจะเริ่มไม่มีปัญหาอะไร
วันต่อมา
พ่อและแม่ของปลายฝันมาถึงที่บ้านของพราวพิ้งค์ในช่วงบ่ายทั้งสองและปลายฝันต้องมาอยู่ที่นี่เพื่อที่พรุ่งนี้เช้าจะมีพิธีแห่ขันหมากมารับตัวเจ้าสาวไปที่งานแต่งที่ไร่เหมวัต
“บ้านพิ้งค์ค่อนข้างเล็กคุณพ่อกับคุณแม่อาจจะไม่ค่อยสะดวกหน่อยนะคะ”
“พ่อกับแม่อยู่ได้สบายอยู่แล้วลูก”
เปรมสุดาและปกรณ์ไม่ได้มีปัญหากับพื้นที่แม้แต่น้อยกลับชอบบ้านหลังเล็กของพราวพิ้งค์มากเสียด้วยซ้ำเพราะทั้งร่มรื่นสะอาดสะอ้านดูสบายตาไปเสียทุกส่วนเพราะตัวบ้านเป็นสีขาวเฟอร์นิเจอร์เป็นสีน้ำตาลอ่อนผ้าม่านก็จัดตกแต่งโทนขาวครีมทั้งหมดคนที่มาที่นี่จึงชอบบ้านของพราวพิ้งค์กันทุกคน
“เมื่อตอนปลายฝันเล็กๆพ่อกับแม่ก็อยู่กันแบบนี้..”
ปกรณ์ชายวัยกลางคนร่างผอมสูงหันมาพูดกับพราวพิ้งค์ก่อนจะวาดแขนโอบกอดภรรยาตัวเล็ก
“ได้อยู่ที่นี่แล้วก็นึกถึงเมื่อตอนที่เราช่วยกันสร้างตัวนะคุณ”
“นั่นสิคะ..ตอนนั้นลูกเรายังเล็กๆอยู่เลยตอนนี้จะแต่งงานมีครอบครัวแล้วสิเวลาผ่านไปเร็วจริงๆ”
เปรมสุดานึกถึงวันเก่าๆก็ใจหายเพราะจู่ๆก็มารู้เมื่อไม่นานมานี้ว่าลูกสาวตัวเองตั้งท้องและกำลังจะแต่งงาน
พราวพิ้งค์เห็นสองสามีภรรยากำลังนึกหวนคำนึงถึงความหลังเธอก็ได้แต่ยืนอมยิ้มอ่อนก่อนจะค่อยๆปลีกตัวจากทั้งสองออกมาหายัยหนูที่วิ่งเล่นอยู่ที่หน้าบ้านกับปลายฝัน
เกือบที่จะเย็นหลังจากฝากลูกสาวกับปลายฝันได้พราวพิ้งค์ก็รีบขับรถเก๋งสีขาวคันเก่งของเธอออกจากบ้านเพื่อไปหาซื้ออาหารที่ตลาดสดในตัวอำเภอเพื่อมาทำอาหารเย็นต้อนรับครอบครัวของปลายฝัน
หญิงสาวเดินเลือกซื้อของอยู่พักใหญ่จนได้ทุกอย่างครบแล้วจึงรีบกลับด้วยกลัวว่าจะทำอาหารไม่ทันมื้อเย็นรถเก๋งคันเก่งวิ่งกลับจากตลาดสดจนมาใกล้ปากทางเข้าซอยบ้านจู่ๆเครื่องยนต์ก็เกิดดับโดยที่ไม่มีสาเหตุทำคนที่ยิ่งรีบร้อนรนใจพอสมควร
“มาเสียอะไรตอนนี้เนี่ย..ยัยคนเก่งของฉัน”
พราวพิ้งค์ในชุดเดรสสั้นชมพูหวานเดินลงมาเปิดฝากระโปรงรถได้ควันก็พวยพุ่งออกมาจนเธอต้องรีบก้าวถอยหลังยกมือเรียวโบกปัดไปมาด้วยสีหน้าเหยเก
“คุณพิ้งค์...รถเป็นอะไรเหรอครับ”
รถกระบะสี่ประตูสีดำเข้ามาจอดด้านหน้ารถของพราวพิ้งค์เป็นคีรินพ่อเลี้ยงหนุ่มแห่งไร่เพียงกมลหนุ่มหล่อที่สาวๆต่างก็หมายปองแต่เขาเลือกที่จะสนใจพราวพิ้งค์เพียงคนเดียวแม่นจะมีลูกติดมาแล้วเขาก็ไม่สนเพราะเอ็นดูยัยหนูพลอยขวัญมากด้วยเห็นมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก
