บทที่2 ชายลึกลับที่ตรอกดำ 30%
เรียวขายาวก้าวลงจากรถลีมูนซีนสีดำคันงาม หญิงสาวขยับแว่นกันแดดก่อนจะหันไปสำรวจรอบๆ สถานที่แรกของการดื่มด่ำความสวยงามทางศิลปะก็คือซากปรักหักพังใจกลางเมืองที่ถูกบูรณะอย่างดี สิรินดาเดินสำรวจอยู่รอบนอกของรั้วโซ่ที่ล้อมรอบซากโบราณ หญิงสาวหยุดมองที่ป้ายบรรยายภาษาอาหรับที่อ่านไม่ออกทำเอาคนสวยเบ้ปากแล้วหันไปมองคนที่พาเธอ
“ซากป้อมปราการครับ หลังจากพายุทะเลเมื่อสองร้อยปีที่แล้วก็เหลืออยู่แค่นี้”
“ขอบคุณค่ะ...คุณนี่เก่งจริงๆ ทั้งขับรถแล้วยังเป็นไกด์ให้อีกด้วย”
“ด้วยความยินดีครับมาดาม”
“เข้าไปดูใกล้ได้มั้ยคะ”
“ไม่ได้ครับเขตที่ปักธงสีแดงห้ามเข้าเด็ดขาดไม่อย่างนั้นมาดามจะถูกตำรวจจับทันที” หญิงสาวผิดหวังเล็กน้อย
“งั้นเราไปที่อื่นดีกว่าค่ะ” ก่อนจะหันหลังกลับไปสิรินดาไม่ลืมที่จะถ่ายภาพเก็บไว้
รถยนต์แล่นออกไปนอกตัวเมืองหลวง เส้นทางที่ไปเริ่มวกวนคดเคี้ยวไม่นานเกินรอ สิรินดาก็เริ่มตื่นเต้นอีกครั้ง ตึกโบราณขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า สิรินดาหัวใจเต้นลิงโลดด้วยความดีใจเธอเคยเห็นแต่ในรูปภาพวันนี้ได้มาสัมผัสของจริงอย่างที่ฝัน ประติมากรรมที่ทำจากก้อนอิฐก้อนใหญ่เรียงต่อกันเป็นชั้นๆ จนกลายเป็นอาคารสวยงามไม่แต่งแต้มสีสันเหมือนบ้านเรือนที่เคยเจอมา
โดมขนาดใหญ่ที่ตกแต่งเรียบง่ายแต่วิจิตบรรจงไปด้วยลวดลายการแกะสลักทั้งอารยธรรมในอดีตกระจกสีเขียวขุ่นที่ประดับบนโดมส่องแสงสะท้อนลงมากระทบพื้นทำให้เป็นประกายราวกับมรกต รูปวาดสีน้ำมันเล่าเรื่องราวของเหตุการณ์ที่น่าจดจำและรูปของเทพเจ้าทั้งหลายที่ประชาชนนับถือถูกติดไว้ตามผนัง
สิรินดาเพลิดเพลินกับการเดินดูสิ่งต่างๆ ด้วยอาการตื่นตาตื่นใจหญิงสาวจดบันทึกลงสมุดที่เธอพกพาติดตัวไปตลอดเวลาตามนิสัยของคนช่างจดจำ กล้องถ่ายรูปดิจิตอลรุ่นใหม่ล่าสุดถูกนำมาใช้บันทึกภาพความสวยงามหลายต่อหลายรูป หญิงสาวกดชัตเตอร์อย่างไม่กลัวเลยว่าเมมโมรี่ของกล้องจะไม่เพียงพอความต้องการของเธอ
หญิงสาวยังไม่ได้หุบรอยยิ้มเลยตั้งแต่ที่เธอได้เห็นโบราณสถานต่างๆ เหมือนความผูกพันมันแผ่กระจายอยู่ในสายเลือด ยิ่งเห็นประชาชนที่เดินผ่านล้วนแล้วแต่ยังคงเอกลักษณ์ของอาภรณ์ที่สวมใส่เหมือนมีแรงดึงดูดบางอย่างที่ทำให้หญิงสาวอยากจะเข้าไปสัมผัสวิถีชีวิตของคนเหล่านี้ใจแทบขาด
“ที่นี่สวยจังเลยค่ะ”
“ครับเราบูรณะทุกอย่างให้คงสภาพเดิมมากที่สุด”
“ฉันอยากเห็นเมืองนี้ทั้งหมด” พนักงานขับรถของโรงแรมและทำหน้าเป็นไกด์พาเที่ยวพยักหน้ารับรู้สิ่งที่หญิงสาวต้องการ
“เชิญทางนี้ครับมาดาม...บนยอดหอคอยสามารถมองเห็นเมืองนี้ทั้งเมือง” คำบอกเล่าของเขาทำให้หญิงสาวรีบก้าวเท้ายาวๆ เพื่อจะขึ้นไปบนหอคอยให้เร็วที่สุด
ตึกเก่าทรงป่องควันมีบันไดวนคดเคี้ยวยาวเหยียดจนสุดยอดของหอคอย คนนำทางเล่าประวัติด้วยภาษาอังกฤษที่สำเนียงฟังยากเพราะเขาคงถนัดแต่ภาษาอารบิค สิรินดาสนใจทุกคำพูดพร้อมบันทึกไว้ หญิงสาวพบว่าตัวเองมักตื่นเต้นที่ได้พบเจออะไรใหม่ที่เขาพาไปเสมอ กว่าจะเดินขึ้นมาจนสุดทางหอคอยก็เล่นเอาหญิงสาวหอบเหนื่อย
“ว้าว สวยจัง” สิรินดาเบิกตากว้างเพื่อรับภาพความงดงามของเมืองอาหรับ
ทุกอาคารที่เธอเห็นสีสันกลมกลืนกันหมดไม่มีสีฉูดฉาดหรือแปลกตาจากบ้านข้างเคียง มัสยิดโบราณที่ใหญ่โตยังดูสมบูรณ์เกือบเต็มร้อยคงได้รับการบูรณะเป็นอย่างดีสมกับเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ รอบมัสยิดมีธงประจำชาติโบกพลิ้วปลิวไสว ถึงแม้จะมีต้นไม้เพียงไม่กี่ต้นแต่ก็ไม่ทำให้ความสวยงามลดลงเลย
“ขออยู่ที่นี่ซักพักนะคะ”
“ตามสบายครับมาดาม” ชายหนุ่มที่จัดว่าผิวคล้ำมากก้มศีรษะอย่างนอบน้อมก่อนจะถอยออกไปยื่นห่างๆ ปล่อยให้สิรินดาถ่ายรูปเก็บภาพที่เธอประทับเพื่อเอาไปประกอบวิจัยของเธอด้วย
ไกลสุดสายตาหญิงสาวมองเห็นพื้นสีเหลืองน้ำตาลคงเป็นแนวเขตของทะเลทรายที่เธอจะต้องเข้าไปสำรวจแน่ๆ ระยะห่างจากที่เธออยู่เรียกว่าหลายกิโลเมตร แต่แนวทรายที่จะไปสิ้นสุดอีกฝั่งนั้นไม่มีทางที่เธอจะมองเห็นจากจุดนี้เลย ความกว้างใหญ่ทำให้หญิงสาวเริ่มหวาดหวั่น พื้นที่โล่งๆ ที่ไกลสุดลูกหูลูกตานั้นแฝงไปด้วยความน่ากลัวที่ใครๆ ต่างล่ำลื่อ
แว๊บหนึ่งที่เธอมั่นใจว่ามองเห็นพื้นที่สีเขียวห่างจากแนวสันทรายไปค่อนข้างไกล ถัดมาก็เป็นอาคารที่ตั้งเป็นหย่อมๆ หรือว่ามันไกลจนเธอมองเห็นเพียงส่วนที่สูงใหญ่เท่านั้น หญิงสาวคิดในใจว่าจะมีเมืองเล็กๆ ที่ปกครองโดยชายผู้ฉลาดล้ำ กำยำแข็งแกร่งเหมือนในนิยายหรือไม่ แล้วเธอก็ต้องหัวเราะให้ความคิดไร้สาระนั่น
ตรอกเล็กๆ ไม่ห่างจากมัสยิดสถานที่สำหรับนักแสวงหาสินค้าต้องห้ามและหายาก รวมไปถึงเครื่องสูบยาเส้นเกือบทุกรูปแบบ สิรินดาลังเล ที่จะเดินเข้าไปในตรอกที่เขาขนานนามว่าตรอกดำ ซอกตึกเก่าๆ ที่มีกลิ่นอับชื้นน่าสะอิดสะเอี่ยนทำเอาหญิงสาวขนลุกอยากจะคายอาหารที่กลิ่นเข้าไปเมื่อกลางวันออกมา บรรดาพ่อค้าแม่ค้าแต่งตัวด้วยเสื้อผ้ามอมแมมปกปิดใบหน้ามิดชิดด้วยฮิญาบกำลังแนะนำสินค้าของตนเองด้วยภาษาอารบิค แต่หญิงสาวก็ฟังไม่เข้าใจเธอได้แต่เดินเลี่ยงไม่อยากเข้าใกล้คนพวกนั้น
“ทางนี้ครับมาดาม” เขาดูเป็นคนเจนสถานที่เอามากๆ ไม่ว่าจะมุมไหนชายหนุ่มสามารถพาเธอหลบเลี่ยงพ่อค้าแม่ค้าที่ขายของไม่น่าไว้วางใจได้ตลอด
“ที่นี่เรียกว่าอะไรคะ”
“ตรอกดำ...แหล่งรวมสิ่งของต้องห้าม”
“น่ากลัวจัง” สิรินดาบอกขณะเดินผ่านชายคนหนึ่งที่กำลังสาธิตวิธีดื่มน้ำอะไรบางอย่างสีดำเหนียวข้น หญิงสาวแอบเบ้ปากอย่างรังเกียจ
“แหวะ กินไปได้ยังไงกัน” เธอสบถกับตัวเองก่อนจะรีบจ้ำออกจากบริเวณนั้นโดยเร็ว
“ไม่สนใจอัญมณีหรือครับ”
“ไม่ค่ะ ฉันไม่ชอบใส่เครื่องประดับ” หญิงสาวตอบทั้งที่เธอยังไม่หายคลื่นไส้
“อุ๊ย” สิรินดาใจหายวาบเมื่อมือของใครบางคนคว้าต้นแขนของเธอเอาไว้ หญิงสาวหันขวับเพื่อดูให้แน่ใจว่าใครกล้าทำกับเธอเช่นนี้ ร่างสูงใหญ่ที่สวมชุดยาวสีดำพร้อมผ้าคลุมหน้าสีเดียวกันเปิดให้เห็นเพียงลูกนัยน์ตาที่ลึกจนน่ากลัว
“จะทำอะไร” สิรินดาร้องถามเป็นภาษาอังกฤษ มือหนาที่เคยจับแขนค่อยๆ เลื่อนออก เขาล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อแล้วควานหาอะไรบางอย่าง
หญิงสาวจับจ้องดวงตาคู่นั้นไม่กระพริบเพราะกลัวว่าเธอจะพลาดจังหวะที่เขาอาจจะทำร้ายเธอก็ได้ ร่างบอบบางสั่นเล็กน้อยเธอพยายามควบคุมตัวเอง จมูกเล็กมีอาการฟุตฟิตเมื่อได้กลิ่นแปลกๆ กลิ่นที่ชวนให้เวียนหัวแต่ก็ทำให้สมองของเธอเย็นวาบ หญิงสาวพยายามสลัดความรู้สึกนั้นออกไปเพราะสายตาที่ลึกและน่ากลัวกำลังมองสำรวจร่างกายของเธอ
“เอามั้ย” มือหนาที่ดูสกปรกยื่นสิ่งของบางอย่างให้กับเธอ หินสีเขียวเม็ดเล็กๆ คล้องอยู่กับสายสร้อยที่ทำจากเชือกผ้าร่มสีดำ สิรินดามองจี้หินนั้นอย่างตื่นเต้นเพราะแสงวาววับของมันชวนให้คนมองหลงใหล
“เท่าไหร่คะ”
“สิบเหรียญ” น่าแปลกใจที่พ่อค้าชาวบ้านแต่งตัวมอมแมมคนนี้กลับพูดภาษาอังกฤษตอบโต้กับเธออย่างชัดถ้อยชัดคำ แถมยังสำเนียงราวกับเป็นเจ้าของภาษาเสียเอง
หญิงสาวสนใจจี้หินสีเขียวมากกว่าจะถามว่าเขาเอามันมาจากที่ไหน เธอหยิบเงินในกระเป๋าแน่นอนว่าเป็นเงินดอลล่าให้เขาไป ทันทีที่รับชายลึกลับก็รีบเดินหายเข้าไปในฝูงชนที่กำลังเดินจับจ่ายซื้อของ
มือบางยกสร้อยที่มีจี้หินสีเขียวขึ้นมาส่องดูกับแสงแดดที่เกือบจะลับขอบฟ้าไปแล้ว แสงที่เธอเห็นก่อนจะซื้อจากชายลึกลับหายไปแล้ว ใบหน้าผิดหวังผุดขึ้นเล็กน้อย เธอกำสร้อยเส้นนั้นแล้วยัดใส่ลงในกระเป๋าเสื้อพยายามไม่ใส่ใจกับมัน
