ดวงใจศิลา

108.0K · จบแล้ว
เดลิล
49
บท
4.0K
ยอดวิว
9.0
การให้คะแนน

บทย่อ

ศิลา วิบูลย์พันธกิต ปัจจุบันอายุ 37 รูปหล่อ พ่อรวย เป็นพี่ใหญ่ของครอบครัว เคยเป็นอดีตนักการทูต แต่เกิดเหตุการณ์บางอย่างทำให้ตัดสินใจทิ้งงานที่ตัวเองรัก มารับตำแหน่งประธานบริษัทแทนพ่อ วันๆ เอาแต่ทำงานไม่สนใจโลกภายนอก เรื่องงานสามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว ความสามารถไม่เป็นรองใคร เป็นคนเด็ดขาด เย่อยิ่ง เว้นแต่เรื่องหัวใจที่ดูเหมือนเด็กอ่อนหัด ไม่กล้าตัดสินใจอะไร จนดูเหมือนคนขี้ขลาด โง่เขลาทำอะไรดูเชื่องช้าไปหมด จนในที่สุดก็ต้องเสียคนที่รักไป ..... บัวบูชา พิพัฒน์พันธ์หรือบัวหอม ปัจจุบัน อายุ 25 เป็นลูกครึ่งไม่ทราบสัญชาติ นำมาถูกทิ้งไว้หน้าบ้านวิบูลย์พันธกิตตั้งแต่เป็นทารกเพิ่งถูกตัดสายสะดือ โดยคุณแม่ของศิลาเป็นคนช่วยไว้ และได้อุปการะเลี้ยงดูจนโต หน้าตาผิวพรรณที่ดูโดดเด่น ยิ่งโตยิ่งสวย ยิ่งสีผมออกน้ำตาลทองธรรมชาติ ยิ่งดูขับผิวให้โดดเด่นมากขึ้นไปอีก แต่เกิดเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้เธอต้องทิ้งทุกคนออกมาใช้ชีวิตอยู่กับลูกๆ โดยที่ไม่รู้เลยว่ามีคนได้ออกตามหามาโดยตลอด เธอหนีจากผู้ชายคนที่เธอรักและครอบครัวของผู้มีพระคุณ ห้าปีของการเลี้ยงเด็กแฝดไม่มีสักวันที่เธอกินอิ่มนอนหลับแต่เพื่อลูกเธอจึงต้องอดทนกัดฟันเลี้ยงดูให้ดีที่สุดเพราะในชีวิตนี้เธอมีแค่พวกเขาเท่านั้น ... ตัวอย่างบางตอน "ว่ายังไงอยากได้เงินเท่าไร ฉันเข้าใจว่าเธอกำลังโตอาจจะต้องใช้เงินมากหน่อย" 'นะ..หนูไม่รบกวนคุณใหญ่หรอกจ่ะ' เด็กสาวปฏิเสธด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ก้มหน้างุด 'หึ' 'คุณใหญ่ส่งหนูลงตรงนี้ก็ได้นะจ๊ะ' น้ำเสียงติดเกรงใจเอ่ยออกมาทำให้ผมอยากจะจับตัวเขย่าให้หัวสั่นคลอน นั่งมาด้วยกันจนถึงบ้านแล้วยังจะมาขอลงกลางทางอีก เด็กคนนี้นี่มันยังไงกันนะ ฟังแล้วผมรู้สึกหงุดหงิดชะมัด 'ทำไม ขึ้นรถมากับฉันเธอลำบากใจมากอย่างนั้นเลย' ผมเอ่ยเสียงนุ่มแต่แฝงไปด้วยความเกรงขาม 'เปล่าจ่ะ' เด็กสาวตอบกลับก่อนจะเบือนหน้าหนีไปมองกระจก [บัวหอม] ฉันไม่ชอบเลยตอนที่คุณใหญ่ชอบพูดดุกันแบบนี้ ฉันปล่อยให้ความเงียบเกาะกุมพวกเราไว้ ยิ่งผ่านวันนั้นมาฉันก็รู้สึกได้ว่าคุณใหญ่พูดกับฉันต่างไปจากที่เคยได้รับเมื่อครั้งยังเด็ก นึกไปถึงตอนเด็กคำพูดที่คุณใหญ่ใช้เรียกบางครั้งก็เรียกฉันว่าหนูบัว หรือไม่ก็น้องบัว แต่มาตอนนี้ก็มีแต่คำว่าเธอกับฉัน คิดแล้วก็รู้สึกเจ็บหน่วงในใจจุกในอก ยิ่งตอนที่ถูกหมางเมินทำให้รู้สึกน้อยใจมากเหลือเกิน 'แล้วก็เรื่อง..' 'ค่ะ ฉันทราบดีว่าเรื่องไหนควรพูดไม่ควรพูด คุณใหญ่ไม่ต้องกลัวว่าฉันจะทำให้คุณใหญ่เสียหายหรอกนะคะ ความลับนี้มันจะหายไปพร้อมกับฉัน' หลังจากได้สติฉันก็ตัดสินใจพูดด้วยสรรพนามที่เปลี่ยนไปด้วยความน้อยใจ สะกดกลั้นน้ำตาไม่ให้มันไหลออกมา ถึงคุณท่านและคุณหญิงที่รักยิ่งของน้องบัว หนูอยากบอกกับคุณท่านกับคุณหญิงด้วยตัวเอง แต่หนูไม่กล้าพอ หนูไม่อยากเป็นภาระให้คุณท่านอีกต่อไป หนูขอบคุณคุณท่านกับคุณหญิงที่ให้ความเมตตาอุปการะเลี้ยงดูหนูมาตั้งแต่เด็กๆ และพวกพี่ๆ ยังเอ็นดูหนูมาโดยตลอด ขอบคุณคุณหญิงมากเลยนะจ๊ะ คุณหญิงเลี้ยงพี่ๆ ทุกคนมาดีมากๆ พวกพี่ๆ ไม่เคยรังเกียจเด็กที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างหนูแถมยังเอ็นดูหนูมาโดยตลอดเลยจ่ะ เพราะคุณหญิงกับคุณท่านที่สอนพี่ๆ มาอย่างดี หนูอิจฉาพี่ๆ นะจ๊ะที่มีพ่อกับแม่ที่น่ารักขนาดนี้ แต่ตอนนี้หนูมีปัญหาบางอย่างที่ไม่สามารถบอกคุณหญิงได้ด้วยตัวเอง หนูต้องขอโทษทุกคนนะจ๊ะ คุณหญิงไม่ต้องให้คนตามหาหนูนะจ๊ะหนูสัญญาจะดูแลตัวเองอย่างดี คุณหญิงไม่ต้องเป็นห่วงหนู อ่อ..คุณหญิงจ๊ะอย่างนั่งอยู่กับที่นานๆ นะจ๊ะเดี๋ยวตะคิวจะกิน ไม่มีหนูคอยบีบนวดให้แล้วนะจ๊ะดูแลสุขภาพด้วยนะจ๊ะ ถ้าชาติหน้ามีจริงหนูขอเกิดมาเป็นลูกคุณท่านกับคุณหญิงอีกคนนะจ๊ะ ฝากลาพวกพี่ๆ ที่น่ารักของหนูด้วยนะจ๊ะ รัก.. ดรามาโรแมนติกโรมานซ์

นิยายรักโรแมนติกนิยายรักนิยายปัจจุบันคนต่ำต้อยคนรับใช้โตมาด้วยเศรษฐีโรแมนติกพาลูกกหนีมีลูก

บทนำ ฝันร้าย

เอี๊ยดด~~~

โคร่มมม~~~

เฮือก!!!!

บัวหอมสะดุ้งตัวตื่นขึ้นมากลางดึกเหงื่อเม็ดโตผุดออกมาตามกรอบใบหน้าสวย ความฝันที่มักมาพร้อมกับสายฝนทำเอาเจ้าตัวสะดุ้งตื่นขึ้นมาทุกครั้งท่ามกลางความมืดมิดไร้ไฟส่องสว่างตามวิถีชีวิตชนบทมีแต่ความสว่างของสายฟ้าที่แล่นพล่านไปทั่วท้องฟ้า กับห่าฝนที่กระหน่ำลงมาไม่หยุดทำให้เกิดเสียงกระทบหลังคาดังสนั่นเหมือนพระพิรุณลงโทษ

[บัวหอม]

ฝันอีกแล้วฉันฝันถึงเรื่องในคืนนั้นอีกแล้ว เสียงฝนที่กำลังตกอย่างหนักทำให้ต้องรีบลุกขึ้นไปปิดผ้าม่านที่หน้าต่างเพราะแสงวาบสว่างแล่นไปทั่วท้องฟ้าที่ดูน่ากลัวนั่นทำเอาใจดวงน้อยพลันสั่นระริก เมื่อนึกไปถึงคืนที่ฉันเกิดอุบัติเหตุ ด้วยความเร่งรีบทำให้ไม่ทันได้ระวังพอลุกขึ้นยืนทรงตัวก็ต้องหน้านิ่วเพราะอาการเจ็บแปลบที่ขาข้างซ้ายผลพวงจากอุบัติเหตุ ฉันกัดฟันลุกมาปิดผ้าม่านที่หน้าต่างเพื่อไม่ให้เห็นแสงสว่างวาบที่เกิดจากฟ้าร้องฉันค่อยๆ เดินขากะเผลกไปที่หน้าต่างปิดม่านแล้วเดินเข้ามานอนอีกครั้ง ก่อนจะหยิบผ้าห่มผืนหนามาห่มลูกๆ ที่นอนบนฟูกเก่าๆ ข้างกัน

"แม่จ๋า//แม่จ๋า หนูกลัว"

"ไม่ต้องกลัวนะจ๊ะเด็กดี แม่อยู่นี่แล้ว"

"กอดหนูหน่อย//กอดหนูหน่อย" เด็กแฝดพูดออกมาพร้อมกันด้วยน้ำเสียงปนความหวาดหวั่นกับเสียงฟ้าที่กำลังดังกึกก้องอยู่ด้านนอก

"มาจ่ะกอดๆ กันนะ เดี๋ยวฟ้าก็หายร้องแล้ว โอ๋ๆ นอนนะลูกนะ”

“เจ้านกกาเหว่าเอ๋ย ไข่ให้ไว้แม่กาฟัก แม่กาก็หลงรัก คิดว่าลูกในอุทธรณ์ คาบเอาข้าวมาเผื่อ คาบเอาเหยื่อมาป้อนถนอมไว้ในรังนอน ซ่อนเหยื่อมาให้กิน ปีกเจ้ายังอ่อน คลอแคล ท้อแท้จะสอนบินพาลูกไปหากินที่ปากน้ำพระคงคา ตีนเจ้าเหยียบสาหร่าย ปากก็ไซร้หาปลากินกุ้ง กินกั้ง กินหอย กระพังแมงดา กินแล้วก็โผมา จับที่ต้นหว้าโพธิ์ทอง ปีกเจ้ายังอ่อน คลอแคล ท้อแท้จะสอนบิน พาลูกไปหากินที่ปากน้ำพระคงคา ตีนเจ้าเหยียบสาหร่าย ปากก็ไซร้หาปลา กินกุ้ง กินกั้ง กินหอย กระพังแมงดา กินแล้วก็โผมา จับที่ต้นหว้าโพธิ์ทอง”

ฉันร้องเพลงกล่อมลูกน้อยหันเหความกลัวของเด็กๆ ต่อเสียงฟ้าร้องฝนกระหน่ำด้านนอก อ้อมแขนเล็กๆ ของลูกๆ ทั้งซ้ายขวาวาดเกี่ยวเอวของฉันแน่นอย่างกลัวว่าจะหาย มือบางยกกอดลูกทั้งสองคนไว้แน่นด้วยความกลัวไม่ต่างกัน เราทั้งสามคนเกลียดเสียงฟ้าร้องและนั่นเป็นสิ่งที่ยืนยันการเป็นแม่ลูกของพวกเราได้เป็นอย่างดี

รุ่งเช้า

ตึง ตึง ตึง

"แม่จ๋า//แม่จ๋า" สองเสียงสอดประสานอย่างเข้ากันทันทีที่เห็นฉันอยู่ในครัว

"ไม่วิ่งกันนะจ๊ะเด็กๆ" ฉันที่กำลังทำข้าวต้มอยู่ในครัวต้องรีบปิดเตาเดินออกมาดูลูกสาวลูกชายทั้งสองคนที่พากันวิ่งออกมาจากชั้นบนของบ้านเสียงดังตึงตังขนาดบ่นก็แล้วว่าก็แล้วก็ยังไม่วายชอบวิ่งกันอยู่ดี ฉันส่ายหัวกับเด็กๆ ทั้งสองคนพร้อมรอยยิ้ม

"หอมจังเลยค่ะ //ครับ"

"ทำไมรีบตื่นละคะวันนี้ แม่จ๋ายังทำกับข้าวไม่เสร็จเลยจ่ะ" ฉันนั่งลงอ้าแขนรับลูกทั้งสองคนที่พากันวิ่งเข้ามาซุกไหล่ฉันคนละข้างแรงกระแทกที่โถมเข้ามาทำเอาฉันเกือบหงายหลังแต่ยังดีที่ทรงตัวได้

"เมื่อคืนหนูฝันร้าย" ข้าวหอมฝาแฝดคนพี่พูดออกมาด้วยใบหน้าติดกลัวน้ำเสียงสั่นระริก

"ผมด้วยฮะ" ข้าวปั้นแฝดคนน้องก็มีปฏิกิริยาไม่ต่างกัน

"ไหนคะลูกของแม่ฝันว่าอะไรเอ่ย บอกแม่ได้ไหมจ๊ะ"

ตอนนี้ฉันนั่งขัดสมาธิลงที่พื้นบ้านโดยที่มีลูกทั้งสองคนนั่งที่หัวเข่าคนละข้าง ถึงจะรู้สึกเจ็บแปลบที่ขาอยู่ แต่ลูกน้อยก็สำคัญกว่า

"หนูฝันว่าหนูถูกคนจับตัวไป ร้องหาแม่จ๋าแม่จ๋าก็ไม่เห็นมาหาหนูสักที" แฝดพี่สาวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นๆ พร้อมน้ำตาที่ไหลออกมาเปรอะเปื้อนไปทั่วใบหน้า

"หนู ก็ฝันว่าถูกจับไปเหมือนกันฮะ เรียกแม่จ๋าเท่าไรแม่จ๋าก็ไม่ได้ยิน" แฝดน้องพูดขึ้นมาอีกคนแต่ไม่ได้ร้องไห้ออกมาเหมือนพี่สาวแต่ก็มีสีหน้าเหมือนข่มกลั้นไว้

"โอ๋ โอ๋ ไม่ร้องนะจ๊ะแค่ฝันร้าย โบราณว่าฝันร้ายจะกลายเป็นดีนะคะ แล้วก็แม่จะไม่ยอมให้ใครมาจับตัวลูกของแม่ทั้งสองคนไปแน่นอน " ฉันกระชับอ้อมแขนกอดลูกทั้งสองคนไว้แน่น กดจมูกหอมหัวลูกทั้งสองคนก่อนจะพากันลุกไปนั่งในห้องครัวรอฉันทำอาหารต่อ เด็กๆ หยิบกระดาษวาดรูปออกมานอนวาดรูปเล่นรอฉันทำอาหารอย่างว่าง่าย