ฉันจะร่ำรวยด้วยเกี๊ยวยอดเซียน [ยุค 80]

66.0K · จบแล้ว
Ocean Books
35
บท
2.0K
ยอดวิว
8.0
การให้คะแนน

บทย่อ

พูดคุยกับนักเขียน มนพระจันทร์สวัสดีค่ะ ต้องขอออกตัวก่อนว่านิยายเรื่องนี้เป็นแนวยุค 80 ที่เขียนเป็นเรื่องแรก หลังจากหาข้อมูลในกูเกิ้ลมานานเป็นเดือน จึงได้เขียนออกมา แต่บางครั้งก็เหมือนจะไม่ถูกต้อง ดังนั้นมนพระจันทร์ขอแจ้งให้ทราบว่า ให้เป็นโลกคู่ขนานมีกลิ่นอายคล้ายประเทศจีนยุค 80 นะคะ สำหรับราคาสินค้า เงินเดือนต่าง ๆ รวมถึงค่าเงินด้วย เป็นราคาสมมติที่มนพระจันทร์ได้หาข้อมูลค่าครองชีพจากอินเทอร์เน็ตค่ะ ฉันจะร่ำรวยด้วยเกี๊ยวยอดเซียน เป็นเรื่องราวของเหอวาวาที่มีโอกาสได้มีครอบครัวที่อบอุ่น เธอจึงพยายามรักษาสิ่งที่ได้มาอย่างสุดความสามารถ ทว่าก็ต้องมีแม่บุญธรรมของสามี หลินอวี่ เป็นตัวอุปสรรคของชีวิตนี้ นอกจากแม่บุญธรรมแล้ว ยังมีอีกหลายคนที่เข้ามาทำให้ชีวิตที่คิดว่าจะสงบต้องเจอกับอุปสรรคที่หลากหลายด้วย มาร่วมลุ้นเป็นกำลังใจให้กับเหอวาวากันนะคะ ว่าจะสามารถพาครอบครัวไปสู่ความร่ำรวยได้หรือไม่ แล้วจุดจบของหลินอวี่จะเป็นยังไง ขอให้นักอ่านที่น่ารักจงมีความสุขทุกช่วงเวลาของการอ่านนิยาย หากนิยายเรื่องนี้มีส่วนผิดพลาดประการใด มนพระจันทร์ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ขอบคุณสำหรับทุกการสนับสนุน มนพระจันทร์ คำโปรย เหอวาวาชาติก่อนทั้งยากจนและเป็นส่วนเกินของครอบครัว ทว่าสวรรค์ก็ไม่ทอดทิ้ง ชาติใหม่นี้ เธอมีครอบครัวที่อบอุ่น ทั้งตั้งปณิธานว่าจะพาทุกคนไปสู่ความร่ำรวยให้จงได้ สปอยล์ “คุณเป็นใครกัน” “โธ่เอ๊ย วาวา คุณล้มหัวฟาดไปครั้งเดียวถึงกับฟื้นมาจำสามีตัวเองไม่ได้เชียวหรือ ผมเอง กู้จินเหอ” วาวาทำท่าพยักหน้าเข้าใจ ทั้งที่จริงเธอก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นใคร เดาเอาว่าน่าจะเป็นสามีจริงอย่างที่เขาบอก เพราะมองดูหน้าเด็ก ๆ ที่ยืนอยู่รอบเตียงก็มีส่วนคล้ายคลึงเขาอย่างกับชายหนุ่มย่อส่วน “คือที่นี่ เป็นบ้านของฉันหรือคะ”

นิยายรักโรแมนติกเกิดใหม่ฟินๆนิยายรักยุค80โรแมนติก

บทที่ 1 เทศกาลอาหารประจำปี

ปี ค.ศ. 2024

ประเทศจีน เมืองเซินเจิ้น

วันสุดท้ายของงานเทศกาลอาหารประจำปีของเมืองเซินเจิ้น

ท้องฟ้าสีครามสดใส พร้อมกับเสียงดนตรีภายในงานเทศกาลอาหารประจำปี ร้านขายอาหารขึ้นชื่อภายในเมืองต่างพร้อมใจกันนำอาหารมาวางจำหน่าย ไม่ว่าจะเป็นบะหมี่หมูแดง หรือว่าจะเป็นเป็ดย่างก็ดี สารพัดรายการอาหารซึ่งสมกับชื่อของเทศกาลที่จัดขึ้น

ผู้คนต่างหลั่งไหลเข้ามาเยี่ยมชมไม่ว่าจะเป็นชาวบ้าน นักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ เมืองเซินเจิ้นนอกจากจะเป็นที่รู้จักในเรื่องของสินค้าส่งออก หรือสิ่งสวยงามตามธรรมชาติแล้ว อาหารประจำปีก็เป็นสิ่งที่ถูกกล่าวถึงไม่ด้อยไปกว่ากัน

กลิ่นหอมของอาหารจากทุกร้านลอยคว้างในอากาศ มันทำให้หญิงสาวที่เรียนอยู่ในคณะคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเซินเจิ้นอย่างเหอวาวารู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก

ถึงแม้จะเป็นเพียงเด็กสาวธรรมดาคนหนึ่ง ที่ไม่ได้มีอะไรโดดเด่น ทั้งยังไม่ได้มีความสุขราบรื่นเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ ในชั้นอีกด้วย เหอวาวาเป็นนักศึกษาชั้นปีที่สองที่ยากจนที่สุดในชั้นเรียน ทำยังไงได้เพราะเธอต้องออกมาเช่าห้องอยู่ตัวคนเดียว ดีว่าค่าเทอมทางมหาวิทยาลัยออกทุนให้

แต่ค่าใช้จ่าย ค่ากิน ค่าอยู่ และค่าอะไรต่อมิอะไรอีกจิปาถะ เธอต้องทำงานพิเศษหาเงินเพื่อส่งตัวเองเรียนหนังสือ ถึงแม้เหอวาวาจะเหนื่อยล้า ลำบากแค่ไหน เธอก็ไม่เคยย่อท้อ มุ่งมั่นตั้งใจหาเงินอย่างถึงที่สุด

ความจริงแล้วเธอคงจะยังคงเป็นนักศึกษาที่ไม่ต้องมากังวลกับเรื่องค่าเล่าเรียน ถ้าคุณแม่ชาวไทยจะไม่เสียชีวิตไปก่อนที่เธอจะเรียนจบมหาวิทยาลัย แล้วพ่อจะไม่แต่งงานใหม่กับผู้หญิงใจร้ายซึ่งเป็นผู้ดูแลทุกอย่างในบ้าน

เหอวาวาเกิดและเติบโตที่ประเทศจีน เธอเคยไปเยี่ยมคุณตาคุณยายที่ประเทศไทยแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น โดยเหตุผลที่พวกท่านไม่ได้ชอบลูกเขยคนจีนเท่าไหร่ แต่แม่ของหญิงสาวก็สอนให้เธอเรียนรู้วัฒนธรรมต่าง ๆ ให้กับเหอวาวาเสมอ ต่อให้ต้องเหลือตัวคนเดียว วาวาก็ไม่คิดกลับไปพึ่งพาอาศัยคุณตาคุณยายที่ประเทศไทย เพราะใจหนึ่งเธอก็ยังคงรักคนเป็นพ่ออยู่นั่นเอง

นอกจากจะไม่ให้เงินสำหรับค่าใช้จ่ายแล้ว เมื่อครั้งที่เธอกลับไปเยี่ยมพ่อ แม่เลี้ยงยังขอเงินเธออีกด้วย อ้างเหตุผลของความกตัญญู แล้วแบบนี้เหอวาวาที่เป็นคนจิตใจดีจะปฏิเสธได้ยังไง

“กลิ่นหอมจังเลยแหะ รสชาติจะดีหรือเปล่านะ”

หญิงสาวเดินเข้าร้านนี้เดินออกร้านนั้นอย่างเพลิดเพลิน ไม่ใช่ว่าเพราะเหอวาวามีเงินมากมายจึงเดินเข้าออกทุกร้าน ทว่าเป็นเพราะหน้าร้านขายอาหารมักมีอาหารให้ทดลองชิมต่างหากล่ะ เธอผู้ซึ่งมีฝีมือในการทำอาหาร ทั้งยังเรียนเอกคหกรรมศาสตร์จึงเดินเที่ยวเดินชิมแทบจะครบทุกร้าน

กลิ่นของเคาหยก[ เคาหยก ชื่ออาหารที่ทำจากหมูสามชั้นอบผักแห้ง]ลอยมาเตะจมูกเป็นอย่างแรกก่อนที่จะเลี้ยวเข้าซอยที่สอง  เธอรีบเดินไปที่หน้าร้านแล้วยืนรอต่อคิวอย่างเป็นระเบียบ แถวของลูกค้าซึ่งรอชิมค่อนข้างยาวเกือบสี่ถึงห้าเมตร

“จะต้องอร่อยมากแน่ๆ แถวยาวขนาดนี้” เหอวาวาเปรยออกมาเบาๆ พลางชะโงกหน้าออกไปแล้วลุ้นว่าอาหารที่ให้ทดลองชิมยังเหลือมาถึงเธอหรือไม่

“แม่หนู ของมีให้ชิมไม่ได้เยอะหรอกนะ” หญิงวัยกลางคนที่ทำหน้าที่ขายอาหารเอ่ยบอกวาวาเมื่อมาถึงคิวของเธอแล้ว

“ไม่เป็นไรค่ะ หนูต้องการแค่ไม่กี่ชิ้นก็พอแล้ว”

เจ้าของร้านรีบตักให้พลางยิ้มอย่างมีไมตรีจิต พร้อมกับพูดสาธยายสูตรต้นตำรับของตน

“นี่คือหมูสามชั้นอบผักแห้งที่ดีที่สุดของร้านเราเลยนะหนู ฉันเชื่อว่าสูตรดั้งเดิมที่มีอายุยาวนานกว่าห้าสิบปีไม่มีใครเทียบได้” เอ่ยจบแล้วจึงยื่นถ้วยที่ทำจากใบไม้แห้งส่งให้กับเหอวาวา

เมื่อนักศึกษาเอกคหกรรมศาสตร์กัดเข้าไปคำแรก เคี้ยวได้ สองสามครั้ง ถึงกับทำหน้าคล้ายอยากจะคายออก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นบอกกับเจ้าของร้าน

“น่าจะใส่ซีอิ๊วเยอะไปหน่อย ทำให้กลิ่นเพี้ยน ทั้งน้ำแกงก็เค็มเกินไปค่ะ”

“ยายเด็กปากเสีย ให้ชิมแท้ๆ ยังปากมากอีก ไปให้พ้นหน้าร้านฉันเดี๋ยวนี้นะ” เจ้าของร้านอารมณ์เสียขึ้นมาทันทีที่ลูกค้าวิจารณ์อาหารของเธอ

เพราะเหอวาวาดันพูดโดยไม่ทันระวัง จึงถูกเจ้าของร้านนั้นไล่ออกมา อันที่จริงเธอก็แค่จะมาหาของกิน เนื่องจากตอนนี้หญิงสาวแทบจะไม่มีเงินเหลือติดตัวแล้ว ความโชคร้ายของเธอไม่ใช่มีเพียงแค่เรื่องของแม่เลี้ยง แต่เป็นเพราะห้องเช่าที่เธออาศัยหลับนอนก็เพิ่งถูกเจ้าของห้องไล่ออก

จะไม่ให้เขาไล่ออกได้ยังไง ก็ดันค้างค่าเช่ามากกว่าสามเดือนแล้ว ที่หนักไปกว่านั้นก็คือเธอเพิ่งจะกลายเป็นคนว่างงานจึงมีเวลามาเดินเตร่ชิมอาหารเกือบทุกร้านอยู่อย่างนี้ยังไงล่ะ ก็นะเจ้าของร้านได้คนที่แข็งแรงกว่ามาทำงานแทนแล้วนี่ คนผอมขี้ก้างอย่างเธอจึงหมดประโยชน์ ทั้งที่ตอนนี้เหอวาวาอายุปาเข้าไปยี่สิบเอ็ดปีแล้ว แต่ถ้าใครไม่รู้ก็คงคิดว่าเธออายุเพียงสิบหกสิบเจ็ดปีเท่านั้น

เดินหนีจากร้านก่อนหน้ามาได้ไม่ถึงสองเมตร หญิงสาวก็เดินวกเข้าไปยังหน้าร้านบะหมี่หมูแดงเป็นร้านถัดไป เหอวาวาปรุงบะหมี่นิดหน่อย เสร็จแล้วจึงค่อยๆ คีบส่งเข้าปาก เธอเคี้ยวไปพร้อมกับกรอกตาไปมา แล้วก็เป็นอีกครั้งเช่นกันที่ความคิดมันดันออกมาจากปากโดยอัตโนมัติไปเสียได้

“พอใช้ได้ แต่นวดแป้งน้อยไป เส้นถึงได้แข็ง ต้องนวดให้นานกว่านี้อีกนิด แล้วเวลาลวกก็ต้องไม่ใจร้อน น้ำต้องเดือดพอดีไม่แช่นาน ไม่อย่างนั้นเส้นก็จะยุ่ยไม่น่ากิน”

“ถ้าทำเก่งขนาดนั้นทำไมถึงไม่ไปเปิดร้านเองเล่านังหนู”

เสียงป้าเจ้าของร้านบะหมี่ตะโกนไล่หลังเธอมา ก็เพราะว่าเธอเป็นอัจฉริยะของคณะคหกรรมศาสตร์นะสิ ใครจะไม่อยากมีกิจการเป็นของตนเอง แต่จะให้ไปเปิดร้านขายอาหารเองก็คงได้แต่ฝันหรือไม่งั้นก็ตายแล้วไปเกิดใหม่อีกรอบโน้นแหละ

ลำพังเงินค่าใช้จ่ายในแต่ละวันก็แทบจะไม่พอใช้อยู่แล้ว ไม่งั้นเธอคงไม่มีร่างกายผอมเก้งก้างอย่างนี้ นอกจากจะไม่มีทุนในการเปิดร้านแล้ว การจะเข้าแข่งขันประกวดรายการทำอาหารแต่ละครั้งก็จำเป็นต้องใช้เงิน ตัวเหอวาวาเองก็ไม่มีเพื่อนที่สนิทมากนัก เพราะในชั้นเรียนเธอเป็นนักเรียนที่ยากจนที่สุด

ใครยากจะมาเป็นเพื่อนคนจนกันล่ะ จนไม่พอ ยังขี้เหร่อีกต่างหาก เรื่องแฟนนะเหรอ ปิดประตูใส่กลอนไปได้เลย

ทว่าเหอวาวาก็มีเพื่อนที่ถือว่าดีกับเธอที่สุดอยู่คนหนึ่ง ว่านฉาย เด็กสาวบ้านนอกเหมือนกัน ทั้งสองจึงเข้าใจหัวอกของกันและกัน ถึงแม้ว่าว่านฉายจะมาจากบ้านนอก ทว่าก็ไม่ได้ยากจนขนาดนั้น ตอนนี้ของทุกอย่างที่ถูกไล่ออกมาจากบ้านเช่าก็ฝากไว้ที่ห้องของว่านฉายนั่นเอง

เธอไม่ได้ไม่คิดถึงอนาคต แต่เพราะรู้ว่าคิดมากไปแล้วมันจะได้อะไรขึ้นมา เธอรู้ว่าตัวเองมีฝีมือแต่ก็แค่ยังไม่มีช่องทางหรือโอกาสเท่านั้นเอง ก็ไม่แน่ว่าเดินอยู่ในมหกรรมอาหารเช่นนี้ อาจจะมีแมวมองหรือเถ้าแก่ร้านใหญ่อยากจะจ้างเธอไปทำอาหารที่ร้านบ้างก็เป็นได้

“นั่น เหอวาวาไม่ใช่เหรอ”