บท
ตั้งค่า

บทที่2 เพื่อนแท้

“ จ้าวเทียนนายเป็นไงมั่ง ” เสียงหญิงสาวดูออกจะห้าวๆเล็กน้อยดังมาจากด้านหลัง

อ่า…เสียงนี้มัน เขาค่อยๆหันกลับไปดูเจ้าของเสียง

หญิงสาวผมสั้นในชุดวอร์มได้วิ่งเข้ามาหาจ้าวเทียนด้วยความเป็นห่วง ใบหน้าเธอออกไปทางสวยคมผิวสีน้ำผึ้ง ยิ่งรวมกับบุคลิกของเธอที่คล้ายผู้ชาย ทำให้มักมีข่าวลือแปลกๆกับนักเรียนหญิงคนอื่นเสมอ

หญิงสาวคนนี้ได้เข้ามาจับแขนขาของจ้าวเทียน เพื่อสำรวจหาอาการบาดเจ็บ เมื่อเธอได้เช็คดูแล้วว่าจ้าวเทียนสบายดี ก็มีท่าทางโล่งใจขึ้นมา

“ ลี่เฟยฉันไม่เป็นไร ว่าแต่เธอมาที่นี่ได้ไง ตอนนี้มันเป็นเวลาเรียนไม่ใช่เหรอ ” จ้าวเทียนถามขึ้น เขามีรอยยิ้มเล็กน้อย เมื่อนึกถึงเพื่อนสนิทคนนี้ เมื่อเดือนก่อนตั้งแต่ครอบครัวเขามีปัญหาจนต้องลาออกจากมหาลัย มีเพื่อนไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังคงติดต่อและช่วยเหลือเขาอยู่

ลี่เฟยก็เป็นหนึ่งในคนเหล่านั้น อีกทั้งเธอยังเป็นคนที่เขาได้เจอเป็นคนสุดท้ายก่อนที่จะสิ้นใจในชีวิตก่อนหน้านี้

ตอนนั้นเธอเป็นคนบุกเข้ามาช่วยเหลือเขา จากการโดนพวกหลี่ตงรุมทำร้าย เพียงแต่มันก็ได้สายเกินไป ลมหายใจเขาหมดลงในอ้อมกอดของเธอเอง

“ ฉันได้ข่าวว่าพวกหลี่ตงตามหานายอยู่ เลยโดดเรียนออกมาช่วยนาย ไม่ต้องกลัวฉันจะปกป้องนายเอง นายรีบหลบไปก่อนพวกมันคงใกล้จะมาถึงแล้ว ” ลี่เฟยพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงห้าวหาญ

เธอทำท่าทีเหมือนขุนศึกหญิงจะไปออกรบ กระบองสองท่อนที่เหน็บไว้ข้างเอว ถูกนำมาถือเอาไว้ด้วยท่าทางพร้อมสู้

มองไปที่ท่าทางของเพื่อนรัก จ้าวเทียนก็ได้รู้สึกถึงความสุขจากมิตรภาพดีๆ ที่จริงในอดีตอันเลวร้ายของเข้า ยังคงมีคนดีๆอีกมากที่คอยช่วยเหลือเขาอย่างจริงใจ

เขาตัดสินใจแล้ว ในชีวิตนี้ที่มีโอกาสได้ย้อนกลับมา เขาจะตอบแทนคนดีๆเหล่านั้นอย่างสุดความสามารถ ไม่ว่าสิ่งใดก็ตามที่พอจะช่วยเหลือคนเหล่านั้นได้ เขาก็จะทำมันอย่างเต็มใจ

“ ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันไล่พวกมันไปหมดแล้ว ” จ้าวเทียนพูดออกมาแบบสบายๆ

“ หา…นายล้ออะไรฉันเล่นรึป่าว ช่างเถอะรีบหลบไปเร็วเข้า ” ลี่เฟยพูดด้วยน้ำเสียงไม่เชื่อถือ เธอพยามผลักตัวจ้าวเทียนให้หลบออกไปหาที่ซ่อน

ตึก!

แรงผลักของลี่เฟยเหมือนชนเข้ากับภูเขาหิน ตัวของจ้าวเทียนไม่ได้สั่นไหวแม้แต่น้อย ไม่ว่าเธอจะพยามออกแรงเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ ผลก็ยังคงเหมือนเดิม

มองไปยังใบหน้าอมยิ้มของจ้าวเทียน ความรู้สึกอยากเอาชนะก็เกิดขึ้น

ตรึม!

เสียงย่ำเท้าไปด้านหน้า ลี่เฟยได้ใช้กระบวนท่าหนึ่งของมวยแปดทิศ ใช้ไหล่ผลักไปที่จ้าวเทียนเต็มแรง

กึก!

เสียงบั้นท้ายล้มลงกระแทกพื้น ลี่เฟยนั่งเหม่อมองดูจ้าวเทียนด้วยความงุนงง เมื่อกี้เธอถูกแรงสะท้อนกลับจนเซถอยหลังล้มลง จ้าวเทียนไม่ได้ขยับไปจากที่ยืนอยู่แม้แต่น้อย

“ เป็นไปไม่ได้…ปู่เคยบอกว่าตัวฉันตอนนี้เป็นนักสู้ระดับ6แล้ว นายทำได้ไง ”

“ นาย…ใช่จ้าวเทียนเพื่อนฉันจริงๆเหรอ ” เสียงลี่เฟยถามขึ้น เธอยังคงช็อกกับสิ่งที่เห็น ตั้งแต่เมื่อไรกันที่จ้าวเทียนแข็งแกร่งขนาดนี้ ตัวเธอเรียนมวยจีนมาจากปู่ตั้งแต่อายุ5ขวบ กลับแพ้ให้กลับจ้าวเทียนได้ยังไง

เมื่ออาทิตย์ก่อนเธอยังปกป้องจ้าวเทียนที่ถูกหลี่ตงรังแกอยู่เลย ทำไมวันนี้เพื่อนเธอถึงแข็งแกร่งขึ้นขนาดนี้

“ ฉันคือจ้าวเทียนจริงๆ…เพียงแต่ ”

“ ตอนนี้ฉันแข็งแกร่งขึ้นมาก…” เขาได้ส่งมือไปให้ลี่เฟยจับ แล้วดึงเธอขึ้นมา

“ พวกหลี่ตงโดนฉันไล่ไปแล้วจริงๆ เธอไม่ต้องเป็นห่วง ” จ้าวเทียนพูดขึ้นอีกครั้ง

“ เอาเถอะ…ฉันเชื่อนายแล้ว ” ลี่เฟยตอบ เธอได้สังเกตไปที่ตัวของจ้าวเทียนอีกครั้ง

“ จะว่าไปรูปร่างนายเปลี่ยนไปมากจริงๆ เหมือนพวกนักสู้ที่ฝึกฝนมานานเลย ” หลังจากที่ลองใช้มือกดไปที่กล้ามเนื้อแขนของจ้าวเทียนดู ก็พบความแตกต่างจากในอดีต อาจเป็นเพราะเสื้อตัวใหญ่ที่จ้าวเทียนสวมอยู่ ทำให้ไม่ได้สังเกตในตอนแรก

“ ว่าแต่ไหนๆเธอก็โดดเรียนมาแล้ว ช่วยพาฉันไปที่ร้านสมุนไพรจีนหน่อยได้ไหม” จ้าวเทียนพูดขึ้น ตัวเขาไม่มีข้อมูลเกี่ยวผู้ฝึกตนในโลกนี้เลย สอบถามจากลี่เฟยน่าจะดีที่สุด

“ ได้สิ…ว่าแต่นายจะเอาสมุนไพรไปทำอะไร ” ลี่เฟยถามขึ้น เพื่อที่จะได้พาไปถูก

“ ฉันจะเอาไปใช้ฝึกฝนร่างกายน่ะ” เขาตอบ

“ เอ๋…นายรู้จักสมุนไพรที่ใช้ฝึกร่างกายด้วยเหรอ งั้นไปที่บ้านฉันแล้วกัน ” บ้านของลี่เฟยก็เปิดเป็นร้านขายสมุนไพรจีนเช่นกัน

ทั้งคู่เดินคุยกับไปเรื่อยๆ แต่โดยส่วนใหญ่จะเป็นลี่เฟยที่เป็นฝ่ายชวนจ้าวเทียนคุยมากกว่า เพราะความตื่นเต้นที่ได้พบคนรุ่นเดียวกัน ที่ฝึกศิลปะการต่อสู้เหมือนกัน เพราะในมหาลัยเธอไม่มีเพื่อนที่คุยเรื่องนี้ด้วยได้เลย

“ อย่างที่ฉันได้บอกไปแหละ ในปัจจุบันผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้จะถูกแบ่งออกเป็นสามขั้นใหญ่ คือ นักสู้ ผู้เชี่ยวชาญ ปรมาจารย์ ”

“ ในระดับนักสู้นั้นจะแบ่งออกเป็น9ขั้น พวกเจ้าสำนักค่ายมวยดังๆในเมืองนี้ก็อยู่ในระดับ 7-8 แต่ก็มีบางคนที่ไปถึงระดับ9แล้วเหมือนกัน เพียงแต่ถูกปิดข่าวเอาไว้ ”

“ ว่าแต่นายเป็นนักสู้ระดับไหนเหรอ แล้วนายฝึกฝนมานานแค่ไหนแล้ว ” เธอถามขึ้นด้วยความอยากรู้

“ เอ่อ…ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ” เขาคงบอกเธอไม่ได้ใช่ไหม ว่าเขานั่งสูดพลังงานแสงอาทิตย์เข้าร่างกาย แค่30นาทีก็เป็นนักสู้ขั้น9แล้ว

10นาทีผ่านไป

ร้านสมุนไพรตระกูลลี่

“ ถึงแล้วนี่ร้านของตระกูลฉันเอง นายรอตรงนี้ก่อนนะฉันขอไปหาปู่ด้านในก่อน ” ลี่เฟยนำจ้าวเทียนเข้ามาในร้าน แล้วให้ยืนดูของในร้านเพื่อรอเธอ

“ ได้สิ…เธอทำธุระไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวฉันหาสมุนไพรที่ใช้เอง ” จ้าวเทียนตอบ

ร้านของลี่เฟยถือว่าเป็นร้านที่ใหญ่โตมาก มีสมุนไพรให้เลือกซื้อมากกว่าพันชนิด มันถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี แสดงให้เห็นถึงความพิถีพิถันของเจ้าของร้าน

เขาเดินดูสมุนไพรบนชั้นไปเรื่อยๆจนไปเจอสิ่งที่เขาต้องการ โสมจีนอายุ100ปี

“ ฉันเคยคิดว่าเงินสองแสนหยวนคงพอซื้อของที่ต้องการได้ แต่ราคาสองล้านหยวนมันคงแพงเกินไปสำหรับฉันจริงๆ ” เขายืนอยู่หน้าตู้เก็บสมุนไพรด้วยสีหน้าจนปัญญาเล็กน้อย

“ โห…ดูซิเราเจอใคร” ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินมาพร้อมกับบอดี้การ์ดสี่คน เขาอยู่ในชุดสูทสั่งตัดราคาแพง ใบหน้าเย่อหยิ่งมองดูจ้าวเทียนด้วยความดูถูก

“ นายน้อยจ้าว ไม่ได้เจอกันนานดูท่านยังสบายดีนิ” เขามองไปที่สมุนไพรที่จ้าวเทียนดูอยู่ด้วยรอยยิ้ม แล้วหยิบมันออกมาถือไว้

“ ลู่ไป๋นายต้องการอะไร ” จ้าวเทียนถามขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา ลู่ไป๋คนนี้ครั้งหนึ่งเคยเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกับเขา แต่เมื่อธุรกิจครอบครัวเขาล้มละลาย มันก็เปลี่ยนไปอยู่ฝ่ายเดียวกับจางถงทันที ทั้งยังช่วยจางถงกดดันเขาจนหางานทำไม่ได้

“ ก็ไม่มีอะไรหรอก…ว่าแต่นายน้อยจ้าวต้องการโสมนี่เหรอ ” เขาหยิบโสมอันนั้นมาโบกไปมาต่อหน้าจ้าวเทียน ด้วยท่าทีเยาะเย้ย

“ นายมีเงินซื้อเหรอจ้าวเทียน…ได้ข่าวว่าค่าเทอมน้องสาวแค่หมื่นกว่าหยวนยังไม่มีปัญญาจ่ายเลยนี่ ” เมื่อเห็นจ้าวเทียนยืนนิ่งไม่ได้ตอบอะไร มันก็ยิ่งได้ใจ

ลู่ไป๋ส่งกล่องโสมให้บอดี้การ์ดด้านข้าง แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยท่าทางวางอำนาจ

“ เห็นแก่ที่ฉันก็รู้จักกับน้องสาวนาย…จะช่วยก็แล้วกัน ” เขาหยิบเงินปึกหนึ่งออกมา

“คุกเข่าขอร้องฉันสิ…เงินสองหมื่นนี่จะเป็นของนาย”

ลู่ไป๋โยนเงินลงบนพื้น แล้วนั่งกระดิกขารอ เขาต้องการสร้างความอับอายให้จ้าวเทียนมากที่สุด ตอนนี้ในร้านมีลูกค้าอยู่มากมายที่ยืนมุงดูอยู่ด้านข้าง

จ้าวเทียนมองดูสถานการณ์ตรงหน้าด้วยท่าทีนิ่งเฉย สำหรับเขาที่เคยเป็นถึงมหาเทพในแดนสวรรค์ มดปลวกตัวนี้ต้องการให้เขาคุกเข่าให้งั้นรึ

จ้าวเทียนก้าวเดินช้าๆ จนไปหยุดตรงหน้าลู่ไป๋

เปรี้ยง!

เขาใช้หลังมือตบไปที่ใบหน้าลู่ไป๋จนกระเด็นตกเก้าอี้ไป มีเศษฟันหักกระเด็นออกมาสามซี่ แรงตบของจ้าวเทียนทำให้ใบหน้าซีกซ้ายของลู่ไป๋บวมขึ้นทันที มันนอนกุมแก้มอยู่ด้วยความเจ็บปวด

แปะ

จ้าวเทียนหยิบผ้ามาเช็ดหลังมือด้วยความรังเกียจ…

พรึบ!

บอดี้การ์ดสองคนพุ่งใส่จ้าวเทียนทันที แต่เพียงโดนความกดดันจากสายตาที่จ้าวเทียนเหลือบมองมา บอดี้การ์ดทั้งสองคนชะงักทันที เม็ดเหงื่อไหลซึมออกมาตรงใบหน้า

ความรู้สึกเมื่อกี้เหมือนโดนพญามัจจุราชจ้องมอง หากขยับไปอีกก้าวเดียวจะต้องตายแน่นอน

“ มัวมองอะไรอยู่ ฆ่ามันเลย ” ลู่ไป๋ออกคำสั่งด้วยความโกรธเกรี้ยว ตอนนี้เขาโกรธจนแทบจะบ้า โดนเศษสวะตบกระเด็นต่อหน้าผู้คน เขาต้องเล่นงานมันให้ตาย

บอดี้การ์ดสองคนหันหน้ามามองกันเองด้วยความลังเล ทั่งคู่ก็เป็นผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้เช่นกัน ต่างสัมผัสถึงความอันตรายของจ้าวเทียน เพราะตอนที่จ้าวเทียนตบลู่ไป๋นั้น ไม่มีใครตั้งตัวได้ทัน มันเกิดขึ้นรวดเร็วจนเกินไป

หากเปลี่ยนเป็นพวกเขาไปนั่งอยู่ตรงนั้นแทนลู่ไป๋ ก็คงจะโดนตบกระเด็นเหมือนกัน โดยไร้ทางตอบโต้

“ แกจะไม่ฟังคำสั่งใช่ไหม…ฉันจะบอกพ่อให้ไล่แกออก ” ลู่ไป๋ได้ลุกขึ้นมาชี้นิ้วไปที่บอดี้การ์ดทั้งสองคนที่ยังลังเลอยู่

แววตาของบอดี้การ์ดทั้งสองคนเปลี่ยนไปทันที เขาส่งสัญญาณให้กัน แล้วล้วงมือเข้าไปที่อกเสื้อ เมื่อจะคว้าอาวุธออกมา

“ พอแค่นั้นแหละ!”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel