บทนำ
บทนำ
“แต่งงานกันไหม” จู่ๆ มีนาก็โพล่งออกมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำเอาคนถูกขอจำต้องเงยหน้าขึ้นมอง
“ถ้าไม่สบายก็กลับไปนอน ฉันจะทำงาน ไม่มีเวลามาเล่นกับเด็กแก่แดดอย่างเธอ” เจตต์บอกก่อนจะก้มลงไปสนใจแฟ้มเอกสารต่อ
“นี่…ฉันไม่ใช่เด็กแล้วนะ เรียนจบ มีงานทำ แล้วฉันก็อยากแต่งงานจริงๆ ไม่ได้คิดเล่นๆ อย่างที่คุณว่าด้วย” เธอขยับมายืนประจันหน้ากับเขาด้วยใบหน้างอง้ำ ทำให้เขาจำต้องลุกขึ้นมา
“แล้วรู้ไหมว่าแต่งงานแล้ว สามีภรรยาเขาต้องทำอะไรกัน” เขาโน้มใบหน้าลงมาใกล้พลางเลิกคิ้วหยั่งเชิง ในขณะที่เธอเพียงพยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะก้มหน้างุดด้วยความกระดาก
“รู้ใช่ไหมว่ากิจกรรมระหว่างผัวเมียมันมากกว่าแค่นอนมองตากันเฉยๆ ดีไม่ดีบางคืนอาจจะไม่ได้นอนด้วยซ้ำ แล้วเด็กที่ต้องเข้านอนแต่หัวค่ำอย่างเธอจะไหวเหรอ” คำพูดประหนึ่งดูหมิ่นกันซึ่งๆ หน้าทำให้มีนาเงยหน้ามองเขาอย่างเอาเรื่อง
“คำก็เด็กสองคำก็เด็ก ก็บอกแล้วไงว่าไม่เด็ก ถึงฉันจะไม่มีประสบการณ์เรื่องอย่างว่า หรือผ่านโลกมาโชกโชนเหมือนอย่างคุณ แต่ฉันก็ไม่ใช่กบที่หลบอยู่ในกะลาถึงได้ไม่รู้ว่ากิจกรรมอย่างว่าระหว่างผัวเมียมันคืออะไร” เธอพูดใส่หน้าเขาอย่างเหลืออด
“แปลว่าเธออยากทำกิจกรรมแบบนั้นกับฉัน?” เขาเลิกคิ้วล้อเลียน ในขณะที่เธอถึงกับผงะชะงักงัน ก่อนจะรีบโวยวายเพื่อกลบเกลื่อนความประหม่าของตัวเอง
“โอ๊ย! จะถามอะไรนักหนา แค่ตอบว่าแต่งหรือไม่แต่งก็พอไม่ได้รึไงเล่า”
“งั้นเธอลองบอกเหตุผลดีๆ สักข้อสองข้อสิ ว่าทำไมฉันถึงต้องแต่งกับ…เด็กกะโปโลอย่างเธอ” คำถามนี้ทำเอาเธอต้องเม้มปากก่อนตอบ
“เหตุผลข้อแรก ถ้าคุณแต่งกับฉัน คุณจะมีฉันเป็นภาระไปตลอดชีวิต แล้ว…” ยังไม่ทันที่เธอจะได้พูดต่อ คนฟังก็แทรกขึ้นมาทันที
“งั้นฉันไม่แต่ง จะไปไหนก็ไปไป ฉันจะทำงาน” เขาปฏิเสธพร้อมกับโบกมือไล่ทันที
“โอ๊ย! คุณก็ฟังให้จบก่อนได้ไหมเล่า เพราะถึงฉันจะเป็นภาระ แต่ภาระอย่างฉันก็ทำให้คุณหายเหงาได้นะ มีฉันอยู่ด้วย รับรองว่าชีวิตคุณจะมีแต่สีสันแล้วก็ความตื่นเต้น” เธอโน้มน้าวด้วยการขยับมายืนใกล้ๆ
“อย่างเดียวที่ทำให้ฉันตื่นเต้นได้คงมีแค่เรื่อง…” นัยน์ตาเขากรุ้มกริ่มเป็นประกายขณะสาวเท้าเข้าหาเธออย่างคุกคาม ทำให้คนถูกคุกคามจำต้องขยับถอยด้วยความหวาดหวั่น กระทั่งชนขอบโต๊ะเสียหลักล้มนั่งแหมะลงไปบนนั้น
“อยากรู้ไหมว่าเรื่องอะไร” เขาเท้าแขนกักตัวเธอเอาไว้ พลางโน้มใบหน้าลงไปหาด้วยท่าทีคุกคามกว่าเดิม
“ถะ…ถามแบบนี้แสดงว่าคุณตกลงแต่งแล้วใช่ไหม”
“ไม่แต่ง” เขาตอบทันควันพร้อมกับผละถอยออกมาทันที
“ถ้าพูดดีๆ ไม่รู้เรื่อง งั้นก็อย่าหาว่าฉันไม่เตือนก็แล้วกัน” เธอยันตัวขึ้นมาขู่เสียงเขียว สีหน้าขึงขังจริงจัง แต่มันกลับไม่ได้ดูน่ากลัวในสายตาเขาเลยสักนิด
“ตัวเท่าลูกหมาอย่างเธอจะทำอะไรฉันได้” เขาเพียงเหลือบมามองด้วยสีหน้าเอือมๆ
“ถึงฉันจะทำอะไรคุณไม่ได้ แต่ฉัน…ก็อ่อยคุณได้แล้วกัน” เธอตอบพลางทำหน้าเลิ่กลั่ก ในขณะที่เขากลับหยักยิ้มมุมปากแล้วขยับเข้ามาใกล้อีกครั้งอย่างนึกอยากจะแกล้ง
“อ่อยเหรอ เริ่มจากอะไรดีล่ะ แก้ผ้า ขยิบตา หรือว่าเผยอปากยั่วยวน” ชายหนุ่มพูดพลางเท้าแขนข้างหนึ่งลงบนโต๊ะ พร้อมกับโน้มใบหน้าลงไปใกล้ราวกับจะท้าทาย ด้วยการขยับมืออีกข้างไล้ไปที่เปลือกตาเธอเบาๆ ก่อนจะเลื่อนลงมาคลึงเคล้าเบาๆ ที่ริมฝีปากอวบอิ่ม และเผลอมองริมฝีปากที่กำลังเผยอค้างนั้นอย่างลืมตัว กระทั่งรู้ตัวว่าเผลอมองนานเกินไป จึงโวยวายเสียงดัง
“ไซซ์อย่างกับหมากระเป๋า หุ่นก็เท่ากับเด็กอนุบาล อย่าว่าแต่จะอ่อยจะยั่ว ต่อให้แก้ผ้าตรงหน้าฉันยังคิดหนักเลย อย่างเธอน่ะถ้าจะยั่ว อย่างมากก็ทำได้แค่ยั่วโมโหเท่านั้นแหละ” เขาโวยวายกลบเกลื่อนความรู้สึกบางอย่างด้วยการทิ้งสะโพกลงบนเก้าอี้แรงๆ ราวกับว่าหัวเสียนักหนา แต่แล้วความหัวเสียก็กลายเป็นความตกใจ เมื่อคนที่นั่งทอดกายอยู่บนโต๊ะก่อนหน้า จู่ๆ ก็กระโดดลงมานั่งคร่อมบนตักเขาด้วยท่วงท่าน่าหวาดเสียว
“ในเมื่อเตือนแล้วไม่ฟัง งั้นก็อย่ามาร้องโอดครวญทีหลังแล้วกัน เพราะฉันเอาจริง จากนี้ไปฉันจะทั้งยั่วทั้งอ่อยให้คุณกระอัก จนคุณต้องรักฉันหัวปักหัวปำ เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้ได้เลย ยังไงชาตินี้คุณก็ต้องเป็นผัว เอ๊ย! เป็นของฉัน คอยดู”
