บท
ตั้งค่า

บทที่ 6

บทที่ 6

“แล้วเป็นไงบ้าง นักเรียนโอเคดีไหม” ดรัณชวนคุยขณะอยู่ในรถ

“ก็ดีค่ะ แต่แกออกจะเงียบๆ ไม่ค่อยคุยเล่นเหมือนเด็กคนอื่น น่าจะต้องใช้เวลาปรับตัวกันพักหนึ่งค่ะ บางทีมัดอาจจะต้องยืมตัวน้องเรย์มาเป็นตัวช่วยด้วยนะคะ” เธอหันไปบอกอีกฝ่ายด้วยแววตาเป็นประกายอย่างกำลังนึกอะไรดีๆ ออก

“อืม เอาสิ แต่ไม่รู้จะได้ผลไหมนะ เห็นเรย์เขาบอกว่าเวลาอยู่ในห้อง หนูคนนั้นเขาไม่ค่อยคุยเล่นกับใคร ส่วนใหญ่จะเอาแต่นั่งเงียบแล้วก็ก้มหน้าก้มตา” คำพูดของดรัณทำให้มีนาขมวดคิ้ว พลันคำพูดหนึ่งของเด็กน้อยก็ดังก้องขึ้นมาในหัว

‘ลัคกี้เป็นเพื่อนคนเดียวของหนู หนูจะอยู่กับลัคกี้’

“เอ้อ…แล้วที่เราบอกว่าได้งานน่ะงานอะไรเหรอ” เสียงของดรัณดึงสติเธอให้กลับมา หลังจากที่เผลอคิดเรื่องของจันทร์เจ้าเพลิน

“อ๋อ…ก็งานเล่นเปียโนในโรงแรมน่ะค่ะ” เธอตอบขณะหยิบตารางงานของตัวเองขึ้นมาเปิดดู

“อ้าว! แต่เรามีสอนในสถาบันดนตรีด้วยนี่ แล้วแบบนี้จะไม่เป็นไรเหรอ” ดรัณอดเป็นห่วงไม่ได้

“มันเป็นคนละช่วงเวลากันค่ะ จันทร์ถึงศุกร์สอนแค่ช่วงสั้นๆ ไม่กี่ชั่วโมง พอบ่ายๆ ก็ไปเล่นเปียโนที่โรงแรมต่อ ส่วนเสาร์อาทิตย์ก็มีสอนแค่น้องจันทร์เจ้ากับน้องเรย์นี่แหละค่ะ ไม่ต้องห่วง มัดจัดตารางเรียบร้อย รับรองไม่ชนกันแน่นอนค่ะ” เธอว่าพลางชูสมุดโน้ตที่ตัวเองจดเอาไว้ให้ดู

“แล้วทำไมเราต้องทำให้ตัวเองลำบากขนาดนั้นด้วยล่ะ ในเมื่อทางบ้านเราก็ไม่ได้ขัดสนอะไร”

“มัดอยากยืนได้ด้วยลำแข้งตัวเองค่ะ ในเมื่อเรียนจบแล้ว มัดก็ควรดูแลตัวเองสิคะ จริงไหม” เธอหันไปยิ้มให้ ทั้งที่ในใจไม่ได้รู้สึกอยากจะยิ้มเลยสักนิด แน่นอนว่ามันมีอะไรมากกว่านี้ และมากเกินกว่าที่เธอจะระบายออกมาให้ใครได้รับรู้

“เฮ้อ! พี่ละอยากให้ยัยรินคิดได้อย่างเราบ้างจัง” พูดถึงน้องสาวแล้ว ดรัณถึงกับถอนหายใจเสียงดัง

“รินเขาก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ปล่อยเขาเถอะค่ะ เขาชอบของเขา อีกอย่าง…เขาก็หาได้เยอะกว่ามัดซะอีก ให้เขาทิ้งเงินก้อนแล้วมาวิ่งรอกทำงานงกๆ อย่างมัด เขาคงไม่ปลื้ม” พูดถึงเพื่อนที่รักสวยรักงามเป็นชีวิตจิตใจอย่างดาริน มีนาก็อดยิ้มไม่ได้

“ไอ้ที่หามาพอค่าเครื่องสำอางกับเสื้อผ้ารึเปล่ายังไม่รู้เลย แต่ก็อย่างที่มัดว่านั่นแหละ ทุกอย่างคงต้องแล้วแต่เจ้าตัวเขา” ทั้งคู่หันมามองหน้ากันแล้วก็ยิ้ม ด้วยรู้ดีว่าต่อให้ห้ามหรืออะไรก็ตาม ก็คงเปลี่ยนความคิดของดารินไม่ได้อยู่ดี

หลังจากพามีนามาถึงบ้าน ดรัณก็รีบออกไปทำธุระต่อข้างนอก จึงไม่มีโอกาสได้รู้เลยว่า คุณครูที่ควรจะนั่งสอนอยู่ในห้องถูกน้องสาวของเขาไหว้วานให้ช่วยออกไปทำงานแทน ด้วยเหตุที่ว่า…คุณเธอดันรับงานชนกัน สุดท้ายแทนที่จะได้เป็นครูนั่งสอนเปียโนให้ลูกศิษย์ตัวน้อย มีนากลับต้องมายืนแหกปากเป็นพริตตี้นุ่งน้อยห่มน้อยขายสินค้าอยู่ในห้างแทน

“ไอ้รินนะไอ้ริน ทำไมต้องให้ฉันมาทำอะไรแบบนี้ด้วยเนี่ย แล้วขายอะไรไม่ขาย ดันขายอาหารหมาซะงั้น รู้ทั้งรู้ว่าเพื่อนไม่ถูกกับหมา แล้วจะเข้าใจความรู้สึกของหมาไหมเนี่ย เอ๊ะ! เดี๋ยวนะ ทำไมต้องเข้าใจหมาวะ สงสัยจะเพี้ยนไปแล้วเรา” หลังจากยืนโฆษณาสินค้าเสร็จ เธอก็แอบมายืนบ่นพึมพำตามลำพัง แล้วก็อดนึกไปถึงเหตุการณ์ตอนที่ยืนเถียงกับเพื่อนไม่ได้

“ไม่เด็ดขาดริน กี่ครั้งแล้วที่แกรับงานชนกันแบบนี้ ฉันบอกแกแล้วใช่ไหมว่าให้จดตารางไว้ให้เป็นระเบียบ แกก็ไม่เคยเชื่อ แล้วเป็นไงสุดท้ายฉันก็ต้องมาเดือดร้อนแทนแกทุกครั้ง” มีนาบ่นพลางทำหน้ายุ่ง หลังถูกเพื่อนรักอย่างดารินลากออกมาจากห้องซ้อมเปียโน

“แกจะบ่นจะด่าจะว่าฉันยังไงก็ได้ ขอแค่แกยอมช่วยฉันก็พอ ช่วยฉันอีกครั้งนะแก ครั้งนี้ครั้งสุดท้ายแล้วจริงๆ” ดารินเข้ามากอดพร้อมอ้อนวอน

“แกก็พูดแบบนี้ทุกที แต่ครั้งนี้ฉันไม่หลงกลแกหรอก เพราะครั้งสุดท้ายของแกมันไม่มีอยู่จริง อีกอย่างยังไงวันนี้ฉันก็ช่วยแกไม่ได้ แกก็เห็นว่าฉันกำลังสอนหลานแกอยู่ จบนะ” สิ้นเสียงเธอก็ทำท่าจะเดินกลับเข้าห้อง แต่ก็ต้องชะงักเท้าทั้งคู่เพราะประโยคต่อมาของเพื่อน

“อืม! มันก็จริงของแก ทั้งหมดมันเป็นความผิดของฉัน ฉันควรรับผิดชอบด้วยตัวเอง ก็แค่ยอมโดนด่า แล้วก็โดนปรับสามเท่าของค่าจ้างเท่านั้นเอง ไม่เป็นไร ฉันโอเค” อืม! และเพราะคำพูดประโยคนี้แหละ สุดท้ายเธอถึงได้มายืนอยู่ตรงนี้

“เฮ้อ! อย่างน้อยพริตตี้อาหารหมาก็น่าจะดีกว่าพริตตี้รถแข่งละมั้ง” เป็นเพราะเพื่อนให้เลือกระหว่างเป็นพริตตี้งานแข่งรถกับพริตตี้อาหารหมา คนที่ไม่ค่อยถูกโฉลกกับที่ที่มีคนเยอะๆ เท่าไร สุดท้ายก็เลยได้เป็นพริตตี้อาหารหมาอย่างที่เห็น

“ดีนะที่อีตาคุณเจตต์นั่นไม่มาเห็นฉันในสภาพนี้ ไม่งั้นหมอนั่นคงล้อฉันยันลูกบวช เฮ้อ! หมากระเป๋ากับอาหารหมา เข้ากันดีแท้” เธอถอนหายใจด้วยความโล่งใจ แต่หารู้ไม่ว่าคนที่ตัวเองพูดถึง หลังจากหงุดหงิดจนต้องออกจากบ้านตอนนี้มาโผล่อยู่ที่นี่แล้ว ก็ไอ้ห้างที่เธอยืนอยู่ตอนนี้ดันเป็นห้างในเครือเดียวกับโรงแรมของเขานี่นา หลังจากตรวจงานโซนโรงแรมเสร็จ พ่อคุณก็เดินมาตรวจฝั่งห้างสรรพสินค้าต่อ

“เอ๊ะ! นั่นมันยัยหมากระเป๋านี่ ไหนบอกว่ามีสอนต่อ แล้วทำไมมาอยู่ที่นี่ได้” คนที่กำลังเดินดูความเรียบร้อยถึงกับต้องขมวดคิ้วกับภาพที่เห็นอยู่ไกลๆ

“มีอะไรรึเปล่าครับท่านประธาน” เมื่อจู่ๆ เจ้านายหนุ่มก็หยุดเดินดื้อๆ ผู้จัดการห้างที่เดินตามมาด้วยก็เลยอดถามไม่ได้

“ไม่มีอะไร คุณไปทำงานของคุณต่อเถอะ ผมขอเดินดูอะไรอีกสักหน่อยแล้วจะกลับเลย” ผู้จัดการรับคำอย่างว่าง่ายแล้วเดินจากไป ในขณะที่เจ้าของห้างนั้นก็รีบขยับมายืนอีกมุมหนึ่ง ซึ่งเป็นมุมที่มองเห็นหมากระเป๋าของเขาได้ชัดเจน

“เฮ้ย! แล้วนี่เราจะแอบดูยัยนั่นทำไมวะ บ้าฉิบ!” ทันทีที่รู้ตัวว่ากำลังทำเรื่องที่ไม่สมควร เขาก็รีบเดินออกมา แต่แล้วเท้าทั้งคู่กลับต้องชะงักเพราะภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้า

“ผมจะเหมาทั้งหมดนี่เลย แต่ต้องให้ผู้หญิงคนนั้นเป็นคนมาขาย” เจตนาของลูกค้าวัยกลางคนทำให้พนักงานขายจำต้องเดินมากระซิบบอกให้มีนามาขายตามคำขอ

“สวัสดีค่ะคุณลูกค้า ไม่ทราบว่าลูกค้าสนใจเป็นตัวไหนคะ” มีนาเข้ามาทักทายอย่างนอบน้อม

“ผมสนใจคุณน่ะ ถ้าผมเหมาหมดนี่ รวมทั้งตัวคนขายด้วย คิดเท่าไหร่” คำพูดกอปรกับสายตาแทะโลมอย่างเปิดเผย ทำให้เธอกัดฟันกรอดด้วยความโมโห แต่ก็ยังพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่ตอบโต้กลับไป ทั้งที่ในใจนึกอยากจะกระโดดข่วนหน้ามันให้รู้แล้วรู้รอด

“เอ้า! นี่พวกเรา คุณลูกค้าท่านนี้เขาสนใจจะรับเลี้ยงทุกคนเลยนะ ใครสนใจจะไปอยู่กับเขาบ้าง มาๆๆ มาช่วยกันถ่ายคลิปสรรเสริญคนใจดีกันดีกว่า” เธอกวักมือเรียกพนักงานทุกคนเข้ามา อย่างน้อยอยู่ด้วยกันหลายคนก็คงอุ่นใจกว่า

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel