บท
ตั้งค่า

บทที่3 ชีวิตเริ่มต้น

ทางด้านเสี่ยวชิงที่หลบหนีเข้ามายังป่าลึกและได้หลบซ่อนตัวอยู่ซอกโขดหินใหญ่ ในมืออุ้มทารกน้อยที่กำลังหลับอยู่ ตั้งแต่เธออุ้มคุณหนูน้อยหลบหนีมานางก็หลับตลอดทางไม่มีงอแงหรือส่งเสียงร้องไห้งอแงเลย 'ช่างเป็นเด็กที่เลี้ยงง่ายเสียจริง' เสี่ยวชิงก้มหน้ามองคุณหนูน้อยพลางน้ำตาเอ่อไหล ป่านนี้คุณหนูของเธอจะเป็นอย่างไรบ้าง เสี่ยวชิงนั่งรออยู่ตรงนี้นานจนกลางยามหม่าแล้ว(05.00-06.59)ยังไม่มีวี่แววว่าจะเห็นคุณหนูของเธอเลย ครั้นจะเดินย้อนไปหารอบด้านนั้นมีแต่ป่าไม่รู้ว่าจะเดินไปทางใด เรื่องของเรื่องก็คือเสี่ยวชิงหลงป่านั่นเอง

เสี่ยวชิงลุกขึ้นยืนหันซ้ายหันขวา เธอจะมัวมานั่งรั้งรออยู่ตรงนี้ไม่ได้ คุณหนูน้อยตื่นมาจะหิวเธอต้องหาทางออกจากป่านี้ให้ได้เสียก่อน คิดได้ดังนั้นเสี่ยวชิงก็ตัดสินใจก้าวเท้าเดินไปทางทิศหนึ่งจะใช่ทางออกจากป่าหรือไม่คงต้องเสี่ยงดวงกัน

# โรงเตี้ยมในเมืองแคว้นฉิน

สองคนต่างวัยกำลังนั่งจ้องมองทารกน้อยบนเตียงนอน ซึ่งเด็กน้อยก็จ้องมองมาทางสองปู่หลานเช่นเดียวกัน

" ท่านปู่จะเลี้ยงดูนางหรือไม่ขอรับ " เย่วฉีเอ่ยถามด้วยความสงสัย

ฮุ่ยฉินได้ยินที่หลานชายถามก็พลันคิดไม่ตก ไม่ใช่ว่าเขาไม่คิดตลอดระยะทางที่ออกจากป่าทึบในเขตนอกเมือง เขาคิดมาตลอดทางว่าจะทำเช่นไรกับเด็กทารกคนนี้ดี เขาไม่เคยเลี้ยงเด็กทารกมาก่อน ตอนที่มีบุตรก็เป็นภรรยาของเขาที่เป็นคนเลี้ยงดูเสียส่วนใหญ่

" ปู่ไม่เคยเลี้ยงเด็กมาก่อน ปู่เลี้ยงไม่เป็น "

" อ้าว.." เย่วฉีส่งเสียงดังออกมาด้วยความผิดหวัง ใจของตนนั้นอยากจะให้ท่านปู่รับเลี้ยงนางนักหนาจึงเอ่ยเกลี้ยกล่อม " ท่านปู่ลองเลี้ยงนางดูก่อนเถิดขอรับ นางไม่อ้อนเลยน่าจะเลี้ยงไม่ยาก "

" เจ้าชอบนางหรือ " ฮุ่ยฉินเอ่ยถาม หลานชายพยักหน้ายิ้มรับคำทันทีอย่างไม่เสียเวลาคิด "เช่นนั้น..เจ้าต้องเป็นคนเลี้ยงดูนางเอง " ฮุ่ยฉินเอ่ยต่อรอง

" อ้าว..ทำไมถึงเป็นข้าเล่าขอรับ แล้วท่านปู่เล่า " เย่วฉีเอ่ยถามด้วยความสงสัย

" ปู่มีงานต้องทำ ทั้งเก็บสมุนไพร ทั้งปรุงยาแล้วยังต้องนำยาไปขายเพื่อนำเงินไปซื้ออาหารมาเลี้ยงดูพวกเจ้าอย่างไรเล่า " ฮุ่ยฉินเอ่ยยืดยาวให้หลานชายคล้อยตาม "ถ้าเจ้าไม่ตกลงก็เอานางไปให้คนอื่นเลี้ยงดูเสีย" คำพูดสุดท้ายทำให้หลานชายสะดุ้งหันขวับมาตอบทันที

" ตกลงขอรับ ข้าจะเป็นคนเลี้ยงนางเอง '' เย่วฉีเอ่ยเสียงหนักแน่น "แต่ว่าท่านปู่ต้องสอนข้าก่อนนะขอรับเพราะตอนนี้ข้ายังเลี้ยงไม่เป็นเลย แฮะๆ" ประโยคหลังเย่วฉีเอ่ยเสียงแผ่วด้วยความเขินอาย

ฮุ่ยฉินใช้ความคิดแล้วเดินลงไปยังด้านล่างของห้องพัก เพียงชั่วครู่ก็กลับมาพร้อมกับหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่ง เขาไปหาว่าจ้างหญิงที่มีบุตรเพื่อจะได้ให้ทารกน้อยได้ดื่มนม และก็สอนวิธีเลี้ยงดูเด็กทารกน้อยด้วย

หญิงกลางคนสอนวิธีอุ้ม อาบน้ำเปลี่ยนผ้า ไม่เว้นแม้แต่สอนวิธีทำความสะอาดเด็กน้อยเวลาถ่ายหนักอีกด้วย นางสอนอย่างละเอียดและลองให้เย่วฉีลองทำเองให้นางดูด้วยว่าทำถูกต้องหรือไม่ หลานชายของเขาก็ตั้งใจเรียนรู้และทำตามได้หมดทุกขั้นตอน

จันทร์ที่อยู่ในร่างของเด็กน้อยเมื่อถูกจับแก้ผ้า เช็ดตูดเช็ดก้นก็อับอายจนหน้าดำหน้าแดง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ได้แต่คิดแบบปลงๆว่าตอนนี้เธอยังเป็นเด็กทารกเป็นเรื่องธรรมดา.. 'ซะที่ไหนกันเล่า โอ้ยย..อายโว้ยย..' จันทร์กู่ร้องตะโกนในใจ

สตรีมีบุตรนั่งหันหลังแล้วบีบน้ำนมใส่ถ้วยเมื่อได้น้ำนมตามต้องการแล้วจึงนำมาป้อนเด็กน้อย แต่เด็กน้อยไม่ยอมอ้าปากดื่มกินแถมยังเบือนหน้าหนีอีกต่างหาก สายตาหลายคู่ก็ลุ้นกันจนตัวโก่งหวังให้เด็กน้อยอ้าปากแต่สุดท้ายต้องยอมแพ้ให้นาง

สตรีมีบุตรจึงลองป้อนนมจากเต้าเผื่อว่าเด็กน้อยจะยอมดื่มกิน จึงนั่งหันหลังให้บุรุษทั้งสองแล้วแหวกอาภรณ์ให้นมเด็กน้อย แต่นางก็ยังเบือนหน้าหนี ไม่ยอมอ้าปากเลยแม้แต่น้อย

ฮุ่นฉินจึงลองลงไปหาเถ้าแก่โรงเตี้ยมเพื่อขอแบ่งซื้อนมวัว นมแพะ มาให้เด็กน้อยเผื่อว่านางจะยอมดื่มกินบ้าง เมื่อได้นมมาแล้วก็รีบเดินกลับเข้ามาภายในห้องเอามาป้อนเด็กน้อยทันที

จันทร์พอได้กลิ่นนมที่คุ้นเคยก็ยอมอ้าปากดื่มนมที่หญิงตรงหน้าป้อนทันที ในตอนแรกที่เธอไม่ยอมดื่มนมนั้นก็เพราะนมแม่มันเหม็นคาวได้กลิ่นแล้วอยากจะอ้วก เธอจึงไม่ยอมอ้าปากคิดว่ามันคงจะไม่อร่อยเท่าไร แต่ถ้าเธอไม่มีความทรงจำของร่างเดิมนมแม่คงจะเป็นนมที่อร่อยที่สุดเลยก็ว่าได้

" ท่านปู่นางยอมดื่มแล้วขอรับ นางดื่มนมวัว " เย่วฉีเอ่ยอย่างดีใจ เขาลุ้นแทบตายกลัวนางไม่ยอมดื่ม

" เออๆ..ดีๆ " ฮุ่ยฉินพยักหน้าพอใจ อย่างน้อยนมวัวก็ยังพอหาได้ง่าย

หลังจากที่สอนกันมาครึ่งค่อนวัน เย่วฉีก็ทำตามได้ถึงแม้จะยังเก้ๆกังๆอยู่บ้างก็ตาม ฮุ่ยฉินปล่อยให้หลานชายดูแลเด็กน้อย ส่วนตัวเขานั้นจะออกไปซื้อของใช้จำเป็นสำหรับเด็กทารกในตลาดเสียหน่อย

เมื่อเดินออกจากโรงเตี้ยมมุ่งหน้าสู่ตลาด ฮุ่ยฉินเห็นหญิงสาวอุ้มเด็กทารกไว้ในมือ ปากก็ร้องขอแบ่งน้ำนมจากหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่ง แต่หญิงคนนั้นไม่ยอมแบ่งนมให้อ้างว่าตนเองนั้นมีน้ำนมไม่เพียงพอ หญิงสาวผู้นั้นร้องไห้ดูแล้วช่างน่าสงสารยิ่งนัก เพราะฮุ่ยฉินเองก็เพิ่งได้เลี้ยงเด็กทารกเช่นกันจึงเข้าใจหัวอกหญิงสาวผู้นั้นดี ฮุ่ยฉินจึงเดินเข้าไปหาหญิงสาวทันที

" แม่นางถ้าเจ้าหาน้ำนมแม่ไม่ได้ เจ้าก็ไปหาซื้อนมวัว นมแพะให้นางดื่มกินเถิด "

เสี่ยวชิงเมื่อได้ยินเสียงบุรุษเอ่ยก็หันกลับมามองทันที เธอน้ำตานองหน้าไม่ใช่ว่าไม่อยากซื้อแต่ตอนนี้ไม่มีเงินสักตำลึงเดียว

" นายท่านข้าน้อยไม่มีเงินติดตัวมาเลยเจ้าค่ะ " เสี่ยวชิงเอ่ยบอกชายตรงหน้าตามตรง เผื่อว่าเขาจะใจดีหยิบยื่นไมตรีให้บ้างตอนนี้เธอหวังเพียงหานมให้คุณหนูน้อยดื่มกินประทังหิว ให้ทำอะไรก็ยอมทั้งนั้น

ฮุ่ยฉินหยิบถุงเงินออกมาหนึ่งถุงค่อนข้างหนักแล้วส่งให้หญิงสาวตรงหน้าทันทีโดยไม่คิดเสียดายแม้แต่น้อย

'' เจ้ารับถุงเงินนี้แล้วไปหาอาหารใส่ท้องเสีย ทั้งเจ้าและเด็กทารกน้อยนั่น " ฮุ่ยฉินเอ่ยเสียงนุ่ลนวลที่เปี่ยมล้นไปด้วยความเมตตา

" ขอบคุณเจ้าค่ะนายท่าน ข้าน้อยเป็นหนี้บุญคุณท่านแล้ว " เสี่ยวชิงทิ้งเข่าทั้งสองข้างลงพื้นทันทีแล้วยื่นมือไปรับถุงเงินนั่นมา " นายท่านมันไม่มากไปหรือเจ้าคะ ข้าน้อยเกรงใจ " เสี่ยวชิงรับถุงเงินมาแต่มันหนักมากคิดว่าเงินคงไม่ใช่น้อยๆเป็นแน่

" ไม่เป็นไรๆข้ายินดีช่วย เก็บเงินนี้ไว้เผื่อเป็นประโยชน์ในภายหน้า " ฮุ่ยฉินเอ่ยพร้อมกับก้มมองเด็กทารกในมือหญิงสาว แต่นางห่อผ้าไว้เสียมิดเห็นเพียงจมูกน้อยๆและปากเล็กแดงระเรื่อที่โผล่พ้นผ้าออกมาเพียงเท่านั้น " เจ้าลุกขึ้นเถิด แล้วจะเดินทางไปที่ใดหรือ "ฮุ่ยฉินเอ่ยถามต่อ

" ข้าน้อยจะกลับจวนบ้านเดิมของมารดาเด็กน้อยผู้นี้เจ้าค่ะ อยู่ทางทิศใต้อีกหลายสิบลี้เจ้าค่ะ " เสี่ยวชิงเอ่ยเธอตั้งใจพาคุณหนูน้อยกลับจวนตระกูลซูและไม่แน่คุณหนูซูเหม่ยอิงอาจจะกลับมาที่จวนนแล้วก็ได้

" เช่นนั้นหรือ ข้าขอให้เจ้าและเด็กเดินทางปลอดภัย เงินในถุงมีอยู่หลายตำลึงเจ้าก็จ้างรถม้าไปส่งเถิดเพื่อความปลอดภัย " ฮุ่ยฉินเอ่ยแนะนำ

" ขอบคุณนายท่านที่ชี้แนะ ข้าน้อยขอตัวก่อนเจ้าค่ะ "

ฮุ่ยฉินพยักหน้าตอบ หลังจบการพูดคุยทั้งสองต่างแยกย้ายเดินหันหลังไปคนละทิศทางโดยไม่รู้เลยว่าเด็กทารกน้อยของพวกตนนั้นเป็นพี่น้องฝาแฝดกัน

หลังจากแยกย้ายเสี่ยวชิงก็หาซื้อนมวัวมาให้คุณหนูน้อยของตนได้ดื่มกิน ส่วนตัวเธอนั้นซื้อหมั่นโถวมาสองลูกแล้วหาที่นั่งกิน เสี่ยวชิงปลุกคุณหนูน้อยให้ตื่นแล้วค่อยๆยกขวดกระเบื้องที่ใส่นมวัวจ่อไปที่ปากของเด็กน้อยแล้วค่อยๆยกขวดให้น้ำนมไหลเข้าปากช้าๆ

หลังจากที่หาทางออกจากป่าได้ก็ล่วงเข้ายามสายมากแล้วคุณหนูน้อยตื่นขึ้นมาร้องไห้งอแงเพราะความหิว แต่เธอก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากปลอบใจและพูดคุยแม้เด็กน้อยจะฟังไม่รู้เรื่องก็ตาม จนกระทั่งนางร้องไห้จนเหนื่อยและหลับไปอีกครั้ง

ออกจากป่ามาได้เธอก็มุ่งหน้าเข้าเมืองหลวงโชคดีที่เจอกลุ่มพ่อค้าขนส่งสินค้าเดินทางผ่านมาพอดี จึงขออาศัยติดรถมาด้วยพ่อค้าใจดีก็ยอมให้เธอและเด็กน้อยนั่งมาด้วย เมื่อผ่านเข้าเมืองมาได้ ก็ขอแยกตัวเพราะไปคนละเส้นทางกัน เสี่ยงฃวชิงมุ่งหน้ากลับจวนตระกูลซู แต่เมื่อผ่านตลาดเห็นสตรีคนหนึ่งกำลังอุ้มบุตรตัวน้อยก็คิดว่านางน่าจะมีน้ำใจแบ่งปันน้ำนมให้เธอบ้าง จึงเดินไปขอร้องอ้อนวอนแต่สุดท้ายนางก็ไม่ยินยอม แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีอยู่บ้างที่เจอบุรุษใจดียื่นถุงเงินมาให้ เงินในถุงนั้นมีมากมายหลายตำลึงเงินถ้าเธอใช้อย่างประหยัดคงพอกิน พอใช้ได้หลายปีเลยทีเดียว ชายผู้นั้นคงจะร่ำรวยมากถึงได้ให้เงินมามากมายเช่นนี้

หลังจากป้อนนมและเสี่ยวชิงก็กินหมั่นโถวจนอิ่ม จึงออกเดินทางไปยังจวนตระกูลซูกันต่อ เธอไม่ได้จ้างรถม้าเพราะอยากเก็บเงินไว้ใช้ยามจำเป็นมากกว่า ระยะทางหลายสิบลี้้เดินไปเรื่อยๆประเดี๋ยวก็คงถึง

เสี่ยวชิงเดินตามทางไปเรื่อยๆโดยไม่ได้หยุดพักจนกระทั่งเวลาล่วงเข้ากลางยามอิ่ว(17.00-18.59)ในที่สุดเธอก็มาหยุดอยู่หน้าประตูจวนตระกูลซูจนได้ จึงรีบเดินไปแจ้งคนคุ้มกันหน้าประตูว่าเธอเป็นสาวใช้ของคุณหนูซูเหม่ยอิงขอเข้าพบนายท่านใหญ่ แต่คนคุ้มกันหน้าประตูไม่ยอมให้เข้าพบอ้างว่านายท่านใหญ่สั่งเอาไว้ว่าถ้าคุณหนูซูเหม่ยอิงและสาวใช้กลับมาห้ามให้เข้าจวนเด็ดขาด

เสี่ยวชิงใจคอไม่ดีนี่นายท่านโกรธคุณหนูถึงเพียงนี้เชียวหรือถึงขนาดไม่ยอมให้เข้าจวน เธอไม่ยอมแพ้ทั้งอ้อนวอนและขอร้องแต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล จนเวลาล่วงเลยมาหลายชั่วยาม บัดนี้ท้องฟ้ากลายเป็นสีมืดสนิท ความหนาวเย็นเริ่มคืบคลานมากขึ้น เสี่ยวชิงนั่งอยู่ข้างประตูใหญ่ โชคดีที่คุณหนูน้อยยังพอมีนมวัวเหลือจึงประทังความหิวไปได้ แต่เด็กน้อยก็ไม่ได้สบายตัวนักเพราะผ้าที่ห่อหุ้มกายนั้นเปียกชื้นการถ่ายเบาของนางจึงส่งเสียงร้องดังงอแงท่ามกลางความสงบเงียบในยามค่ำคืน

เสี่ยวชิงสงสารคุณหนูน้อยจับใจ นึกโทษโชคชะตาที่กลั่นแกล้งให้พวกเธอต้องมาลำบากเช่นนี้และโทษคนตระกูลซูที่ใจร้ายใจดำไม่เหลียวแลแม้บุตรหลานในใส้ของตนเอง เด็กน้อยตาดำๆไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อยจะใจร้ายเกินไปแล้ว เสี่ยวชิงก่นด่าในใจพร้อมกับน้ำตาไหลลงมาอาบสองแก้ม

เวลาล่วงเข้ายามจื่อ(23.00-00.59)เสียงประตูจวนเปิดออกพร้อมกับร่างของบุรุษผู้หนึ่ง เขาคือคุณชายซูหลวนซานพี่ชายของคุณหนูซูเหม่ยอิงนั่นเอง เสี่ยวชิงเมื่อเห็นดังนั้นก็รีบลุกขึ้นเดินเข้าไปหาทันที

" คุณชายช่วยคุณหนูน้อยด้วยนะเจ้าคะ ฮือๆ " เสี่ยวชิงเอ่ยพร้อมกับร้องไห้อ้อนวอน

" รีบตามข้าเข้ามา " ซูหลวนซานเดินนำหน้าเข้าจวนแล้วเดินอ้อมไปทางด้านหลังจวน ออกห่างจากเรือนใหญ่พอประมาณ

บริเวณท้ายจวนแห่งนี้มีเรือนหลังเก่าอยู่หนึ่งหลังพอที่สองคนจะพักอาศัยได้ ซูหลวนซานจึงพาเสี่ยวชิงและหลานตัวน้อยของเขามาที่แห่งนี้ แม้ท่านพ่อจะสั่งห้ามช่วยเหลือแต่เขาอดที่จะสงสารไม่ได้ เด็กน้อยไม่ผิดอันใด ใยต้องมารับความโกรธแค้นของผู้ใหญ่กัน เขาไม่ได้ใจจืดใจดำถึงขนาดทอดทิ้งหลานของตนเองได้ลงคอ

" เสี่ยวชิงเจ้าพักอยู่ที่เรือนนี้เถิด ถึงจะเก่าไปบ้างแต่ก็ยังดีกว่าที่เจ้าจะไปร่อนแร่อยู่ข้างถนน "

" ขอบคุณเจ้าค่ะคุณชายใหญ่ แต่นายท่านใหญ่จะไม่ว่ากระไรหรือเจ้าคะ "

" ข้าจะพูดกับท่านพ่อเอง แล้วเรื่องเป็นมาอย่างไรเล่าให้ข้าฟังเดี๋ยวนี้ " ถึงแม้จะดึกดื่นมากแล้วแต่ซูหลวนซานไม่คิดจะปล่อยผ่านเขาต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดเรื่องร้ายแรงอันใดขึ้นกับน้องสาวของเขา

เสี่ยวชิงเล่าเรื่องราวคร่าวๆแต่เน้นเรื่องสำคัญและขอร้องให้คุณชายใหญ่ช่วยออกตามหาคุณหนูซูเหม่ยอิงที่พลัดหลงกันในป่า

คุณชายใหญ่ที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดก็รับปากจะออกตามหาคุณหนูและก็เดินกลับเรือนใหญ่ไป ผ่านไปสองเค่อก็มีบ่าวหญิงคนหนึ่งที่เธอเคยเห็นหน้าค่าตาตอนยังอาศัยอยู่ในจวน นำผ้าห่มและอาภรณ์มาให้ แล้วพรุ่งนี้นางบอกว่าจะนำข้าวของเครื่องใช้มาให้อีกคุณชายใหญ่ได้สั่งเอาไว้ เสี่ยวชิงน้ำตาไหลด้วยความซึ้งใจ แล้วรีบจัดการผลัดเปลี่ยนผ้าผืนใหม่ให้คุณหนูน้อยของตนทันที คืนนี้ทั้งสองคนนายบ่าวได้นอนอุ่นสบายในเรือนหลังเก่าท้ายจวน..

สามวันถัดมา ณโรงเตี้ยมในเมืองแคว้นฉิน เย่วฉีกำลังเช็ดตัวและผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ชุดใหม่ให้เย่วซิน นางเลี้ยงง่ายมากอยู่กันมาหลายวันนางไม่เคยร้องไห้งอแงเลยสักครั้ง มีเพียงตอนที่นางจะถ่ายหนักเพียงเท่านั้นที่เขาเห็นมีหยดน้ำตาไหลออกมาจากหางตาของนาง นางถ่ายหนักวันละหนึ่งครั้งตอนเช้าเพียงเท่านั้น

วันนี้ท่านปู่จะเดินทางกลับแคว้นหนิงด้วยรถม้าขนาดใหญ่ที่ท่านปู่เป็นผู้ว่าจ้างมา การเดินทางใช้เวลาเพียงสิบห้าวันก็จะเข้าเขตชานเมืองแคว้นหนิง เย่วฉีและท่านปู่อาศัยอยู่บนเขาลูกหนึ่งเขตชานเมือง ที่นั่นไม่มีบ้านเรือนสักเท่าไร เพราะท่านปู่ไม่ชอบความวุ่นวาย ในป่ามีสมุนไพรและสัตว์ป่ามากมายที่ท่านปู่ต้องการ ท่านปู่ชอบทดลองปรุงยาใหม่ๆอยู่เสมอ

" เจ้าเบื่อเลี้ยงนางหรือยัง ถ้าเบื่อปู่จะนำไปให้มารดาของเจ้าเป็นคนเลี้ยงดู" ฮุ่ยฉินเอ่ยถามหลายชายหลังจากที่รถม้าเคลื่อนตัวออกจากโรงเตี้ยมแล้ว

" ไม่เอานะท่านปู่ หลานไม่ยอมนะขอรับ '' เย่วฉีโวยวายขึ้นทันที

" เจ้านี่ช่างประหลาดนัก อายุเพียงแปดปีเท่านั้นจะเลี้ยงนางได้หรือ " ฮุ่ยฉินถามเพื่อความแน่ใจ คราแรกที่เขาพูดในโรงเตี้ยมนั้นก็เพื่อแกล้งหลานชายเท่านั้นคิดว่าประเดี๋ยวก็คงจะเบื่อ

" ท่านปู่ก็ลองมองนางดูสิขอรับ " เย่วฉีให้ท่านปู่มองไปทางเย่วซินเห็นนางนอนอยู่บนเบาะนุ่มและกำลังจ้องมองทั้งสองพูดคุยกันอยู่ " นางไม่เหมือนเด็กคนอื่น วันๆหลานแทบไม่ต้องทำอะไรเลยนางฉลาดมากขอรับ " เย่วฉีไม่ได้พูดเกินความจริงเลยสักนิด

" เอาล่ะๆตามใจเจ้าเถิด ถ้าเบื่อก็บอกแล้วกัน " ฮุ่ยฉินเอ่ยจริงๆเขาก็รู้อยู่แล้วว่าเย่วซินไม่เหมือนเด็กคนอื่นๆ หลายวันมานี้นางไม่เคยงอแงกินแล้วนอนหลับ ถ้าไม่หลับนางก็นอนนิ่งๆกวาดสายตากลมโตไปมามองแล้วน่าเอ็นดูนัก

จันทร์ในร่างของเด็กน้อยหลายวันมานี้เธอรู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก จนต้องระบายออกมาด้วยน้ำตา สู้ให้เธอลืมเลือนอดีตไม่รู้เรื่องราวใดๆเสียยังดีกว่า แต่ก็นับถือน้ำใจของเด็กชายผู้นี้ ที่ไม่รังเกียจยามเธออึใส่ผ้า จันทร์มองเด็กชายด้วยแววตาซาบซึ้ง

' ถ้าเจ้าแก่ตัวลงนอนเป็นผักไม่มีใครเหลียวแล ข้าจะดูแลเจ้าเองเด็กน้อย' จันทร์หมายมั่นอยู่ในใจ

วันคืนผ่านพ้นและทั้งสามคนต่างวัยก็เดินทางมายังกระท่อมน้อยบนเขา พร้อมกับจับจูงแม่วัวกลับมาด้วยอีกหนึ่งตัว กระท่อมหลังนี้ฮุ่ยฉินให้คนมาสร้างเอาไว้ ภายในมีข้าวของเครื่องใช้ครบครันไม่ขาดสิ่งใดแม้ภายนอกตัวบ้านจะดูธรรมดาๆก็ตาม และตอนนี้ยังมีเด็กน้อยต่างวัยถึงสองคนที่เขาต้องดูแล วันคืนข้างหน้าคงจะไม่สงบสุขอีกต่อไปเป็นแน่ แต่คิดๆไปแล้วมันก็เป็นโชคชะตาที่ทำให้เขาต้องมาพบเจอเด็กคนนี้จริงๆ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel