บทที่ 29 ภาพหลอน
เมื่อลับร่างของคนจอมจุ้นทั้งสองไป ปาณวัตรก็ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงอย่างอ่อนแรง เขารู้ดีว่ากำลังถูกจับตามองและถูกกดดันจากผู้เป็นมารดา ท่านคงจะไม่ยอมรับและรวมหัวกันกับอรพิมกลั่นแกล้งดอกเตอร์ลิซ่าตามอย่างละครไทยที่แม่ผัวลูกสะใภ้ไม่เคยถูกกัน นี่แค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น ไม่ต้องคิดเลยว่าเมื่อท่านกลับไปโดยทิ้งอรพิมไว้ที่นี่ ชีวิตของเขาจะยุ่งเหยิงแค่ไหน หรือแค่การย้ายห้องมาอยู่ด้วยกันยังตบตาพวกท่านได้ไม่เนียนพอ เขาควรจะต้องรุกมากกว่านี้ใช่ไหม?
ชายหนุ่มถามตัวเองและคิดว่าจะต้องขอความร่วมมือกับดอกเตอร์สาวเพิ่มขึ้นอีกนิดในการแสดงฉากสวีทต่อหน้าสองคนนั้น หล่อนจะต้องลำบากใจแน่ๆ
ความคิดของเขาผิดถนัด เมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา หล่อนกำลังยิ้มและบิดตัวไปมาอย่างขวยเขิน
“ผมไปอาบน้ำก่อนนะครับ” ชายหนุ่มยิ้มตอบ แล้วเดินไปผลักประตูห้องน้ำ ยืดแขนไปมาเพื่อขับไล่อาการตึงของกล้ามเนื้อ ปลดสายรัดของชุดคลุมออกและหมุนฝักบัว
เขาสะดุ้ง เมื่อมองผ่านกระจกของอ่างล้างหน้าซึ่งสะท้อนให้เห็นบานประตู เขาแน่ใจว่าได้ลงกลอนดีแล้ว ไฉนจึงตาฝาดเห็นเงาคนแวบๆ อยู่ในนั้นได้
ดอกเตอร์สาวเดินตามเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ รอยยิ้มของหล่อนยังไม่เลือนหายไปจากใบหน้า หล่อนค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออกทีละเม็ด เผยให้เห็นเนินเนื้ออวบอิ่มที่ค่อยๆ ปรากฏสู่สายตา จนเมื่อกระดุมเม็ดสุดท้ายหลุดออกจากกัน ชั้นในลูกไม้สีดำที่ห่อหุ้มทรวงอกงามก็ผงาดขึ้นมาทันที
หญิงสาวคลี่ยิ้มกว้างกว่าเดิม ยกสะโพกเดินเข้ามาแล้วล็อคประตูดังกริ๊ก ใช้แขนข้างซ้ายพิงผนังห้องน้ำพร้อมกับเอนตัวยืนเอาขาไขว่ห้าง มือขวาดึงซิปกระโปรงลงก่อนที่มันจะหลุดพ้นขาขาวเนียนเรียวสวยคู่นั้น
ปาณวัตรกลืนน้ำลายดังเอื๊อก ร่างกายหนักอึ้งขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวไม่ได้ เมื่อหล่อนเคลื่อนกายเข้ามาหาเขาด้วยมาดนางพญา จังหวะการเยื้องกรายนั้นดูเซ็กซี่เร่าร้อนเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง สายตาหวานเยิ้มหยดย้อยแพรวพราวเต้นระริก ริมฝีปากอิ่มแบบแองเจลิน่า โจลี่เอื้อนเอ่ยถ้อยคำที่ทำให้ขนลุกซู่ไปทั้งตัว
“คะ...คุณจะทำอะไรครับ?”
“ให้ลิซ่าถูหลังให้คุณนะคะ”
คุณหมอหนุ่มได้สติถอยกรูด สองมือรีบผูกปมสายรัดเอวของชุดคลุม ตั้งแต่เกิดมาเป็นชายชาตรี อีกสองปีจะขึ้นเลขสาม ไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้มาก่อน เกิดอะไรขึ้นกับดอกเตอร์ลิซ่าผู้เคร่งขรึม หรือว่านี่คือตัวจริงของหล่อน ช่างร้ายเหลือที่ซ่อนความร้ายกาจไว้ภายใต้หน้ากากของนักวิชาการดีกรีดอกเตอร์
“ไม่! อย่านะคุณลิซ่า! เราไม่ควรทำแบบนี้” ปาณวัตรตะโกนลั่น เมื่อถูกกระชากเข้าหาร่างงามราวกับว่าหล่อนมีพละกำลังมหาศาล
ปังๆๆๆๆๆ
“เกิดอะไรขึ้นคะคุณหมอ?”
เสียงเคาะ พร้อมๆ กับเสียงเรียกด้วยความตระหนกดังเข้ามา ปาณวัตรสะดุ้งเป็นครั้งที่สอง ละสายตาจากกระจกของอ่างล้างหน้า หันไปตามเสียงและเพิ่งรู้ตัวว่าเพ้อฝันไปเอง ในห้องน้ำไม่มีร่างงามของดอกเตอร์ลิซ่า ไม่มีสายตายั่วยวนและริมฝีปากอิ่ม นอกจากภาพโปสเตอร์สุดเซ็กซี่ของมาริรีน มอนโร ติดอยู่กับบานประตู
พระเจ้า! นี่เขาเก็บเอาคำพูดของคุณหญิงและอรพิมมาคิด จนเห็นภาพเป็นตุเป็นตะราวกับกำลังฝันกลางวัน ที่สำคัญหากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริงๆ เขาก็ไม่สามารถรับประกันได้เลยว่าจะสามารถปฏิเสธดอกเตอร์ลิซ่าได้โดยไม่ลังเลใจ
น่าอายชะมัด! หากเผลอตัวเผลอใจให้กับหล่อน เจ้าของเสียงครวญครางอันสยิวกิ้วนั้นอาจจะหัวเราะเยาะให้กับความบริสุทธิ์ของเขาก็เป็นได้!
ขณะที่คุณหญิงยังลัลล้าอยู่ที่อังกฤษ หลานสาวคนเดียวของตระกูลปานเทพ หรือจะเรียกให้ถูกก็คือบุตรสาวของประมุขแห่งบ้านปานเทพกำลังคร่ำเคร่งกับการอ่านหนังสือเตรียมสอบในบ้านหลังเล็กของเธอ เพราะต้องเร่งรายงานการประชุมในตอนกลางวันและล่วงเลยมาถึงช่วงเย็น ทำให้เวลาที่เหลือน้อยในช่วงกลางคืนอยู่แล้วหดสั้นเข้าไปอีก มิหนำซ้ำเจ้าพวกแก๊งเวอร์จิ้นทั้งหลายยังมารวมตัวอยู่ที่บ้านของเธอ และปักหลักอยู่ที่นี่ไม่ยอมไปไหน ที่คิดว่าจะตั้งอกตั้งใจอ่าน กลับต้องเสียสมาธิเพราะเสียงคุยโขมงโฉงเฉงสลับกับเสียงดังตู้มต้ามจากดีวีดีภาพยนตร์เรื่องทรานส์ฟอร์เมอร์ภาคล่าสุด
“นี่พวกแกลดเสียงลงหน่อยได้ไหม ดูในโรงไม่พอหรือไงต้องตามมาดูที่บ้านฉันอีก แล้วไม่อ่านหนังสือรึไง จะสอบพรุ่งนี้อยู่แล้วนะ” เมื่อตัวหนังสือไม่เข้าหัวเลย ภาวนาก็หันไปเฉ่งเพื่อนรักทั้งสาม
“หนังแอ็คชั่นมันก็ต้องเปิดดังๆ สิวะถึงจะมัน แกจะให้พวกฉันฟังหุ่นยนต์กระซิบกันหรือไง” อาทิตย์หันมาโวย ก่อนจะทุ่มความสนใจทั้งหมดไปยังจอทีวีเหมือนเดิม
“อาจารย์เขาหยุดให้อ่านหนังสือสอบตั้งหลายวัน แกมัวทำอะไรอยู่ล่ะเพิ่งมานั่งอ่านเอาวันนี้ ความจริงแล้วแกควรทำสมองให้มันปลอดโปร่งถึงจะถูก” เปรมสินีค้อนให้เพื่อนรักหนึ่งที
“เฮ้อ! ไม่อ่งไม่อ่านมันแล้ว ไม่มีสมาธิ ขยับไปหน่อยซิฉันจะนั่งดูด้วย”
ภาวนาปิดหนังสือโยนเข้าไปในลิ้นชักอย่างไม่ใยดี พุ่งตัวลงไปนอนคั่นกลางระหว่างเปรมสินีและมนัญญา ดูเจ้าหุ่นยนต์ยักษ์หลายตัวกำลังต่อสู้กันในทีวีจอยักษ์แขวนผนังที่เพิ่งซื้อมาได้ไม่กี่เดือน แม้จะดูมาแล้วในโรงภาพยนตร์ถึงสองรอบแล้วก็ตาม
“ท่าน ผอ. จะกลับมากี่ทุ่มกันล่ะ?” มนัญญาหันไปกระซิบเพื่อนสาวเบาๆ สังเกตเห็นความซูบซีดและหน้าตาที่ไม่ค่อยสดชื่นเท่าที่ควร ไม่รู้ว่าเพื่อนรักหักโหมอ่านหนังสือมากเกินไปหรือว่าตรอมใจที่สามีไม่ค่อยมีเวลาให้กันแน่
“ไม่รู้ ไม่ได้ถาม” ภาวนาตอบสั้นๆ แม้เขาจะไม่ได้หายตัวไปนานเป็นเดือนเหมือนครานั้น แต่เรื่องที่ทำให้ต้องมึนตึงใส่กันก็มีอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะเรื่องบ้านที่ยังตกลงกันไม่ได้ ชุลภัสว์นั้นต้องการให้เธอไปอยู่คอนโดเพราะสะดวกสบายกว่า แต่เธอยืนกรานที่จะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่นี่ เพราะชินกับการอยู่บ้านที่เป็นบ้านจริงๆ คือมีตัวบ้าน มีพื้นที่ใช้สอย มีต้นไม้ดอกไม้ ไม่ใช่ห้องที่ไร้อากาศถ่ายเทแบบคอนโดหรูใจกลางเมือง
“ทะเลาะกันหรือเปล่า” มนัญญาหมดความสนใจหนังที่กำลังบู๊ดุเดือดโดยทันที เพราะเพียงแค่แต่งงานกันได้ครึ่งปี ผู้อำนวยการของเธอกับเพื่อนรักผู้เป็นภรรยา ทะเลาะกันแล้วไม่ต่ำกว่าสามครั้ง
“เปล่านี่ แค่ความเห็นไม่ลงรอยกัน แกจะดูหนังหรือจะซักฟอกฉันวะ”
ภาวนาไม่อยากให้เพื่อนต้องมาเดือดเนื้อร้อนใจกับชีวิตแต่งงานของเธอมากนัก เพราะตอนที่ชุลภัสว์หายไปคราวที่แล้วเจ้าพวกนี้ก็มานั่งคร่ำครวญว่าเป็นความผิดของพวกเขาที่วางยาปลุกเซ็กส์จนเธอต้องเสียตัวให้กับเจ้านายหนุ่ม และต้องตกกระไดพลอยโจนแต่งงานกันด้วยความรับผิดชอบ โดยที่ไม่มีโอกาสดูใจกันเลย
เมื่อหล่อนตัดบท มนัญญาก็เพ่งสมาธิไปยังหน้าจอทีวี สุภาพสตรีทั้งสามนอนเรียงกันอยู่บนฟูกหนาที่ปูบนพื้นไม้ ส่วนอาทิตย์ซึ่งเป็นชายเดียวในกลุ่มนอนกระดิกขาอยู่บนเตียงคนเดียวอย่างสบายอารมณ์ หลังจากตัดเรื่องกังวลใจออกไปจนหมด พวกเขาก็เพลิดเพลินกับภาพยนตร์ต่อไป
ในช่วงสามสิบนาทีสุดท้าย ผู้กำกับไมเคิล เบย์ ย้ำหนักย้ำหนาว่าเป็นช่วงที่พีคที่สุด ห้ามกระพริบตาแม้แต่วินาทีเดียว พวกเขาจึงตั้งอกตั้งใจดูและลุ้นกันจนแทบจะลืมหายใจ
ปัง! ตู้ม! ตึกๆๆๆๆๆๆ
ฉากนี้ทหารยิงใส่หุ่นยนต์ฝ่ายดีเซ็ปติคอน หลังจากบับเบิ้ลบีพลาดท่าถูกจับได้
บึ้ม!
นางเอกวิ่งหลบลูกระเบิด กลิ้งตีลังกาไปหลายตลบ และวิ่งไปหาพระเอกด้วยรองเท้าส้นสูงคู่เดิม
ครืด ! ตึง! ปังๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ปู้ด!
“เฮ้ย!”
