บทที่ 25 จะนอนกับใครเลือกเอา
ปาณวัตรนั่งลุ้นอยู่ว่าคุณหญิงปานทิพย์จะมีปฏิกิริยาแบบไหน เมื่อดอกเตอร์ลิซ่านั่งเบียดเขาอยู่บนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามในดินเนอร์มื้อพิเศษนี้ แฟนกำมะลอของเขาจัดการทำอาหารเย็นอย่างคล่องแคล่วว่องไวและทำตัวสบาย ๆ ไม่เหมือนเขาที่นั่งเกร็ง กลัวมารดาจะเข้าไปขย้ำหล่อนเหมือนอย่างที่เคยเห็นในละครทีวี
“นี่คุณหมอจะบอกว่า...ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา คุณหมออยู่กับคุณลิซ่าอย่างนั้นหรือ” คุณหญิงปานทิพย์ทำเสียงดุ มองบุตรชายและพิมลภัสว์สลับกันไปมา
“เราเพิ่งตกลงใจอยู่ด้วยกันตอนที่อยู่อียิปต์ จริงไหมครับลิซ่า” เขาหันไปถามหล่อนอย่างสนิทสนม พร้อมกับโปรยยิ้มเฝื่อน ๆ ลงไปด้วย
“ค่ะ...แต่ก่อนหน้านั้นเราก็เคยเจอกันมาแล้วบ้าง” พิมลภัสว์หมายความไปถึงตอนที่เธอไปเมืองไทย
“แต่ดูแล้ว พวกคุณไม่เหมือนคนที่รักกันใหม่ ๆ เลยนะคะ หรือว่ายังไม่เคยมีอะไรกัน” อรพิมโพล่งออกมาด้วยน้ำเสียงก๋ากั่นผิดกับท่าทางเรียบร้อยเป็นผ้าพับไว้ของเธอ จนคุณหญิงทำน้ำกระฉอกออกจากแก้วที่กำลังจะยกขึ้นดื่ม
“จะ...จะไม่มีอะไรได้ไงคะ...วันนั้นคุณก็เห็นว่าพวกเรากำลังจูบกัน” ดอกเตอร์สาวเท้าความถึงวันที่พวกเขามาที่นี่เป็นครั้งแรก พูดไปก็หน้าแดงไปด้วย
“ใช่ครับ...พวกเราจูบกันบ่อย ๆ จริงไหมครับลิซ่า...ทานเยอะ ๆ นะครับ” ปาณวัตรรีบเอออ แถมด้วยการตักปูราดซอสใส่จานให้เพื่อแสดงความหวาน
คุณหญิงมองอย่างหมั่นไส้ รู้ทันว่าบุตรชายแกล้งทำ แต่ก็นึกชมว่าเขายังมีความพยายามอยู่บ้าง แม้จะดูขัดเขินเก้ ๆ กัง ๆ ดีกว่าเดินหนีปัญหาอย่างเดียว
“ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ แต่แม่ก็คงจะหาที่พักไม่ได้แล้ว ยังไงก็คงต้องพักอยู่ที่นี่จนกว่าจะกลับกรุงเทพนั่นแหละ เธอคงไม่ว่าอะไรนะลิซ่า ถ้าฉันกับหนูอรจะพักอยู่ที่นี่”
“ลิซ่าเต็มใจค่ะ...เดี๋ยวเรานอนด้วยกันสามคนก็ได้ค่ะ ห้องของลิซ่ากว้างกว่าห้องของคุณหมอ นอนอัดกันได้สบาย ๆ”
“อ้าว...นี่พวกเธอแยกห้องกันนอนหรือ? ไม่เอาล่ะ จะนอนกันเข้าไปได้ยังไงตั้งสามคน เธอเป็นแฟนเขาก็ไปนอนกับเขาสิ ไม่อย่างนั้นฉันจะให้หนูอรไปแทน” คุณหญิงโวยวาย ไม่สนหน้าอิหลักอิเหลื่อของลูกชาย
“ว่าไงคะ...อรอิ่มและอยากจะพักผ่อนเต็มทีแล้วนะคะ เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว” อรพิมบ่นเป็นหมีกินผึ้ง
“ถ้าอย่างนั้นคุณไปเก็บเสื้อผ้ากับของใช้ที่จำเป็นมาที่ห้องผมเลยก็แล้วกัน คุณแม่ครับ คุณอร ทานของว่างรอสักครู่นะครับ เดี๋ยวผมช่วยลิซ่าเก็บของก่อน”
ปาณวัตรดึงพิมลภัสว์ให้ลุกขึ้นไปด้วยกัน ปล่อยให้แขกคนสำคัญนั่งรอที่โต๊ะอาหาร เมื่อขึ้นมาบนห้อง เขาก็ช่วยหญิงสาวปูผ้าคลุมเตียง และจัดวางหมอนและผ้าห่มผืนใหม่สำหรับมารดาและอรพิม
“คุณแม่ต้องจับตาดูเราอยู่แน่ ๆ ผมต้องขอโทษเอาไว้ก่อนที่บางทีอาจจะทำหรือพูดอะไรแปลก ๆ บ้าง คุณไม่โกรธนะครับ”
“ลิซ่าเห็นใจคุณค่ะ...อีกอย่างมันก็ไม่นานไม่ใช่เหรอคะ เราเองก็แค่แสดงให้สมบทบาท” หญิงสาวหัวเราะเบา ๆ อย่างอารมณ์ดี
เมื่อตกลงปลงใจที่จะแสดงเป็นคู่รักกำมะลอ พิมลภัสว์ก็พาร่างงาม ๆ ของเธอมาที่ห้องของปาณวัตรทันที เธอแขวนเสื้อผ้าในตู้ ส่วนเขานั่งอ่านหนังสืออย่างตั้งอกตั้งใจ พยายามไม่มองตามร่างสูงระหงของดอกเตอร์สาวที่เดินเยื้องกรายผ่านหน้าเขาไปโน่นมานี่
หากไม่นับภาวนาแล้ว เขาไม่เคยอยู่ในห้องกับผู้หญิงสองต่อสองมาก่อน รายนั้นถ้าเมาจนสลบคาเตียง ก็จะต้องเป็นหน้าที่ของเขาที่คอยซับหน้าซับตาให้ หรือหากหล่อนมีสติสัมปะชัญญะครบถ้วน เวลาว่างที่อยู่ด้วยกัน ก็จะเป็นการทานมื้อค่ำ ตามด้วยดูซีรีย์เกาหลี หรือไม่ก็เล่นเกมเพลย์สเตชั่นจนดึกดื่น ทำอย่างนี้เป็นเวลากว่ายี่สิบปีแล้วจนพวกเขาไม่มีอะไรต้องอายหรือขัดเขิน บางทีหล่อนก็นุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวเดินโทง ๆ ออกจากห้องน้ำเสียด้วยซ้ำ
“ฉันอาบน้ำก่อนนะคะ” พิมลภัสว์ถือผ้าเช็ดตัวพร้อมชุดนอนเตรียมสำหรับอาบน้ำ เธอบอกเขาตามมารยาท เพราะไม่คุ้นกับการอยู่ร่วมห้องกับผู้ชายในฐานะผู้หญิงจริง ๆ เหมือนกัน ตอนที่ปลอมตัวเป็นเจมส์ แพ็คทีส ก็ต้องระวังตัวเองจนหลงลืมความอายไป แต่ตอนนี้เธอกลับเป็นฝ่ายเขินเสียเอง
“ตามสบายครับ”
ปาณวัตรตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้น เพ่งสมาธิลงไปในตัวหนังสือให้มากที่สุด บอกตัวเองว่าไม่เป็นไร พยายามมองว่าหล่อนก็ไม่ต่างอะไรกับน้องสาวของเขา แม้ว่าทรวดทรงองค์เอวจะคนละไซส์ก็ตาม
ภาวนานั้นตัวเล็ก ๆ หน้าเหมือนเด็กมัธยม
อืม...คิดเสียว่าหนูนาของพี่กำลังเรียนมหาวิทยาลัยก็แล้วกัน
พิมลภัสว์ตีฟองสบู่แช่ร่างงามลงในอ่างน้ำ ขัดสีฉวีวรรณทุกสัดส่วนอย่างบรรจง คิดแผลง ๆ ว่าหากมีเหตุอะไรเกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจเธอจะได้ไม่เก้อเขิน ใครจะไปรู้ล่ะ หญิงชายอยู่ในห้องเดียวกัน บรรยากาศพาไปเขาอาจเผลอใจให้หล่อนอีกสักนิด
เฮ้อ...ช่างมีความสุขอะไรอย่างนี้....
เธอหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข จินตนาการไปไกล จนกระทั่งได้ยินเสียงปาณวัตรคุยกับใครบางคนอยู่ข้างนอก นั่นล่ะสติจึงได้กลับคืนมา
“จริงหรือเปล่า อย่าหลอกพี่นะ พี่ดีใจจริง ๆ แล้วคุณชุลภัสว์รู้หรือยัง....”
เสียงของเขาเงียบหายไป หลังประโยคที่ไม่ปะติดปะต่อ เพราะสนทนากับอีกคนทางโทรศัพท์
พิมลภัสว์เอาหน้าแนบประตู แง้มไว้พอให้มองเห็นคนที่กำลังนั่งคุยอยู่บนเตียง หนังสือที่เขาตั้งใจอ่านเมื่อสักครู่นี่พับไว้ข้าง ๆ ตัว
“อ้าวทำไมล่ะ...งอนกันตั้งแต่พี่ไปอียิปต์เลยหรือ ไม่ได้นะจ๊ะ...เรื่องสำคัญขนาดนี้ต้องบอก คุณหญิงอยู่ที่นี่กับพี่ จะให้พี่บอกไหม”
“ไม่ต้องค่ะ...ให้ท่านกลับมาก่อนเดี๋ยวนาจะบอกด้วยตัวเอง...แต่กว่าพี่หมอจะกลับก็อีกตั้งสามปีกว่า ๆ นาคิดถึงพี่หมอจังเลยค่ะ”
เสียงหวาน ๆ ของภาวนาดังมาตามสาย เขายิ้มกับโทรศัพท์ ราวกับว่าร่างน้อยนั้นนั่งอยู่ตรงหน้า
“พี่จะรีบกลับ แต่นาอย่าลืมดูแลตัวเองให้ดีนะ ทำอะไรก็ต้องระวังให้มากขึ้น เลิกดื่มเลิกเที่ยวตะลอน ๆ กับพวกแก๊งเวอร์จิ้นได้แล้ว อีกอย่างต้องเกรงใจคุณชุลภัสว์บ้าง เขาจะต้องเป็นห่วงมากรู้ไหม แล้วก็รีบปรับความเข้าใจกันซะ นี่ถ้าไม่บอกเขาเดี๋ยวก็งอนกันไปงอนกันมา พี่ขี้เกียจซื้อตั๋วเครื่องบินให้นาแล้วรอเก้ออีก”
ปาณวัตรกำชับ แม้จะรู้ว่าช่วงหลัง ๆ ภาวนาและผองเพื่อนพร้อมใจกันไปเรียนปริญญาโทภาคค่ำด้วยกันจนแทบจะไม่มีเวลาออกไปสังสรรค์ แต่เด็ก ๆ พวกนี้เผลอเป็นไม่ได้ ต้องหาโอกาสฉลองวันเกิดอยากกินกันอยู่ร่ำไป
“ค่าๆๆๆ นาพูดนิดเดียวพี่หมอเทศน์ซะยืดยาว ถ้าไม่มีอะไรแล้วนาขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ ขืนไปสายเดี๋ยวท่าน ผอ.จะดุเอา บ๊ายบายค่ะ”
“บายจ้ะ” เขากดตัดสายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม รู้ดีว่าท่าน ผอ. ของภาวนานั้นทั้งรักทั้งหวงเธอขนาดไหน นึกถึงตอนที่ชุลภัสว์เข้ารับตำแหน่งใหม่ ๆ แล้วเธอถูกเจ้านายกลั่นแกล้งจนต้องมาระบายให้ฟังบ่อย ๆ ก็อดขำไม่ได้ นี่แต่งงานกันแล้วยังกัดกันไม่เลิก สงสัยลูกคงดกหัวปีท้ายปี
“มีอะไรหรือเปล่าคะ?” พิมลภัสว์แต่งตัวเสร็จแล้ว หล่อนมายืนเป่าผมอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ในห้อง
“อ๋อ...ก็นิดหน่อยครับ...น้องสาวผมที่อยู่เมืองไทย เธอโทรมาบอกว่าตอนนี้กำลังจะมีน้อง เธอก็เลยตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูกเท่านั้นเอง”
“มีน้อง! จริงเหรอคะ กี่เดือนแล้วคะ?” หญิงสาวเบิกตากว้างอย่างยินดี ป่านนี้แม่กับพี่ชายคงไชโยโห่ฮิ้วลั่นบ้านแล้ว โดยเฉพาะคุณอุ่นเรือนนั้นคงจะไปแก้บนกันไม่หวาดไม่ไหวเลยทีเดียว
“น่าจะสักสองเดือนครับ...นี่กำลังจะไปฝากท้อง เห็นทีคราวนี้คุณแม่คงต้องรีบกลับแน่ ๆ ผมเองอีกสักพักก็จะต้องกลับไปเหมือนกัน ชักจะคิดถึงบรรยากาศที่เมืองไทยซะแล้ว”
