คุณชายหมอขอปราบรัก

92.0K · จบแล้ว
ซีฟางกั๋วเจีย/เอสเต้
47
บท
916
ยอดวิว
9.0
การให้คะแนน

บทย่อ

คุณชายหมอสกุลฮัวขึ้นชื่อว่าเป็นบุรุษผู้มีวิชาแพทย์สูงส่ง กำเนิดในตระกูลหมอเทวดา พวกเขาไม่ค่อยเปิดเผยตัวตนเท่าใดนัก สตรีน่าตายที่กล้าเข้ามาข้องแวะด้วยล้วนตกถูกขับไล่ไสส่งมีเพียงหญิงสาวที่ถูกใจถึงจะถูกกลั่นแกล้งและหลอกล่อให้ขึ้นเตียง

นิยายรักโรแมนติกนิยายแอคชั่นนิยายจีนโบราณนิยายรัก

บทที่ 1 ระยะดวงซวย

“ข้าอยากไปไหว้เจ้าเจ้าค่ะ ท่านแม่” หญิงสาวในชุดมือปราบหน้าตามอมแมมเอ่ยด้วยน้ำเสียงแค้นเคือง

“จือจือ เจ้าแปลกคนซะเสียจริง ปกติเจ้าไม่เคยเชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ปาฏิหาริย์ ไหงวันนี้ถึงได้อ้าปากอยากไปไหว้เจ้า”

สีหน้าของอู๋จือดูกระอักกระอ่วน เรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้น นางไม่อาจจะเปิดปากบอกผู้ใดได้ มันเป็นเรื่องน่าละอาย น่าอับอายเสียเหลือเกิน แม้ว่านางจะไม่ใช่ผู้หญิงคร่ำครึที่คิดว่าการถูกแตะเนื้อต้องตัวจะต้องไปกระโดดน้ำตายเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ แต่เรื่องที่นางเจอมัน...มันชวนให้หงุดหงิดอยู่แทบทั้งวัน

อู๋ฮูหยินหันไปมองดูลูกสาวที่ทำหน้าหงิกหน้างอก็ส่ายหน้า “เอาเถิดๆ ถ้าเจ้ามีเรื่องไม่สบายใจก็ไปเสีย นี่ก็จวนจะค่ำแล้ว รีบไปรีบกลับเล่า ประเดี๋ยวประตูศาลเจ้าจะปิดเสียก่อน”

“เจ้าค่ะ”

อู๋จือที่เพิ่งกลับมาถึงบ้านได้ไม่ถึงสองเค่อ จู่ๆ ก็บอกมารดาว่าตนเองอยากจะไปไหว้เจ้า มารดากับน้องสาวที่กำลังเตรียมอาหารได้ยินเช่นนั้นก็ทักท้วงเพราะยามนี้ใกล้จะมืดค่ำ การออกไปข้างนอกไม่ค่อยเหมาะสมนัก แต่นางเป็นมือปราบน้องใหม่ วรยุทธ์ก็พอมี พลังกำลังก็ถือว่ามากพอๆ กับบุรุษ ที่ผ่านมานางไม่เคยถูกผู้ใดรังแก มารดาจึงได้พยักหน้าอนุญาติ

พอพี่สาวก้าวเท้าผ่านธรณีประตูไป อู๋เสี่ยวถงรีบหันไปหามารดา

“ท่านแม่ ข้าดูท่าทางของพี่จือแล้ว เหมือนนางกำลังมีเรื่องกลุ้มใจอย่างมากเลยเจ้าค่ะ หลายวันมานี่ดูหน้าตาหมองคล้ำ”

“พี่เจ้าเป็นมาตั้งแต่เมื่อใด?” อู๋ฮูหยินสีหน้าตระหนก

“เป็นมาตั้งแต่นับเจ็ดวันแล้วเจ้าค่ะ”

มารดาถอนหายใจยาว “แม่ไม่อยากให้พี่สาวของเจ้าทำงานนี้เลยจริงๆ งานมือปราบเบี้ยหวัดน้อย ความเสี่ยงมาก แต่ละคดีก็ไม่ง่ายเลย แม้ว่าตอนนี้สตรีจะออกไปทำงานนอกบ้านได้ แต่อาชีพนี้ช่างมีแต่ปัญหา”

“ท่านแม่ห่วงพี่จือจะหาสามีไม่ได้เหรอเจ้าคะ?”

“ก็ใช่น่ะสิ ดูแต่ละวันพี่เจ้าเนื้อตัวมอมแมมกลับมา ดูได้ที่ไหน? ตอนนี้อายุก็สิบเก้าเข้าไปแล้ว แม่สื่อแต่ละคนพอได้ยินอาชีพของจือจือ ก็พากันส่ายหัว”

“มันช่วยไม่ได้นี่เจ้าคะ? พี่จือไม่ชอบงานเย็บปัก ดีที่ยังพอทำอาหารได้ แต่ก็ยากจะกลืนลง ที่เก่งกาจก็มีแต่การใช้กำลังต่อยตีนี่ล่ะ”

อู๋ฮูหยินฟังบุตรีคนกลางของตนพูดแล้วก็ถอนหายใจออกมา “นี่หากแม่มีเงินส่งเสียให้พวกเจ้าร่ำเรียนหนังสือก็คงจะดี อย่างน้อยพี่สาวของเจ้าก็ยังพอจะถูกตาครอบครัวเหล่าบัณฑิตบ้าง”

อู๋เสี่ยวถงรีบกุมมือมารดา หากพูดเรื่องเงินขึ้นมาคราใด ท่านแม่ของนางจะต้องคิดมากและหวนรำลึกถึงการเจ็บป่วยครั้งนั้นของตนเองอยู่ร่ำไป

“ท่านแม่ ช่างเถิดเจ้าค่ะ ทุกวันนี้พวกเราก็มีความสุขกันดีแล้ว รอให้ข้าเก็บเงินอีกสักหน่อย ก็ไม่ต้องรบกวนท่านพี่ให้จ่ายค่าร่ำเรียนของเสี่ยวตี้ ท่านพี่จะได้เก็บเงินสำหรับแต่งงานเสียที”

อู๋ฮูหยินน้ำตาซึม หากนางไม่ป่วย ป่านนี้ลูกๆ ทั้งสามก็คงไม่ต้องลำบาก ตอนนี้นางหวังเพียงว่าอู๋จือลูกสาวคนโตจะพอหาสามีที่ช่วยดูแลนางได้

“ปีนี้อายุของพี่เจ้าก็สิบเก้าเข้าไปแล้ว หากแม่ยังมีเงินเก็บมากๆ อยู่ก็คงจะติดต่อแม่สื่อให้หาครอบครัวบุรุษดีๆ ให้ ถ้าเรามีสินเจ้าสาวมากพอ ก็คงจะมีครอบครัวบัณฑิตยอมรับได้บ้าง”

“ท่านแม่ อย่าพูดเลยเจ้าค่ะ เรื่องมันผ่านมานานแล้ว ตอนนี้ข้ากับท่านพี่ก็มีงานทำพอมีรายได้ ครอบครัวเราก็ไม่ได้ลำบากอย่างแต่ก่อนแล้ว”

“อืม...” ผู้เป็นมารดาถอนหายใจออกมา

หลังจากที่บิดาของอู๋จือซึ่งเป็นอดีตมือปราบเสียชีวิตไป ได้ทิ้งเงินทองเอาไว้มากพอสมควร อู๋ฮูหยินจึงนำเงินพวกนั้นมาทำร้านขายอาหารเล็กๆ ในอำเภอ ด้วยฝีมือทำอาหารที่ดีเลิศ ทำให้นางหาเงินทองเอาไว้ได้จำนวนมาก

ทว่าสี่ปีก่อน นางเกิดล้มป่วยจนต้องนำเงินออกมารักษาจำนวนมาก หลังจากหายป่วยก็เหลือเงินพอให้เลี้ยงดูบุตรไม่มากนัก

ปีที่อู๋จืออายุสิบเจ็ด นางแอบหนีออกจากอำเภอเข้าเมืองหลวง แอบสอบมือปราบ พอนางสอบได้จึงกลับไปแจ้งมารดา ครอบครัวของอู๋จือจึงย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองหลวง เช่าเพิงเล็กขายอาหาร ผ่านไปหนึ่งปีก็พอมีเงินไปเช่าร้านขนาดหนึ่งคูหา

ตอนนี้บุตรสาวคนที่สองคืออู๋เสี่ยวถงที่อายุได้สิบเจ็ดปีก็ไปเป็นลูกจ้างที่ร้านขายสมุนไพรเล็กๆ ละแวกบ้าน ยังเหลือเพียงอู๋เหอตี้บุตรชายคนเล็กที่ยังร่ำเรียนอยู่ในสถาบันเค่อเฉิง ซึ่งเป็นแหล่งการศึกษาชื่อดังในเมืองหลวง การสอบเข้าเค่อเฉิงเป็นการยากยิ่งนัก แต่อู๋เหอตี้ก็ไม่ทำให้คนในครอบครัวผิดหวัง

เขาเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของครอบครัวที่ทุกคนวาดหวังให้ได้เป็นขุนนาง เงินรายได้ของพี่สาวทั้งสองใช้ส่งเสียน้องชายคนเล็ก

สตรีรูปร่างสันทัด หุ่นเพรียว ใบหน้าน่ารักในชุดมือปราบสีแดงเลือดหมู เดินก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไปในอารามใหญ่ นางคุกเข่าลงหน้าเทพยี่ว์หวงต้าตี้ผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์

‘ท่านเทพผู้เป็นใหญ่ ได้โปรดดลบันดาลให้ข้าลืมเรื่องเลวร้ายพวกนั้นเสียทีเถิดเจ้าค่ะ ข้านอนไม่หลับมาหลายคืนแทบจะเป็นประสาทอยู่แล้ว’

อู๋จือนั่งพนมมือนั่งพึมพำอยู่ครู่หนึ่ง ก็มีเสียงคนคุกเข่าลงที่เบาะด้านข้าง

“เจ้าคิดจะขอสิ่งใดหรือ?”

น้ำเสียงนั้นทำเอาอู๋จือพลันสะดุ้ง นางลืมตาแล้วหันขวับไปดูชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆ ดวงตาของนางเบิกขึ้นกว้างกว่าเดิม

“เป็นท่าน? ท่านมาได้อย่างไร?”

คนผู้นั้นผิวพรรณขาวผุดผ่อง ใบหน้างดงามดุจเทพเซียน ดวงตาทอดมองมายังนางคล้ายจะยิ้มล้อเลียนอยู่ในที...อู๋จือผวา ใบหน้านี้ตามมาหลอกหลอนนางถึงในวัดเชียวหรือ? เห็นทีนางคงต้องนำเอาขี้เถ้าในกระถางธูปไปละลายน้ำมาล้างหน้าเสียกระมัง

“ข้ารึ? ข้าอยากมาไหว้เจ้าก็เลยเข้ามาที่นี่ ทำไมเล่า? อารามนี้เป็นของส่วนกลาง ไม่ว่าผู้ใดก็สามารถมาไหว้ได้มิใช่หรือ?”

“หึ! คนบาปก็อยากจะได้บุญ” อู๋จือหงุดหงิดเป็นกำลัง นางอุตส่าห์ขอพรให้ไม่พบเจอคนผู้นี้ แต่ยังไม่ทันอธิษฐานจบ คนต้นเหตุก็ปรากฏ สวรรค์จงใจยัดเยียดความทุกข์โถมโหมซัดให้นางหรือ?

‘ดวงข้านี่มัน ซวยซ้ำซวยซ้อนหรืออย่างไร? มาเจอคนเลวเข้าจนได้’

บุรุษรูปงามในแพรพรรณราคาแพงลุกขึ้น แต่ยังไม่วายยิ้มหวานให้กับ อู๋จือ มือปราบหญิงกำหมัดแน่น นึกถึงจูบแรกของตนที่ถูกคนผู้นี้ฉกฉวยไปในคืนนั้นแล้วก็รู้สึกแน่นหน้าอกขึ้นมา

ฮัวหยาง คุณชายใหญ่แห่งสกุลฮัว ผู้มีรูปลักษณ์หล่อเหลาราวเทพเซียน แทบจะไม่ย่างเท้าออกจากเรือนชานเมือง แต่เพราะเจ็ดวันนี้เขาไม่อาจจะข่มตาหลับลงได้ ทุกคราใบหน้าของมือปราบหญิงหน้าตามอมแมมก็ปรากฏขึ้น ทำให้เขาต้องออกมาไหว้เทพขอพร

...ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอตัวต้นเหตุมาไหว้พระที่เดียวกัน...

“ฟ้าใกล้จะมืดแล้ว มือปราบอู๋ เจ้าไปส่งข้าหน่อยได้หรือไม่?”

“เหตุใดข้าต้องไปส่งท่านด้วย?” หน้าตาของนางถมึงทึง

“เจ้าเป็นผู้รักษากฎหมายและดูแลความสงบของบ้านเมือง ข้าเป็นเพียงราษฎรผู้อ่อนแอ เจ้าไม่คิดจะช่วยเหลือข้าเลยหรือ?”

“ไม่ ตอนนี้ข้าเลิกงานแล้ว ไม่มีกระบี่ติดมือมาด้วย บ่าวรับใช้และองครักษ์ท่านมีมากมาย เหตุใดต้องรบกวนข้า?”

ฮัวหยางยกยิ้มมุมปาก

“อู๋จือ เรื่องคืนนั้น เจ้าโกรธข้ามากหรือ?”

มือปราบหญิงตาเหลือกรีบหันไปมองรอบกาย ครั้นไม่เห็นผู้ใดอยู่ใกล้ก็ขบกรามแน่น กัดฟันกรอดๆ “หุบปากเน่าๆ ของท่านซะ”

“แต่ว่าข้า...รู้สึกผิดมากเลยนะที่...”

อู๋จือผวาเข้ามายกมือปิดปากเขาแน่น จนฮัวหยางผงะ เขาพลันนึกขึ้นได้ว่านางเป็นคนมีพละกำลังมากจนเขาก็ยากต้านทาน

“ท่านจะพูดถึงอีกทำไม? ข้าบอกแล้วว่าให้เก็บเอาไว้เป็นความลับ ไม่เช่นนั้นข้าจะเชือดคอท่านแล้วลากศพไปทิ้งข้างถนนเสีย”

***************