12 เปลี่ยนไปเพราะการแต่งงาน
มินตราทานอาหารกลางวันคนเดียวเงียบๆ ก่อนจะขึ้นไปแต่งตัวรอให้กวินภพมารับ วันนี้เธอแต่งหน้าอ่อนกว่าทุกครั้งเพราะคิดว่าการไปทานอาหารกับครอบครัวของสามีควรแต่งตัวให้ดูสุภาพและเรียบร้อยกว่าการออกไปข้างนอกกับกวินภพ ผมที่มักจะมัดรวบก็ปล่อยยาวและคาดทับด้วยที่คาดผมแบรนด์หรูที่กวินภพเตรียมไว้ในตู้
เสียงรถแล่นเข้ามาจอหน้าบ้านเวลาบ่ายแก่ๆ กวินภพเดินเข้ามาอย่างไม่รีบร้อนเพราะอีกนับชั่วโมงกว่าจะถึงเวลานัดใกล้เวลาที่นัดกับมารดาไว้แล้ว
“เตรียมตัวพร้อมแล้วใช่ไหม”
“ค่ะ คุณภพจะอาบน้ำก่อนไปไหมคะ มิ้นต์จะไปเตรียมชุดให้”
“ไม่เป็นไรผมจัดการเองได้ คุณรอผมสักยี่สิบนาทีนะ” เขาเหลือบมองการแต่งตัวของเธอแล้วยิ้มก่อนอย่างพอใจก่อนจะเดินขึ้นไปอาบน้ำ
ชายหนุ่มกลับลงมาอีกครั้งด้วยชุดสบายๆ เสื้อยืดโปโลสีน้ำเงินกับกางเกงยีนสีเข้มดูแปลกตาไปจากวันปกติแต่มินตรากลับมองว่าเขาแต่งตัวแบบนี้ดูมีเสน่ห์และอบอุ่นกว่าการใส่สูทผูกไทเวลาไปทำงาน
“ไปกันเถอะ”
หญิงสาวเดินตามเขามาที่รถอย่างไม่คิดอะไรมากเพราะลุงสันติบอกแล้วว่ามันตราไม่สนิทกับทางบ้านของกวินภพเท่าไหร่ หญิงสาวคิดว่าเธอคงไม่ต้องแสดงอะไรมากนัก
“ทำไมเงียบไปล่ะมิ้นต์ คิดอะไรอยู่” กวินภพชวนเธอคุย ปกติเป็นคนคุยไม่เก่งแต่คิดว่าถ้าชวนเธอคุยแล้วเธอจะพลาดหลุดอะไรออกมาสักอย่าง
“มิ้นต์คิวว่าเราควรจะซื้ออะไรติดไม้ติดมือไปไหม เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่มิ้นต์ไปบ้านคุณภพ”
“ครั้งแรกที่ไหน คุณเคยไปมาแล้ว” เขาหันมองและเห้นว่าตอนนี้ภรรยาของเขาหน้าถอดสีเล็กน้อย
“คือมิ้นต์หมายถึงครั้งแรกที่มิ้นต์ไปบ้านคุณภพในฐานะลูกสะใภ้ค่ะ” มินตรารีบแก้ตัวและคิดว่ามันเป็นเหตุผลที่เขาจะเชื่อ
“นั่นสินะ ครั้งแรกจริงๆ แต่ไม่เป็นไรหรอกครับ บ้านผมอยู่กันแบบสบายๆ ไม่มีพิธีรีตองอะไรอยู่แล้ว ปกติผมก็ไปทานข้าวที่บ้านทุกอาทิตย์อยู่แล้วล่ะครับ ต่อไปมิ้นต์ก็ต้องมากับผมทุกครั้งนะ คุณจะสะดวกไหม”
“ไม่มีปัญหาหรอกค่ะ”
เมื่อมาถึงบ้านบิดามารดาของกวินภพชายหนุ่มก็เดินจูงมือมินตราเข้าไปในบ้าน ซึ่งตอนนี้บิดามารดาของเขากำลังนั่งจิบชากลางห้องรักแขก
“แม่ครับ พ่อครับ” กวินภพเอ่ยทักทาย
“มาแล้วเหรอลูก” คุณรัตนาเงยหน้าขึ้นมามองด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
“สวัสดีค่ะคุณพ่อ คุณแม่” มินตรายกมือไหว้ด้วยความนอบน้อม
คุณหญิงรัตนา มารดาของกวินภพ มองมินตราด้วยความสงสัยเล็กน้อย เธอเคยเจอมันตรามาแล้วแต่ที่ผ่านมามันตรามาไม่ใช่คนที่จะพูดจาอ่อนหวานและนอบน้อมแบบนี้
“สวัสดีจ้ะ หนูมิ้นต์” คุณหญิงรัตนากล่าวตอบด้วยรอยยิ้มที่ยังคงมีความเคลือบแคลงใจ
คุณธีระบิดาของกวินภพ พยักหน้ารับและมองมาที่มินตราอย่างพิจารณา
“หนูมิ้นต์หิวหรือยังล่ะลูก” คุณรัตนาชวนคุย
“ไม่เท่าไหร่ค่ะคุณแม่ แล้วคุณภพล่ะคะ” มินตราตอบพร้อมกับหันมาถามสามีแสดงถึงความห่วงใยที่มีให้เพราะเธอไม่รู้ว่าออกไปข้างนอกจะได้ทานอาหารกลางวันมาหรือเปล่า
“หิวแล้วครับแม่ วันนี้ไปตีกอล์ฟกับลูกค้าเลยใช้พลังงานไปเยอะหน่อย”
“พ่อว่าไปทานข้าวกันก่อนก็ได้เดี๋ยวทานเสร็จค่อยมานั่งคุยกันนะ”
อาหารเย็นก็ถูกยกมาเสิร์ฟบนโต๊ะอาหารขนาดใหญ่ มินตราสังเกตเห็นว่าอาหารทุกจานล้วนเป็นอาหารไทยที่เธอคุ้นเคยและชอบทาน ต่างจากอาหารฝรั่งเศสที่กวินภพพาเธอไปทานเมื่อวาน
เมื่อแม่บ้านวางอาหารลงบนโต๊ะ มินตรายิ้มและกล่าวขอบคุณแม่บ้านอย่างสุภาพ
“ขอบคุณค่ะ”
คุณหญิงรัตนามองมินตราด้วยความแปลกใจอีกครั้ง มันตราตัวจริงไม่เคยกล่าวขอบคุณแม่บ้านเลย เธอจะวางตัวเป็นคุณนายที่สูงส่งและไม่สนใจคนรับใช้ในบ้าน
“อาหารน่าทานจังเลยค่ะคุณแม่” มินตราเอ่ยชมอาหาร
“ทานเยอะๆ นะลูก” แม้จะคำถามมากมายแต่คุณรัตนาก็ชอบที่เห็นลูกสะใภ้เป็นแบบนี้
มินตราทานอาหารเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย ซึ่งทำให้คุณรัตนากับคุณธีระมองหน้ากันอย่างเงียบๆ เพราะแต่ก่อนมันตราไม่ชอบอาหารไทยและมักจะทานน้อยมาก
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารดำเนินไปอย่างเรียบง่าย มินตราพยายามทำตัวให้เป็นธรรมชาติที่สุด เธอพูดคุยตอบคำถามของคุณหญิงรัตนาและคุณธีระด้วยน้ำเสียงสุภาพและอ่อนน้อม ทำให้ทั้งสองท่านรู้สึกถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน แต่มินตราก็ยังคงระมัดระวังคำพูดของตัวเองไม่ให้หลุดสิ่งที่เกี่ยวกับตัวตนของเธอออกมา
“หนูม้านต์ดูเปลี่ยนไปมากเลยนะจ๊ะ ดูเรียบร้อยขึ้นเยอะเลย” คุณรัตนากล่าวขึ้นหลังจากทานอาหารเสร็จแล้ว
“ค่ะคุณแม่ มิ้นต์คิดว่าพอแต่งงานแล้วก็ควรจะปรับตัวให้เป็นแม่บ้านที่ดีน่ะค่ะ” เธอตอบด้วยเหตุผลเดียวกับที่เคยบอกกวินภพ
“เป็นเรื่องที่ดีนะที่คิดจะปรับปรุงตัวเอง” คุณธีระที่นั่งเงียบมาตลอดก็เอ่ยขึ้นบ้าง
กวินภพที่นั่งฟังอยู่เงียบๆ มาตลอด ก็ได้แต่สังเกตการณ์ มันตราในวันนี้แตกต่างจากมันตราที่เขารู้จัก วันนี้หญิงสาวพูดจาไพเราะ อ่อนน้อมถ่อมตนและคุยกับบิดามารดาของเขาได้นานกว่าทุกครั้งมันทำให้เขาเริ่มมั่นใจมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเขาไม่ใช่ภรรยาตัวจริงของเขา
“แล้วภพพาหนูมิ้นต์ไปจดทะเบียนสมรสหรือยังล่ะ วันนี้พ่อเจอคุณสันติท่านก็ถามอยู่”
“ผมยังไม่มีเวลาว่างเลยครับพ่อ”
“ว่างไม่ว่างยังไงก็ต้องหาเวลาไปทำเรื่องนี้ให้ถูกต้องนะ หนูมิ้นต์กับคุณสันติจะได้สบายใจ” คุณธีระบอกกับลูกชายและยิ้มให้กับลูกสะใภ้
“ครับพ่อ” กวินภพรับคำแต่เขาจะยังไม่พามันตราไปจดทะเบียนสมรสจนกว่าจะหาคำตอบเรื่องที่เธอไม่เหมือนเดิมได้
ชายหนุ่มไม่เชื่อคำพูดของเธอที่ว่าเปลี่ยนตัวเองเพราะแต่งงานแล้วเพราะมันฟังดูไม่ขึ้นเลยสำหรับผู้หญิงที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงและถูกเลี้ยงอย่างตามใจอย่างมันตรา
“แล้วเรื่องฮันนีมูนล่ะ” คุณรัตนาหันมาถามลูกชายบ้าง
“เรายังไม่ได้คุยกันเลยครับ”
“ได้ยังไงแต่งงานแล้วก็ต้องพากันไปฮันนีมูนนะ หนูมิ้นต์ละลูกอยากไปเที่ยวที่ไหนบอกภพเขาได้เลย”
“มิ้นต์ตามใจคุณค่ะ อันที่จริงมิ้นต์ว่าเราไม่ต้องไปก็ได้ค่ะมิ้นต์รู้ว่าคุณภพงานยุ่งมากๆ”
“เอาอย่างนี้สิเดือนหน้าภพต้องไปคุยงานที่ยุโรปไม่ใช่เหรอ ถือโอกาสนั้นพาหนูมิ้นต์ไปเที่ยวแล้วก็ไปเรียนรู้งานด้วยเลยดีไหม” มารดาของกวินภพเสนอ
“ก็ดีนะครับแม่ ไปฮันนีมูนแล้วไปเที่ยวด้วยจะได้ไม่เสียงานพอกลับมาจากฮันนีมูนมิ้นต์ก็คงพร้อมที่จะเริ่มไปทำงานกับผมที่บริษัทใช่ไหม”
“ค่ะ” มินตรารับคำแล้วยิ้มเธอไม่รู้มาก่อนว่าจะต้องเข้าไปช่วยงานกวินภพที่บริษัทด้วย
หญิงสาวไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้มันตราคุยอะไรกับกวินภพไว้บ้างแต่เรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายเธอคงต้องไปหาคุณสันติที่บ้านแล้วศึกษางานสักหน่อยเผื่อเวลาไปช่วยงานกวินภพจะได้ไม่ถูกเขาจับได้
ทั้งสี่คนนั่งคุยกันในห้องรับแขกอยู่อีกราวครึ่งชั่วโมงกวินภพก็ขอตัวกลับ
“ขอบคุณสำหรับอาหารเย็นนะคะคุณพ่อคุณแม่ อร่อยมากเลยค่ะ”
“ยินดีจ้ะลูก ว่างๆ ก็มาอีกนะ” คุณรัตนายิ้มให้มินตราอย่างอ่อนโยน
“ค่ะคุณแม่” มินตราตอบรับ
ตลอดทางกลับบ้านบรรยากาศในรถเงียบสงบ กวินภพไม่ได้พูดอะไร มินตราก็ไม่กล้าชวนคุย
เธอได้แต่มองออกไปนอกหน้าต่าง พยายามทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ เธอรู้สึกว่าเธอทำได้ดีพอสมควร แต่ก็ไม่รู้ว่ากวินภพและบิดามารดาของเขาจะคิดอย่างไรกับเธอ
เมื่อถึงบ้านมินตราก็เดินเข้าไปในห้องนอนเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าและอาบน้ำ เมื่อออกมาจากห้องน้ำ กวินภพก็เดินเข้ามาในห้อง เขาเดินไปนั่งที่โซฟาและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาใครบางคน
“ยงยุทธ มีอะไรคืบหน้าไหม”
“ได้ข้อมูลมาแล้วภพ แต่ต้องคุยรายละเอียดกันหน่อย”
“พรุ่งนี้ฉันไปเจอนายที่สำนักงานนะเปิดไหม” กวินภพถาม
“ไม่หรอกแต่นายมาเจอฉันที่สำนักงานก็ได้ ไม่มีคนอื่นอยู่เราจะได้คุยกันสะดวก พรุ่งนี้เจอกันนะ”
หญิงสาวไม่รู้ว่ากวินภพคุยเรื่องอะไรกับคนที่ชื่อยงยุทธรู้แต่มันต้องเกี่ยวกับตัวเธอแน่ๆ เพราะเขาเหลือบมามองเธออยู่ตลอด มินตราแกล้งทำเป็นอ่านหนังสือแต่ในใจเต็มไปด้วยความกังวล
มินตราไม่รู้ว่าเวลาของเธอกำลังจะหมดลงแล้วและเธอไม่รู้ว่าเมื่อความจริงถูกเปิดเผย ชีวิตของเธอจะเป็นอย่างไรต่อไป หญิงสาวเธอเหลือบมองกวินภพที่นั่งอยู่บนโซฟา เขามองมาที่เธอเล็กน้อย ใบหน้าของเขาดูเคร่งขรึมและจริงจัง ทำให้เธอรู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจ
