บทที่ 14 ข้ามียาทิพย์
ทั่วร่างของซวนหยวนเช่ออบอวลไปด้วยพลังที่คุกคามเอาชีวิตราวกับผู้คุมแห่งนรก เขาเอ่ยออกมาอย่างดุดันว่า “เป็นเจ้า?!......ขนาดเสือที่ดุร้ายมันยังไม่กินลูกตัวเอง แต่เจ้าที่เป็นถึงแม่ของเย่เอ๋อร์ คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นคนป้อนอาหารที่เขาแพ้ให้ด้วยตัวเอง เจ้ายังเป็นคนอยู่หรือไม่?”
เขามีรัศมีราวกับภูเขาไท่ซานที่ไม่หวั่นไหวใดๆแม้จะเจอลมพายุอันหนักหน่วง มันกดให้นางหายใจไม่คล่อง แม้แต่ขยับตัวก็ยังยาก และนี่เป็นครั้งแรกที่เฟิ่งเฉี่ยนรู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กนิดเดียว
“แค่กๆ! ฟังหม่อมฉันก่อน......” เฟิ่งเฉี่ยนหายใจได้อย่างยากลำบาก นางส่ายหัวรัวๆ “หม่อม...หม่อมฉันไม่รู้จริงๆว่าเขาแพ้ไข่ไก่ หาก...หากหม่อมฉันทราบเร็วกว่านี้ หม่อมฉันต้องไม่ให้เขากินอยู่แล้ว!”
“ใช่สิ เจ้าไม่รู้!”นัยย์ตาดำขลับของซวนหยวนเช่อแวบผ่านความถากถาง และเพิ่มแรงบีบในมือขึ้นอีก จากนั้นคำพูดเย็นชาก็ลอดผ่านไรฟันออกมา “เจ้าเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดเขา แต่กลับไม่ใส่ใจเขาเลยสักนิด! คนเลือดเย็นไร้จิตใจอย่างเจ้าไม่คู่ควรที่จะเป็นแม่ใครอยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเป็นแม่ของแผ่นดินเลย!”
“แค่กๆ! ฝ่าบาทพูดถูก หม่อมฉันไม่คู่ควร...ไม่คู่ควรจริงๆ...” เมื่อลมหายใจถูกชิงไป สีหน้าของเฟิ่งเฉี่ยนก็ซีดขาวขึ้นเรื่อยๆ และนางก็หายใจได้อย่างลำบากยิ่งกว่าเดิม
แววตาที่แฝงจิตสังหารของซวนหยวนเช่อเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ “ข้าแทบรอฆ่าเจ้าและพรากชีวิตเจ้าไปเสียแต่ตอนนี้ไม่ไหวแล้ว!”
“ฝ่า ฝ่าบาทฟังหม่อม...มะ หม่อมฉันมี...แค่กๆ....” ใบหน้าของนางเป็นสีขาวแล้วก็กลายเป็นสีแดงและก็เริ่มม่วง ภาพตรงหน้าค่อยๆดำมืด และใกล้จะหมดสติอยู่รอมร่อ
ในชั่ววินาทีที่นางกำลังจะถูกบีบคอจนตายนั้นเอง ในที่สุดซวนหยวนเช่อก็ปล่อยนางไป “ข้าไม่อยากฟังเจ้าพูดอะไรอีก! ไสหัวไปซะ อย่าให้ข้าเห็นหน้าเจ้าอีก!”
เขาหันหลังเดินจากไป และไม่มองนางอีกเลย
เฟิ่งเฉี่ยนไอออกมาอย่างรุนแรง นางสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอด และรู้สึกแสบร้อนตรงลำคอ
“แค่กๆ...ฝ่าบาท หม่อมฉันมียาทิพย์ที่จะช่วยเย่เอ๋อร์ได้ โปรดท่านเชื่อหม่อมฉันอีกครั้งเถิด ให้หม่อมฉันได้ไปดูเย่เอ๋อร์ด้วย!”
ซวนหยวนเช่อไม่หันกลับมาด้วยซ้ำ เขาถากถางขึ้นมาว่า“แม้แต่หมอหลวงยังรักษาไม่ได้ เจ้าคิดว่าทำได้? หึ เจ้าอย่ามาเล่นมุกตื้นๆ! ข้าไม่มีทางเชื่อเจ้า ! นำคนมา เอาตัวนางออกไป!”
“พ่ะยะค่ะ ฝ่าบาท!” ผู้คุ้มกันทั้งสองรับคำสั่งและล้อมนางไว้
แต่เฟิ่งเฉี่ยนกลับก้าวไปอย่างรวดเร็ว นางพุ่งตัวไปตรงหน้าซวนหยวนเช่อ โดยที่ถือขวดกระเบื้องสีขาวอยู่ในมือ และกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “นี่คือน้ำร้อยหญ้า รักษาได้ทุกโรค! เชื่อหม่อมฉัน มันสามารถรักษาเย่เอ๋อร์ได้!”
ซวนหยวนเช่อมองด้วยสายตาคมเฉียบ เขาไม่ได้ขยับเขยื้อนใดๆ
“หากฝ่าบาทไม่เชื่อ หม่อมฉันจะดื่มให้ดูเอง!” นางเปิดฝาขวดออก เฟิ่งเฉี่ยนเงยหน้าขึ้นดื่ม และคว่ำขวดเปล่าให้ดู “หม่อมฉันดื่มยาหมดแล้ว ตอนนี้ท่านก็น่าจะเชื่อข้าแล้วใช่ไหม?”
เมื่อดื่มน้ำร้อยหญ้า นางรู้สึกได้ถึงพลังอันสดชื่นและหวานหอมที่แพร่กระจายไปทั่วร่าง ราวกับว่าอวัยวะภายในได้รับอากาศสดใหม่เข้ามา มันสดชื่นอย่างมาก! เมื่อได้รับความรู้สึกแบบนี้นางก็ยิ่งมั่นใจ ว่าน้ำร้อยหญ้านี้จะสามารถรักษาไท่จื่อน้อยให้หายได้!
นัยย์ตาเย็นชาลึกล้ำขึ้น ซวนหยวนเช่อจ้องมองใบหน้าดำๆของนาง คล้ายกับต้องการจะมองทะลุนาง
ในตอนนี้เอง ที่หมอหลวงรีบร้อนวิ่งออกมาจากจากห้องบรรทมเพื่อรายงายว่า “ฝ่าบาท องค์ชายน้อยสถานการณ์ค่อนข้างน่าเป็นห่วง แต่ว่า......”
ซวนหยวนเช่อมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป เขาไม่กล่าวอะไรอีก แต่รีบพุ่งตัวเข้าไปในห้องบรรทม
เฟิ่งเฉี่ยนหายใจเข้าลึกๆ และก็พุ่งตามเข้าไปเช่นเดียวกัน
บนเตียงนอน ไท่จื่อน้อยหายใจรัวริน ลมหายใจของเขาอ่อนแรงมาก
“เย่เอ๋อร์!”กรอบตาของเฟิ่งเฉี่ยนร้อนผ่าว นางชนซวนหยวนเช่อเข้าไปอย่างรุนแรง โดยที่ก็ไม่รู้ว่าเอาแรงมาจากไหน จากนั้นนางก็ชนหมอหลวงไปอีกคนและตรงไปข้างเตียง นางใช่มือหนึ่งประคองไท่จื่อน้อย ส่วนอีกมือก็ถือขวดกระเบื้องไว้ แล้วนางก็ป้อนน้ำร้อยหญ้าเข้าไปในปากของรัไท่จื่อน้อย
“องค์ชายน้อย......”ท่านหมอหลวงเดินมาหมายจะขวาง แต่กลับถูกซวนหยวนเช่อรั้งไว้
“ในเมื่อพวกเจ้าต่างก็ไร้หนทางรักษาแล้ว ไม่ลองให้นางลองหน่อยล่ะ!” น้ำเสียงต่ำๆออกมาจากปากของซวนหยวนเช่อ ซึ่งทำให้เฟิ่งเฉี่ยนประหลาดใจยิ่งนัก
ผู้คนล้อมรอบอยู่ตรงข้างๆเตียง และพากันมองดูอย่างเงียบเชียบ จู่ๆไท่จื่อน้อยก็ขมวดคิ้วแน่น เขาร้องโอดครวญขึ้นมาอย่างเจ็บปวดว่า “ทรมาน ทรมานจัง......”
เฟิ่งเฉี่ยนรู้สึกหนาวสั่นอยู่ภายในใจ หรือว่าน้ำร้อยหญ้าจะใช้ไม่ได้?
ทันใดนั้นคอเสื้อของนางก็ถูกดึงขึ้นมาอย่างรุนแรง เฟิ่งเฉี่ยนหันกลับไป แล้วสบตากับสายตาอันดุดันราวลมฝนที่พัดผ่านอย่างบ้าคลั่งของซวนหยวนเช่อ คล้ายว่าเขาต้องการจะกลืนกินนางไปทั้งตัว
“ตายซะ! ข้าเชื่อเจ้าได้อย่างไร ทำไมข้าต้องเชื่อเจ้า?”
เขาคำราม และใช้แรงผลัก จนเฟิ่งเฉี่ยนกระเด็นไปราวกับว่าวที่เชือกขาดไปแล้ว นางกระทบกับเสาเตียง และก็รู้สึกได้ถึงความร้อนในลำคอ จากนั้นนางก็กระอักเลือดออกมา!
เมื่อกำลังเผชิญกับความแข็งแกร่งตรงหน้า ต่อให้นางจะมีอดีตอันรุ่งโรจน์แค่ไหน แต่ตอนนี้นางกลับเปราะบางเป็นอย่างมาก
แต่เฟิ่งเฉี่ยนไม่มีเวลาคิดสิ่งอื่น ตอนนี้ในหัวนางเต็มไปด้วยใบหน้าที่บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดของไท่จื่อน้อย....
เป็นความผิดนางทั้งหมด เป็นนางที่ทำร้ายไท่จื่อ!
“เย่เอ๋อร์......”
