บท
ตั้งค่า

บทที่ 7

ฉวนกงกงกวาดตามองขุนนางทั้งท้องพระโรงทีหนึ่ง จากนั้นอ่านด้วยเสียงแหลม

“ยามเมามายมองกระบี่ใต้แสงเทียน พลันหวนคำนึงถึงเสียงเป่าแตรในค่ายทหาร

แบ่งสุราให้ผู้ใต้บังคับบัญชาดื่มด่ำ ให้เครื่องดนตรีบรรเลงขึ้นปลุกขวัญกำลังใจเหล่าทหาร เป็นการตรวจพลในสมรภูมิยามสารทฤดู

อาชาศึกวิ่งเร็วดุจยอดอาชา ยิงลูกศรประหนึ่งฟ้าคำราม

ข้าปรารถนายึดคืนดินแดนที่เสียไปกลับมาแทนองค์ราชา สร้างชื่อเสียงซึ่งตกทอดหลายชั่วคน น่าเสียดายกลับย่างสู่วัยชราแล้ว!”

ตอนที่ฉวนกงกงอ่านจบ ท้องพระโรงซึ่งเดิมทีเงียบสงบ ก็เหมือนโยนระเบิดลูกหนึ่งลงบนผิวน้ำอันนิ่งสงบ

ขุนนางมากมายล้วนตกใจกันแล้ว

โดยเฉพาะขุนนางฝ่ายปกครอง แต่ละคนฮึกเหิมจนสีหน้าแดง

ในฐานะปัญญาชน ผู้ใดไม่อยากมีบทกวีชั้นยอด แพร่ไปชั่วลูกชั่วหลานสักบทหนึ่งกันเล่า?

ถึงแม้ขุนพลไม่มีความรู้อย่างขุนนางฝ่ายปกครอง แต่ก็สามารถฟังวรรณศิลป์ในกลอนบทนี้ออกมาได้

ตรงหน้าพวกเขาประหนึ่งปรากฏภาพวาดภาพหนึ่งขึ้นมา แม่ทัพเฒ่าที่ผมหงอกขาวผู้หนึ่ง ถอนหายใจอย่างหดหู่ต่อกระบี่ที่เก็บรักษาไว้นานของตนเอง

แม่ทัพแก่ชรา หญิงงามผมขาว ล้วนเป็นเรื่องเศร้าใจของชีวิต

“ฝ่าบาท มิทราบว่ากลอนบทนี้เป็นผู้ใดแต่งขึ้นหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

เจ้าสำนักราชบัณฑิต หลี่ฮั่นหรู ฮึกเหิมจนสั่นเทา

เขาต้องรู้ให้ได้ว่าคนผู้นี้คือผู้ใด?

บทกวีที่เขาแต่งมาทั้งชีวิต เมื่อเทียบกับกลอนบทนี้ขึ้นมา เขาไม่คู่ควรจะเปรียบเทียบ

เหล่าขุนนางมากมาย ล้วนมองจักรพรรดิเสวียนอย่างคาดหวัง

จักรพรรดิเสวียนขมวดคิ้วขึ้น “ทำไม? กลอนบทนี้จะเป็นข้าแต่งเองไม่ได้หรือ?”

ทุกคนไม่เชื่อ

จักรพรรดิเสวียนมีความรู้ทางอักษรศาสตร์สูงมาก แต่เนื้อหาของกลอนบทนี้คือความรู้สึกหมดหนทางของแม่ทัพแก่ชราอย่างนั้น ต้องไม่ใช่จักรพรรดิเสวียนแต่งขึ้นแน่

“ฝ่าบาทประทับอยู่แต่ในวังหลวง แต่งกลอนที่มีวรรณศิลป์เช่นนี้ไม่ได้หรอกพ่ะย่ะค่ะ”

ขุนนางจับผิดที่ตรงไปตรงมาคนหนึ่งพูดออกมาโดยตรง

พูดอย่างนี้ทำเอาจักรพรรดิเสวียนกริ้วไม่เบา เกือบทนไม่ไหวใช้กระถางธูปบนโต๊ะยาวทุบเขาจนตาย

ขุนนางจับผิดพวกนี้น่ารำคาญเสียจริง

ท่านแม่ทัพเฉินทำหน้าฮึกเหิม กลอนบทนี้พรรณนาอารมณ์ตอนนี้ของเขาได้อย่างสมบูรณ์แบบ น่าเสียดายที่เขาพูดไม่เก่ง และไม่มีอารยธรรม......คนที่แต่งกลอนบทนี้ ก็คือสหายที่ดีของเขาโดยแท้

“ฝ่าบาท กระหม่อมก็อยากรู้พ่ะย่ะค่ะ กลอนบทนี้เป็นผู้ใดแต่งกัน?”

จักรพรรดิเสวียนกล่าวขึ้นนิ่งๆ “กลอนบทนี้เป็นข้าได้มาโดยบังเอิญ ผู้แต่งเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบกว่าปีคนหนึ่ง ชื่อว่าหลันซิง”

ขุนนางเต็มท้องพระโรง ตกใจกันอีกคราแล้ว

ผู้แต่งเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบกว่าปีคนหนึ่ง?

เรื่องนี้เป็นไปได้อย่างไร?

เด็กหนุ่มคนหนึ่ง แต่งกลอนที่มีวรรณศิลป์เช่นนี้ออกมาได้อย่างไร?

แต่จักรพรรดิเสวียนไม่มีความจำเป็นต้องหลอกพวกเขา

หลันซิง

ทุกคนล้วนจำชื่อนี้เอาไว้ในใจอย่างเงียบๆ

รอเลิกประชุมแล้ว จะต้องพาคนไปตามหาหลันซิงผู้นี้ให้เจอ แม้ว่าจ่ายเงินทองมากมาย ก็ต้องขอร้องเขาให้แต่งบทกวีบทหนึ่งให้ตนเอง

ปัจจุบันนี้พอบทกวีนี้แพร่ออกไป ในอนาคตอีกไม่ไกล ท่านแม่ทัพเฉินคงต้องชื่อเสียงโด่งดัง

ถ้าตนเองสามารถได้รับบทกวีที่สรรเสริญตนเองเยี่ยงนี้สักบทหนึ่ง เช่นนั้นคงต้องมีชื่อเสียงเลื่องลือไปตลอดกาล

จักรพรรดิเสวียนค่อยๆ เอ่ยปาก “ตอนที่ข้าได้รับกลอนบทนี้มา กลอนบทนี้ไม่มีชื่อ......ส่วนชื่อของกลอนบทนี้ข้าคิดเอาไว้แล้ว ชื่อว่า‘มอบแด่ท่านแม่ทัพเฉิน’”

“ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ!”

ท่านแม่ทัพเฉินไม่มีทางคุกเข่าลงได้ จึงได้เพียงก้มตัวกล่าวขอบคุณ

จักรพรรดิเสวียนมองฉวนกงกงทีหนึ่งแล้ว

“เลิกประชุม!”

เสียงแหลมของฉวนกงกงดังขึ้นในท้องพระโรง

หลังจากเลิกประชุม เหล่าขุนนางมากมายเดินไปข้างนอกเป็นกลุ่มๆ ฝีเท้าเร่งรีบ

พูดคุยแลกเปลี่ยนว่าหลันซิงคนนี้เป็นคนแบบใดกัน

พลางคิดว่าหากกลับไปจะส่งคนตามหาหลันซิงคนนี้ ขอให้แต่งบทกวีสักบท

หนิงจื้อหมิงก็เป็นปัญญาชนที่มีพรสวรรค์ด้านการประพันธ์ซึ่งมีชื่อเสียงของแคว้นต้าเสวียน ชื่นชอบบทกวีที่สุด เขาย่อมมีความคิดอย่างเดียวกัน ดังนั้นจึงเดินเร็วมาก

“ใต้เท้าหนิง หยุดก่อน!”

หนิงจื้อหมิงได้ยินแล้วจึงหยุดเดิน หันหน้าไปมอง เห็นเพียงฉวนกงกงก้าวเท้าสั้นและเร็วไล่ตามเขามา

“ฉวนกงกง!”

หนิงจื้อหมิงประสานมือโค้งคำนับ ฉวนกงกงเป็นถึงคนโปรดข้างกายจักรพรรดิเสวียน ขุนนางทั้งราชสำนัก ต่อให้เป็นอัครมหาเสนาบดีซ้าย ก็ไม่กล้าชักช้า

“ใต้เท้าหนิงเดินเร็วนักเชียว......ฝ่าบาททรงเรียกเข้าเฝ้า ตามข้ามาเถิด!”

หนิงจื้อหมิงตะลึง เริ่มทบทวนดู ช่วงนี้ตนเองทำเรื่องอะไรผิดไปหรือไม่? หรือว่ามีจุดอ่อนอะไรตกอยู่ในมือศัตรูทางการเมืองแล้ว จนโดนร้องเรียน?

คิดไปคิดมา ช่วงนี้ตนเองไม่ได้ทำผิดอะไร

แต่เขายังหวาดผวาอยู่บ้าง แอบล้วงเงินหนึ่งก้อนออกมายื่นเข้าไป “ฉวนกงกง ไม่ทราบว่าฝ่าบาททรงเรียกข้าไปเพราะเรื่องอันใด?”

ฉวนกงกงเก็บเงินเข้าไปในแขนเสื้ออย่างเงียบๆ หัวเราะแล้วบอกว่า “ใต้เท้าหนิงอย่าทำข้าลำบากใจเลย ข้ากล้าคาดเดาความคิดของฝ่าบาทที่ใดกัน? ท่านไปแล้วก็รู้เองไม่ใช่หรือ?”

มุมปากหนิงจื้อหมิงกระตุกเล็กน้อย พูดในใจเจ้าคนเจ้าเล่ห์นี่ รับเงินแล้วไม่ยอมบอก

ทั้งสองคนมาถึงห้องทรงพระอักษร

“ถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงพระเจริญ”

หนิงจื้อหมิงคุกเข่าทำความเคารพ

จักรพรรดิเสวียนอ่านตำราอย่างไม่สนใจ เหมือนไม่ได้ยิน

หนิงจื้อหมิงไม่กล้าลุกขึ้นเช่นกัน ไม่กล้าเงยหน้า หัวใจเต้นแรง วิตกกังวล

ผ่านไปสักพักหนึ่ง จักรพรรดิเสวียนถึงเอ่ยปาก “อ้ายชิงหนิง ลุกขึ้นเถิด!”

“ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ!”

หนิงจื้อหมิงลุกขึ้นยืนอย่างสั่นเทา โค้งตัวเอาไว้

“อ้ายชิงหนิงมีลูกชายกี่คนกันเล่า?”

หนิงจื้อหมิงทำหน้ามึนงง เหตุใดจักรพรรดิเสวียนถามเรื่องนี้ขึ้นมากะทันหัน?

เขารีบประสานมือโค้งคำนับ “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมมีลูกชายสาม......สี่คนพ่ะย่ะค่ะ”

เขาอยากตอบว่าสามคนโดยจิตใต้สำนึก ภายในจิตใต้สำนึกไม่ได้เห็นหนิงเฉินเป็นลูกชายของตนเอง

จักรพรรดิเสวียนวางตำราลง ถามอย่างนิ่งๆ “มีสามคนหรือสี่คนกันแน่?”

หนิงจื้อหมิงรีบตอบทันที “กระหม่อมมีลูกชายสี่คนพ่ะย่ะค่ะ!”

“อ้ายชิงหนิง ราชสำนักนี้ใช้หลักคุณธรรมทั้งห้า(ความเมตตา ความเที่ยงธรรม พิธีการและความเคารพ สติปัญญาและความเชื่อใจ)ปกครองแว่นแคว้น......ข้าจะไม่ไปวิจารณ์ศีลธรรมส่วนตัวของเจ้า แต่อย่างไรเสียเป็นเลือดเนื้อเชื้อไข ข้าไม่ชอบคนที่ไร้มโนธรรม”

ในหัวของหนิงจื้อหมิงมีแต่เครื่องหมายคำถาม

“หนิงเฉินเด็กคนนั้นดียิ่งนัก ปฏิบัติกับเขาให้ดีหน่อย”

หนิงจื้อหมิงร่างกายสั่นเทาเล็กน้อย สีหน้าซีดเซียว......หรือว่ามีคนมาฟ้อง จักรพรรดิเสวียนรู้เรื่องที่เขาทอดทิ้งภรรยากับลูกแล้ว?

จักรพรรดิเพิ่งบอกว่าเขาไม่ชอบคนที่ไร้มโนธรรม......จบเห่แล้ว จบเห่กันหมดแล้ว

ในหัวสมองหนิงจื้อหมิงดังวึ่งๆ หน้ามืดตาลาย

เขาคุกเข่าเสียงดังตึก โขกศีรษะไปพลาง อ้อนวอนไปพลาง “กระหม่อมผิดไปแล้ว ฝ่าบาททรงเมตตาด้วยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงเมตตา......”

หนิงจื้อหมิงตกใจแย่แล้ว เขาประหนึ่งมองเห็นภาพเหตุการณ์ที่ทุกคนตระกูลหนิงคุกเข่าอยู่บนสนามมังกร

สนามมังกร เป็นสถานที่ประหารคนชนชั้นสูงโดยเฉพาะ

จักรพรรดิเสวียนมองเขาอย่างเย็นชา หนิงจื้อหมิงถือว่าเป็นขุนนางมีความสามารถ เขาไม่แตะต้องหนิงจื้อหมิง ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เตือนสติเขา

“อ้ายชิงหนิง ที่ข้าเรียกเจ้ามาตามลำพัง ไม่ได้คิดจะลงโทษเจ้า”

หนิงจื้อหมิงตะลึงค้างแล้ว คิดว่าตนเองฟังผิดไป

จักรพรรดิเสวียนพูดอย่างนิ่งๆ “หนิงเฉินเด็กคนนี้ ข้าเคยเจอ ยอดเยี่ยมมาก”

“อ้ายชิงหนิง ข้าให้โอกาสเจ้าอีกสักหนหนึ่ง อย่าทำให้ข้าผิดหวัง......ผลลัพธ์ที่ทำให้ข้าผิดหวัง เจ้าคงรู้ดี”

“ยังมีอีกเรื่อง หนิงเฉินไม่รู้สถานะของข้า ดังนั้นเจ้าจำเอาไว้ บทสนทนาระหว่างข้ากับเจ้าในวันนี้ ข้าไม่อยากให้คนที่สี่รู้”

“พอแล้ว เจ้าออกไปเถิด!”

หนิงจื้อหมิงงุนงงไปหมดแล้ว

ฝ่าบาทเคยเจอหนิงเฉิน? เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ ตั้งแต่หนิงเฉินมาอยู่ตระกูลหนิง แทบจะไม่เคยออกจากจวน จะเจอกับฝ่าบาทได้อย่างไรเล่า?

ฉวนกงกงเห็นหนิงจื้อหมิงยังตกตะลึงอยู่ เดินเข้ามา บอกว่า “ใต้เท้าหนิง เชิญขอรับ!”

หนิงจื้อหมิงสะดุ้งตกใจทันใด รีบทำความเคารพ “กระหม่อมขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเมตตา กระหม่อมทูลลาพ่ะย่ะค่ะ!”

ออกมาจากห้องทรงพระอักษร หนิงจื้อหมิงถึงกล้าเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก ด้านหลังเย็นเยือก เสื้อผ้าของเขาเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ

เขามองทางห้องทรงพระอักษรอย่างหวาดกลัวทีหนึ่ง สีหน้าซีดเซียว จากนั้นก้มหน้ารีบเดินออกนอกวังไป

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel