ข้าคือฮองเฮาที่ฮ่องเต้ไม่รัก

136.0K · จบแล้ว
เด็กน้อยคว้าฝัน
67
บท
54.0K
ยอดวิว
8.0
การให้คะแนน

บทย่อ

“เจ้ามีอันใดจะกล่าวหรือไม่... สนมหลี่กุ้ยเฟย” น้ำเสียงราบเรียบก่อนจะเน้นที่ละคำในประโยคท้ายอย่างหนักแน่น “ฮองเฮาแน่ใจแล้วหรือเพคะ ว่าจะให้หม่อมฉันทูลทุกอย่างต่อหน้าข้าราชบริพารเหล่านี้ หากมีข่าวแพร่ออกไปอีก ฮองเฮาทรงทนฟังคำนินทาเหล่านั้นได้หรือไม่” หลี่ฟางซินกล่าวพร้อมยิ้มอ่อนๆ หลี่ฟางซินย่อมรู้ดีว่าเย่วลี่อิงคงได้ยินคำนินทาเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนแล้วจึงได้พูดเน้นย้ำ หวังจะกระตุ้นให้นางลงมือทำร้ายตน “คำนินทาเรื่องใดกัน เรื่องที่เจ้าเป็นนางอสรพิษนะหรือ เหตุใดเราจะทนฟังไม่ได้เล่า” เย่วลี่อิงตรัสพร้อมยักไหล่อย่าไม่แยแส มีหรือเย่วลี่อิงจะดูไม่ออกว่า ข่าวลือที่แพร่ออกไปนั้นมาจากผู้ใด หากเป็นแต่ก่อนนางย่อมไม่คิดว่าเป็นสหายคนสนิทของนางเป็นแน่ แต่บัดนี้นางรู้แล้วว่าหญิงที่ยืนตรงหน้านางหาใช่สตรีอ่อนหวานแสนดีอย่างที่นางรู้จักไม่ “หม่อมฉันเป็นนางอสรพิษตั้งแต่เมื่อใดกันเพคะ หม่อมฉันและฝ่าบาทมีใจรักใคร่กันมาเนิ่นนาน หากไม่ใช่เพราะฮองเฮาใช้ความดีของท่านแม่ทัพทูลขอให้ฮ่องเต้องค์ก่อนพระราชทานงานแต่ง วันนี้ตำแหน่งฮองเฮาก็ไม่แน่ว่าจะเป็นของใคร” “เจ้านางแพศยา หากเจ้ามีใจให้ฝ่าบาท แล้วทำไมไม่บอกข้า ยังแสดงแกล้งเป็นแม่สื่อนำของที่ข้ามอบให้ฝ่าบาท ฝากผ่านพี่ชายเจ้าช่วยมอบของให้ฝ่าบาทแทนข้า” เย่วลี่อิงเริ่มพูดด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง “ของอันใดกันเพคะ หม่อมฉันไม่เคยนำของ ของพระองค์มอบให้ฝ่าบาทเลยนะเพคะ ยิ่งให้พี่ชายช่วยส่งแทนให้ยิ่งมิเคย” น้ำเสียงเยาะเย้ยบวกกับรอยยิ้มยียวนของหลี่ฟางซินทำให้เย่วลี่อิงหัวเสียมากขึ้น “นี้เจ้าเอาของของ เราไปทิ้งอย่างนั้นหรือ” “ฮองเฮาพูดถึงเรื่องอะไรเพคะ หม่อมฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลย พระองค์อย่าได้ใส่ความหม่อมฉันสิเพคะ” “นี้เจ้า”

นิยายจีนโบราณฮ่องเต้พลิกชีวิตฮองเฮาดราม่าจีนโบราณโรแมนติกกลอุบายในวังวังหลังฟินๆ

ตอนที่1 ความจริงที่พึ่งรู้

ตำหนักคุนหนิง

“ฮองเฮาเพคะอย่าไปเลยนะเพคะ”อี้หงนางกำนัลเอ่ยขึ้น

เย่วลี่อิงหรือเย่วฮองเฮาหันมามองด้วยสายตาที่ไม่พึงพอใจ ทำเอาเหล่าขันทีและนางกำนัลคนอื่นๆขนหลังลุกชัน ต่างก้มหน้าก้มตาตัวสั่นเทาด้วยความกลัว

“เจ้าอย่าคิดว่าเจ้าคือคนที่สนิทกับข้าแล้วจะปากมากได้ ข้าจะไปใครกล้าห้าม ถ้ามันผู้ใดกล้าห้ามข้าอีก ข้าจะสั่งโบยมันผู้นั้นให้ตาย”

สิ้นคำพูดของเย่วลี่อิงทุกคนต่างนิ่งเงียบ นางสะบัดหน้าเดินออกจากตำหนัก เดินทางไปตำหนักกุ้ยเฟยเพื่อมอบของขวัญให้เนื่องจากวันนี้เป็นวันเกิดของหลี่ฟางซินหรือสนมหลี่กุ้ยเฟย

คงมีแต่สนมหลี่กุ้ยเฟยเท่านั้นที่ได้รับความเมตตาจากเย่วฮองเฮา เพราะทั้งสองเป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่วัยเยาว์ นอกนั้นไม่มีสนมคนใดที่ได้รับความเมตตาจากเฟยห้าวเทียนหรือห้าวเทียนฮ่องเต้แล้วจะอยู่ได้อย่างเป็นสุข

ตำหนักกุ้ยเฟย

เมื่อมาถึงตำหนักกุ้ยเฟย นางกำนัลประจำตำหนักรีบเข้ามาทำความเคารพเย่วลี่อิงทันที

“ถวายพระพรฮองเฮา”

หญิงสูงศักดิ์ยกมือขึ้นใช้นิ้วชี้แตะที่ริมฝีปากเบาๆเพื่อไม่ให้นางกำนัลและขันทีส่งเสียงดัง ก่อนเดินเข้าไปในตำหนักหวังจะทำให้หลี่ฟางซินแปลกใจที่ตนมาโดยไม่ได้แจ้ง ตอนแรกนางคิดจะจัดงานวันเกิดให้แต่หลี่ฟางซินกลับปฏิเสธ เพราะไม่อยากจะโดดเด่นจนสนมคนอื่นอิจฉาที่ได้รับความเมตตาจากเย่วฮองเฮา เย่วลี่อิงรู้ดีว่านางไม่สามารถปกป้องเพื่อนรักจากเลห์เหลี่ยมกลอุบายของสนมในวังได้ตลอดเวลา จึงยอมทำตามใจหลี่ฟางซินไม่จัดงานวันเกิดให้แก่นาง

เมื่อเดินเข้ามาด้านในตำหนัก เย่วลี่อิงก็ยกมือให้ทุกคนหยุดเดินตามก่อนจะเดินเข้าไป แต่ยังไม่ทันจะเดินเข้าไปก็พบกับนางกำนัลและขันทีประจำตัวเฟยห้าวเทียนยืนอยู่นางจึงบอกให้ทุกคนถอยออกไป นางกำนัลและขันทีประจำตัวเฟยห้าวเทียนมองกันไปมาไม่กล้าออกไปตามคำสั่ง

“พวกเจ้าจะออกไปดีๆหรือไม่”เย่วลี่อิงกล่าวเสียงเบาแต่เต็มไปด้วยความดุดัน

ถึงคนเหล่านั้นจะเป็นคนรับใช้ของเฟยห้าวเทียนแต่ก็ต้องเกรงกลัวนางอยู่มากเพราะนางคือคนที่ไทเฮาทรงโปรดปรานและหนุนหลังในทุกเรื่องที่นางต้องการ นอกจากนั้นฮ่องเต้องค์ก่อนยังมีราชโองการห้ามปลดเย่วฮองเฮา ไม่ว่าจะทำผิดเรื่องอันใดก็ตาม เหล่าขันทีและนางกำนัลจึงต้องยอมถอยออกไปตามคำสั่ง

เมื่อทุกคนถอยออกไปนางก็เดินเข้าไปด้านใน แต่เพียงไม่กี่ก้าวนางก็ได้ยินเสียงหญิงชายคุยหยอกล้อกันอย่างรักใคร่ ถึงจะเป็นสหายคนสนิทแต่เมื่อได้ยินเสียงเย้าหยอกกับสามีของตนแบบนี้ก็อดรู้สึกเดือดดาลไม่ได้ หากเป็นสตรีนางอื่นนางคงเข้าไปกระชากผมจนหนังหัวแทบหลุดไปแล้ว

เมื่อเย่วลี่อิงรู้ตัวว่าตนอารมณ์ไม่ดีนักจึงยืนอยู่ด้านนอกเพื่อปรับอารมณ์ของตนให้เย็นลงก่อน แต่เนื้อความที่ชายหญิงสนทนากันยิ่งทำให้นางรู้สึกเกรี้ยวกราดมากขึ้น

“กุ้ยเฟย ข้าขอโทษที่ไม่ได้จัดงานวันเกิดให้เจ้า เพราะช่วงนี้เกิดภัยแล้งราษฎรกำลังลำบากข้าจึงสั่งห้ามไม่ให้เหล่าขุนนางจัดงานสังสรรค์หรืองานเลี้ยงใหญ่โต ข้าจึงต้องเป็นตัวอย่างให้เหล่าขุนนาง แต่ถึงอย่างไรความรักที่ข้ามีให้เจ้าก็ไม่ได้น้อยลง”

“ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันอยากรู้ว่าฝ่าบาททรงมีใจให้หม่อมฉันตั้งแต่เมื่อไรหรือเพคะ”น้ำเสียงออดอ้อน

เฟยห้าวเทียนฮ่องเต้ อดเอ็นดูในสีหน้าและน้ำเสียงของสนมอันเป็นที่รักของเขาไม่ได้ เขาใช้นิ้วปัดจมูกน้อยๆของนางอย่างแผ่วเบา

“เมื่อ3ปีที่ก่อนตอนที่เจ้าฝากถุงหอมมาให้ข้า จดหมายที่เจ้าฝากมาในครั้งนั้นทำให้ข้ารู้สึกว่าเจ้าเป็นห่วงเป็นใยข้ายิ่งนัก เจ้าไม่เหมือนหญิงสาวทั่วไปที่อยากเข้าหาข้าเพื่ออำนาจ”

เย่วลี่อิงเมื่อได้ยินว่าเพื่อนรักที่ตนไว้ใจและยอมใจกว้างให้มาเป็นสนมใช้สามีคนเดียวกันกับตน คืออสรพิษร้ายที่แทงข้างหลังตนมาอย่างยาวนานก็ทำให้สติของนางขาดสะบั้นทันที เพราะตลอดเวลาที่ผ่านนางก็เล่าเรื่องที่แอบชอบบุรุษผู้นี้ให้หลี่ฟางซินฟัง และยังฝากของที่นางทำเองกับมือให้หลี่ฟางซินฝากพี่ชายมาให้เฟยห้าวเทียน แต่ตอนนั้นหลี่ฟางซินไม่เคยเอ่ยกับนางเลยว่าชอบบุรุษผู้นี้เช่นกัน นางเดินเข้าไปหาหลี่ฟางซินที่นั่งอยู่บนตักของเฟยห้าวเทียนทันที

“ฟางซิน นางแพศยาน่ารังเกียจ เจ้ากล้าดีเช่นไรถึงกล้าอ่อยคนของข้าลับหลังข้า 3ปี 3ปีอย่างนั้นหรือ”

เย่วลี่อิงไม่เพียงแต่ด่าทอหลี่ฟางซินเท่านั้น ยังใช้มือขย้ำมวยผมและกระชากจนตัวปลิวลงไปกองกับพื้น ก่อนจะง้างมือตบใบหน้าหลี่ฟางซินอย่างเต็มแรงจนหน้าหัน เสียงตบนั่นทำให้เฟยห้าวเทียนที่มึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้สติ ลุกขึ้นจับข้อมือของเย่วลี่อิงที่กำลังจะทุบตีสนมรักของตน

“เย่วฮองเฮาเจ้าบ้าไปแล้วหรือ”

เย่วลี่อิงเงยหน้ามองสามีที่จับมือตนด้วยสายตาโกรธเคืองดวงตาแดงก่ำแต่กลับมีน้ำใสๆคลออยู่บ่งบอกถึงความโกรธเกลียดปนความเสียใจจนยากจะบรรยาย

“ใช่เพคะ หม่อมฉันบ้าไปแล้วที่คบฟางซินนางอสรพิษเป็นเพื่อน”

เมื่อพูดจบเย่วลี่อิงสะบัดมือของสามีอันเป็นที่รักออกหมายจะเข้าไปตบตีหลี่ฟางซิน เฟยห้าวเทียนพยายามจับตัวนางไว้ไม่ให้เข้าไปทำร้ายสนมที่ตนรักได้อีก แต่ด้วยแรงแห่งความโกรธของเย่วลี่อิงมือไม้ที่ปัดแกว่งไปทั่ว จนเฟยห้าวเทียนหมดความอดทนจึงผลักนางล้มก้นกระแทกกับพื้นแล้วหยิบจอกสุราขึ้นมาเทลงบนศีรษะของนาง

“ข้าว่าสุรานี้คงทำให้ฮองเฮาได้สติขึ้นบ้าง”

เย่วลี่อิงอ้าปากจะกรีดร้องโวยวายออกมาแต่กลับชะงักเมื่อนางนึกถึงบ้างสิ่งบางอย่างขึ้นมาได้

‘เหตุการณ์นี้เหมือนกับที่ข้าฝันเมื่อคืนนี้เลย ตอนตื่นมาข้าก็คิดว่าเป็นเพียงฝันจึงไม่ใส่ใจ แต่ตอนนี้เหตุการณ์มันเกิดขึ้นแล้วหรือเป็นแค่ความบังเอิญเท่านั้น’

เย่วลี่อิงเงยหน้ามองบุรุษที่ตนรัก แต่แววตาของเฟยห้าวเทียนนั้นกลับมองมาด้วยความเกลียดชัง นางจึงลุกขึ้นยืนมองหน้าสามีอันเป็นที่รัก

“ใครกันแน่ที่เป็นนางอสรพิษ” เย่วลี่อิงและเฟยห้าวเทียนเอ่ยพร้อมกัน

“นี้เจ้า” เฟยห้าวเทียนอุทานออกมาอย่างตกใจเมื่อได้ยินคำพูดของนางที่พูดเหมือนเขาทุกคำไม่มีตกหล่นราวกับรู้ล่วงหน้าว่าเขาจะพูดอะไรออกมา

ส่วนทางเย่วลี่อิงก็ตกตะลึงอย่างมากเช่นกัน แต่นางไม่ได้พูดออกมาเพียงแค่คิดอยู่ในใจ ‘เหมือนกับในฝันไม่มีผิด หรือนั้นคือนิมิตบอกเหตุ หากเป็นเช่นนั้นจริงข้าก็ไม่ควรจะอาละวาดต่อ ควรหยุดไว้เท่านี้ไม่เช่นนั้นสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้อาจส่งผลให้ครอบครัวของข้าต้องเดือดร้อนและอับอาย’

เฟยห้าวเทียนยืนพินิจมองสตรีที่ตนรังเกียจแต่ต้องทนอยู่ด้วยมานานถึงสองปีอย่างสงสัย ‘ตั้งแต่เมื่อไรกันที่นางคิดอ่านความคิดของข้าได้ถึงเพียงนี้แม้แต่คำพูดของข้านางยังคาดเดาออก’

แต่ไม่ทันที่เฟยห้าวเทียนจะเอ่ยกล่าวสิ่งใดต่อ เย่วลี่อิงก็คอบกายคารวะเขาแล้วหมุนตัวกลับไปในทันที ปล่อยให้เขายืนสงสัยในการกระทำของนางเพราะปกติแล้วนางจะต้องไม่หยุดอยู่เพียงเท่านี้เป็นแน่

ส่วนหลี่ฟางซินที่นั่งอยู่กับพื้นกลับกำหมัดตนแน่นเพราะไม่เป็นไปอย่างใจตนคิด ตอนแรกที่โดนตบก็คิดว่าดีเช่นกันจะได้เปิดเผยความจริงระหว่างนางกับเย่วลี่อิงเสียที นางก็เบื่อที่ต้องตีหน้าแสดงเป็นเพื่อนที่รักใคร่กันเต็มทนแล้ว และด้วยนิสัยเย่วลี่อิงในตอนนี้ ย่อมอาละวาดจนกลายเป็นเรื่องใหญ่โตแน่นอน ที่แล้วมาเย่วลี่อิงจัดการเหล่าสนมลับหลังเฟยห้าวเทียน เขาก็ทำเป็นไม่เห็นปล่อยผ่านไปได้ แต่ครั้งนี้เย่วลี่อิงทำร้ายสนมที่มีใจปฏิพัทธ์ต่อกันต่อหน้าต่อตา จึงทำให้นางมั่นใจว่าการเจ็บตัวของนางครั้งนี้ไม่สูญเปล่าเป็นแน่

นางไม่ได้คาดหวังว่าเย่วลี่อิงจะโดนลงโทษร้ายแรงเพราะรู้ว่าอย่างไรไทเฮาจะต้องช่วยนางเป็นแน่ แต่หวังเพียงขอให้เย่วลี่อิงโดนเฟยห้าวเทียนลงโทษเพียงเล็กไม่ว่าจะกักบริเวณหรือคัดอักษรก็ดี เพราะการลงโทษเช่นนี้ไทเฮาย่อมไม่เข้ามายุ่งเกี่ยว และยังเป็นการประกาศความโปรดปรานที่เฟยห้าวเทียนมีต่อนางให้คนในวังหลังได้รู้อีกด้วย เพราะที่ผ่านมาเย่วลี่อิงไม่เคยโดนลงโทษเลยสักครั้งไม่ว่าจะทำร้ายสนมมากน้อยเพียงใด

แต่บัดนี้สิ่งที่นางหวังกลับไม่เป็นอย่างที่คิดแถมนางยังเจ็บตัวอีก ความคับข้องใจครั้งนี้นางจึงทำได้แค่อดกลั้นไว้เท่านั้น