บท
ตั้งค่า

บทที่ 9 : เช่าเรือนท่านยายหมี่

ไม่ช้านางหูก็กลับมาพร้อมข่าวดี ท่านยายหมี่ยินดีให้เช่าเรือนส่วนหนึ่ง เรื่องค่าเช่าแล้วแต่ผู้ใหญ่บ้านจะกำหนดให้ นางไม่เรื่องมาก ขอแค่มีรายได้เข้ามาบ้างก็เป็นพอ คืนนี้สามารถเข้าไปอาศัยอยู่ที่เรือนของนางได้เลย

“ท่านยายจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าให้ข้าตั้งหนึ่งเดือน ข้าไม่รู้จะตอบแทนท่านยายอย่างไรดี ขอบคุณท่านยายมากขอรับ” หวงชางคุกเข่าลง โขกศีรษะคำนับให้ท่านยายเจียง

“เหลวไหลอันใด รีบลุกขึ้นได้แล้ว เจ้าเป็นหลานชายข้า เงินแค่ไม่กี่สิบอีแปะข้าจะออกให้ไม่ได้รึ”

ท่านยายเจียงโบกมือใส่เขาคล้ายโมโห นางไม่ได้บอกคนตระกูลหวง ว่าตัวเองมีรายได้จากช่องทางไหน แต่แอบกำชับผู้ใหญ่บ้านก่อนออกมา ไม่ให้บอกเรื่องให้เช่าที่นาเกือบร้อยหมู่กับญาติของนาง

ผู้ใหญ่บ้านแม้อายุไม่มากนัก แต่เขาผ่านประสบการณ์ชีวิตมาอย่างโชกโชน ในการเป็นผู้ใหญ่บ้านของเขา ปัญหาส่วนใหญ่ล้วนมาจากเครือญาติกันนี่แหละ เขาจึงรับปากท่านยายเจียง แต่หากชาวบ้านเผลอเอ่ยออกไป เช่นนั้นก็ถือว่าเขาไม่ได้ผิดคำพูดเหมือนกัน ท่านยายเจียงเองก็เข้าใจ

ท่านยายเจียงไม่ได้เอ่ยถึงเรื่อง ที่ญาติของนางจะเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านหยางฮัวแบบถาวร เถิงคุนจึงไม่ได้ถามไถ่มากนัก เพราะหากต้องการปักหลักอยู่ที่นี่ คงต้องมีการลงทะเบียนให้เรียบร้อย ท่านยายเจียงยังไม่เอ่ยเรื่องนี้ จึงถือว่าญาติแวะมาเยี่ยมเยียนชั่วคราวเท่านั้น

นางเจียงแสดงสีหน้าไม่พอใจหลังได้ยินว่าท่านน้าของนาง จ่ายค่าเช่าให้บ้านสามไปแล้วหนึ่งเดือน

“เหตุใดต้องสิ้นเปลืองเช่นนั้น สู้เอาเงินมา...”

เสียงกระแอมเตือนของสามี ทำให้นางเจียงรู้ตัวว่าเกือบเอ่ยคำพูดไม่เหมาะสมออกมาแล้ว

“หวงชางก็หลานข้าเหมือนกัน” ท่านยายเจียงชักสีหน้าใส่หลานสาวตนเอง เหตุใดโตมาแล้วถึงกลายเป็นคนรักลูกหลานไม่เท่ากันได้ “เอาล่ะ ๆ หวงชางเจ้าพาครอบครัวไปที่เรือนของท่านยายหมี่ก่อน ผู้ใหญ่บ้านรอเจ้าอยู่ที่นั่นแล้ว”

“ขอรับท่านยาย”

เรือนของท่านยายหมี่อยู่ห่างจากเรือนของท่านยายเจียงพอสมควร อยู่ค่อนไปทางท้ายของหมู่บ้าน ติดกับตีนภูเขาด้านหลัง ตั้งอยู่โดดเดี่ยวท่ามกลางทุ่งนารอบด้าน

“มากันแล้ว ๆ” เถิงคุนเห็นกลุ่มคนเดินมาทางเรือนของท่านยายหมี่ รีบกวักมือเรียกพวกเขา “ทางนี้ ๆ”

“อาอี้นี่คือผู้ใหญ่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านนี่ฉินซื่อภรรยาของข้า แล้วนั่นก็บุตรชายบุตรสาวของข้าขอรับ” หวงชางรีบแนะนำทุกคนให้เถิงคุนได้รู้จัก

ฉินซื่อนำเด็ก ๆ คำนับผู้ใหญ่บ้านอย่างรู้มารยาท

“ดีดีดี” เถิงคุนพึงพอใจในความรู้ความของพวกเขา หันไปด้านข้างรีบแนะนำท่านยายหมี่ให้ทุกคนได้รู้จัก

“นี่คือท่านยายหมี่ รุ่นราวคราวเดียวกับท่านยายเจียงของพวกเจ้า หนึ่งเดือนจากนี้ไปพวกเจ้าสามารถอยู่อาศัยกับท่านยายหมี่ได้ แต่ว่าเรื่องอาหารการกินนั้นต้องจัดหาเอาเอง ท่านยายหมี่ไม่ได้มีรายได้อะไร ที่นาสามหมู่ก็ให้คนอื่นเช่าทำ ที่เหลือก็เก็บผักป่าของป่ามากินประทังชีวิตเท่านั้น”

หวงชาง “ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณท่านผู้ใหญ่บ้านที่จัดการเรื่องที่อยู่อาศัยให้ ขอบคุณมากขอรับ”

“เอาล่ะ ๆ นี่ก็มืดค่ำแล้วข้าต้องกลับเรือนก่อน”

เถิงคุนเดินหันหลังจากไปอย่างโล่งอก การจัดการกับญาติผู้ลี้ภัยไม่ได้ง่ายเช่นนี้ทุกราย คราวนี้ถือว่าง่ายที่สุดแล้ว

“ท่านยายหมี่พวกเราต้องรบกวนท่านแล้ว”

หวงชางหันมามองหญิงชราที่มีผมสีขาวเงินเต็มศีรษะ ดวงตาฝ้าฟางเล็กน้อย ทว่ายังมองเห็นว่าใครเป็นใคร

“ไม่เป็นไร พวกเจ้าไม่ได้มาอยู่เฉย ๆ ข้ายังได้ค่าเช่าเรือนมาอีกด้วย ไป ๆ ไปดูห้องนอนกัน”

หลินลู่ฉีสังเกตเห็นหญิงชรา แม้ท่าทางของนางไม่ได้แข็งกร้าวแต่ก็ไม่ได้อ่อนแอ ดูเป็นผู้ใหญ่มีเหตุมีผลพอสมควร เช่นนั้นคงไม่ต้องกลัวปัญหาการอยู่ร่วมกัน

เรือนของท่านยายหมี่ว่างอยู่สองห้อง สองสามีภรรยาได้อยู่ด้วยกัน ส่วนเด็กสามคนอยู่อีกห้อง ท่านยายหมี่ต้มโจ๊กข้าวโพดให้พวกเขากินรองท้อง เนื่องจากได้รู้เรื่องราวคร่าว ๆ ว่าพวกเขาลี้ภัยแล้งมาจากอีกเมือง คงมีชีวิตยากลำบากมาไม่น้อย

“ท่านยายหมี่พวกข้าไม่มีเงิน โจ๊กพวกนี้พวกข้าไม่กล้ากินหรอกเจ้าค่ะ” ฉินซื่อแม้ท้องร้องแต่ก็ไม่กล้ากินจริง ๆ

“จริงด้วย” หวงชางเองก็อับจนปัญญา

“พวกเจ้าเช่าเรือนของข้าอยู่ ข้าเลี้ยงโจ๊กข้าวโพดแค่นี้จะเป็นอันใดไป พรุ่งนี้พวกเจ้าก็ตักน้ำกวาดเรือนให้ข้า ก็ชดเชยกันได้แล้ว ดูเด็ก ๆ สิ หน้าซีดหน้าเซียวกันหมดแล้ว รีบกินเร็วเข้า !” หญิงชราแสร้งทำเสียงดุใส่

หลินลู่ฉีคือคนที่ทนไม่ได้ นางหิวจนตาลายไปหมดแล้ว นางหยิบช้อนไม้ตักโจ๊กเข้าปากเป็นคนแรก

ข้ายังเด็ก ข้าไม่รู้ความ

ท่านยายหมี่หัวเราะออกมาดัง ๆ “ต้องอย่างเจ้าเด็กฉีฉีคนนี้สิ กินกันได้แล้ว ไม่อายเด็กบ้างหรือไร”

“เจ้าค่ะท่านยาย” ฉินซื่อขานรับอย่างเลี่ยงไม่ได้ แอบอายแทนหลินลู่ฉีเล็กน้อย

เมื่อมีหลินลู่ฉีนำทางก่อน คนอื่น ๆ จึงรู้สึกผ่อนคลายลง จับตะเกียบพุ้ยโจ๊กเข้าปากด้วยความหิว มีเพียงเด็กเล็กสองคนที่ยังใช้ช้อนไม้อยู่

เมื่อกินอิ่มแล้ว ฉินซื่อไม่ยอมให้ท่านยายหมี่ล้างถ้วยของพวกนาง อาสาช่วยหญิงชราทำให้ทุกอย่าง เรือนที่เคยเงียบเหงาอ้างว้าง บัดนี้กลับมีเสียงพูดคุยของเด็กเล็ก ๆ ทำให้ท่านยายหมี่รู้สึกชุ่มชื่นในหัวใจขึ้นมา นานมากแล้วจริง ๆ

ด้านเรือนของท่านยายเจียง เดิมทีนางต้องการให้หลานสาวนำอาหาร ไปมอบให้ครอบครัวของหวงชาง แต่นางเจียงห้ามไว้ บอกว่าบ้านสามไม่หิวหรอก เอาที่เหลือไว้ให้หลานชายบ้านใหญ่ของนางดีกว่า เด็ก ๆ กำลังโตต้องได้กินอิ่มท้อง ท่านยายเจียงทำเพียงถอนหายใจเบา ๆ ไม่ได้กล่าวคำพูดใดอีก

แต่เมื่ออยู่ในห้องกับหลานสาวสองคน ผู้เป็นหลานก็อดระบายออกมาไม่ได้

“ข้าไม่เข้าใจเลยท่านย่า เหตุใดมารดาถึงรักบุตรไม่เท่ากัน” หม่าซูเหวินใบหน้าซึมเศร้า ยกมือเท้าคางมองออกไปนอกหน้าต่างห้อง

“ครอบครัวใหญ่ก็เช่นนี้แหละ ใช่ว่าพวกเราไม่เคยพบเจอ” ท่านยายเจียงยกฝ่ามือลูกศีรษะหลานสาวเบา ๆ นางเป็นอนุภรรยามาก่อน ความลำเอียงของผู้อาวุโสในเรือนก็เช่นนี้ บุตรหลานจากภรรยาเอกย่อมมาก่อน แม้จะมีสายเลือดเดียวกันก็ตามที

“เหตุใดท่านย่าไม่ช่วยญาติพี่ชายบ้านสามล่ะเจ้าคะ”

ท่านยายเจียงคลายรอยยิ้มออกมา ก่อนสอนหลานสาวไปในตัว “ช่วยได้หนหนึ่งก็ใช่ว่าจะช่วยได้ตลอดไป พวกเขาต้องเรียนรู้ที่จะเอาตัวให้รอดด้วยตัวเอง”

“ข้าไม่ค่อยเข้าใจเจ้าค่ะ” นางเอียงหน้าขึ้นมองผู้เป็นย่า

“เหวินเอ๋อร์หากหวงชางไม่สามารถหาอาหารให้ลูกเมียกินได้ เขาจะมีชีวิตรอดมาในวันข้างหน้าได้อย่างไร”

นางกล่าวแล้วดวงตาเคร่งขรึมลง ตอนนี้คงทำเพียงแค่เฝ้ามองดูครอบครัวของพวกเขา ไม่อาจยื่นมือเข้าไปก้าวก่ายได้ เว้นเสียแต่นางเจียงจะทำสิ่งใดเกินเลยไป

เช้าวันต่อมา

เรือนท่านยายเจียง หลินซื่อผู้เป็นสะใภ้รองของนางเจียง รีบลุกขึ้นมาทำกับข้าวให้ทุกคนได้กิน เมื่อวานนางได้รับอนุญาต ให้ทำอาหารให้ทุกคนกินในเช้านี้ โดยมีบุตรสาววัยเจ็ดปีหวงหลันฮวาตื่นมาเป็นลูกมือให้นาง ส่วนจ้าวซื่อสะใภ้ใหญ่นางไม่ยอมตื่นขึ้นมาช่วยแต่อย่างใด

สามีของหลินซื่อลุกขึ้นไปตักน้ำใส่ถังตั้งแต่เช้าตรู่เหมือนกัน กลายเป็นว่าบ้านใหญ่กับหวงจงและนางเจียง ยังนอนหลับไม่ยอมตื่น

“พี่สะใภ้รอง”

หม่าซูเหวินตื่นมาเจอหลินซื่อในห้องครัว จึงทักทายนางอย่างเป็นกันเอง นางสับสนในการเรียกขานอีกฝ่ายอยู่ แต่ท่านย่าบอกว่าให้นางเรียกพี่สะใภ้นำหน้าไป เหตุเพราะนางอายุน้อยกว่าทุกคน

“น้องซูเหวินตื่นเช้าเช่นนี้เป็นประจำรึ”

“เจ้าค่ะ ข้าตื่นมาทำกับข้าวให้ท่านย่าทุกวัน”

“เอ่อ วันนี้เจ้าไม่ต้องทำหรอก ข้าเป็นแขกมาอาศัยอยู่ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง” หลินซื่อกล่าวด้วยความเกรงใจ

“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ คนตั้งมากมายให้พี่สะใภ้รองทำคนเดียวได้อย่างไร ข้าช่วยทำจะได้เร็วขึ้น”

นี่เป็นครัวบ้านท่านย่าของนาง เหตุใดต้องให้คนอื่นมาครอบครอง หม่าซูเหวินไม่พอใจคนตระกูลหวงอยู่ลึก ๆ ทว่านางกลับไม่แสดงออกมาให้ทุกคนเห็น

“รบกวนแล้ว”

หลินซื่อเองก็ไม่ใช่คนมีเล่ห์เหลี่ยมอันใด นางออกจะขลาดกลัวด้วยซ้ำ จึงได้ทำตามที่หม่าซูเหวินบอก เมื่อนางบอกให้ทำข้าวต้ม ให้ใส่ปริมาณเท่าใด นางก็ต้องทำตามอย่างไร้ข้อโต้แย้ง
ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel