บท
ตั้งค่า

บทที่ 2 : ข้าถูกครอบครัวเอามาทิ้ง

หลินลู่ฉีไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับบ้านเมืองยุคนี้ นางยังเด็กนักรู้เพียงว่าที่นี่คือเมืองฝู แคว้นเยี่ยน แต่นางไม่รู้ว่าสภาพความเป็นอยู่ ของผู้คนนั้นเป็นอย่างไร

สองขาสั้นกับรองเท้าฟางเก่า ๆ คู่หนึ่ง จะพาเด็กสามขวบเดินไปได้ไกลแค่ไหนเชียว นางพักเหนื่อยอยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง หลังเดินลงเขามาได้ราวหนึ่งลี้ เหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้ รีบยกกางเกงดูบาดแผลที่ถูกงูกัด

นี่นางเดินด้วยเท้าน้อย ๆ ที่มีบวมเป่งขนาดนี้โดยไม่รู้สึกเจ็บได้อย่างไร นี่มันวิญญาณกับร่างกายไม่สัมพันธ์กันเกินไปไหม ได้แต่พิงโคนต้นไม้อย่างท้อแท้ เมืองฝูนั้นต้องเดินลงเขาไปอีกไกลพอสมควร หากเป็นผู้ใหญ่คงไม่ใช่ปัญหา แต่ขาของนางสั้นเกินไป

ทันใดนั้นมีเสียงฝีเท้าม้าวิ่งมาแต่ไกล หลินลู่ฉีตื่นตัวในทันที รีบวิ่งออกไปยืนอยู่ข้างทาง เขย่งเท้าชูมือโบกไว้บนศีรษะ เผื่อว่าจะมีคนเห็นตัวเอง ไม่กล้าลงไปยืนอยู่กลางถนน เกรงว่าจะถูกม้าเหยียบตาย

“ช่วยด้วย ๆ”

“มีเด็ก ๆ หยุดก่อน !” เสียงคนที่อยู่ด้านหน้าตะโกนขึ้น พร้อมดึงเชือกบังเหียนม้าเอาไว้แน่น ม้าที่เขานั่งยกขาหน้าขึ้นตะกายอากาศอย่างโมโห พร้อมพ่นลมหายใจฟืดฟาดออกมา ด้านหลังมีรถม้าหนึ่งคันพร้อมคนคุ้มกัน

หลินลู่ฉีเพิ่งสังเกตเห็นว่าพวกเขาดูไม่เหมือนชาวบ้านทั่วไป ชาวบ้านที่ไหนจะขี่ม้าพกอาวุธกันเล่า แต่ดูแล้วไม่ใช่พวกลักเด็กไปขาย นางรีบเดินไปใกล้ ๆ กับคนที่อยู่หน้าขบวน

“ท่านลุงช่วยข้าด้วย ข้าถูกครอบครัวเอามาทิ้ง ไม่รู้จะไปทางไหน ท่านช่วยพาข้าไปส่งในเมืองได้หรือไม่” นางคิดดีแล้วว่าหากเข้าเมืองได้ อย่างน้อยก็น่าจะรอดตายมากกว่าอยู่ในป่าเขา

บุรุษคนที่อยู่หน้าขบวนทำหน้าหนักใจเล็กน้อย เขากระโดดลงจากหลังม้าวิ่งไปด้านหลัง พร้อมกับเสียงรายงานเจ้านายผ่านม่านกั้น

ไม่ช้าบุรุษผู้นั้นก็กลับมา พร้อมกับหิ้วคอเสื้อของหลินลู่ฉีขึ้น โยนเข้าไปในรถม้าคันด้านหลัง ร่างเด็กน้อยกลิ้งขลุก ๆ ไปบนพื้นรถม้า

“โอ๊ย !” นางลุกยังไม่มั่นคง รถม้าก็ออกตัวไปเสียก่อน ร่างน้อย ๆ จึงเซถลาไปอยู่บนตักของใครคนหนึ่ง โชคดีที่เขาจับตัวนางไว้ จึงไม่กระแทกโดนผนังรถม้าจนเกิดบาดเจ็บ

“ขอบคุณพี่ชาย” หลินลู่ฉีทำตัวให้เป็นเด็กมากที่สุด นางทำท่าหวาดกลัวคุณชายน้อยตรงหน้า ดูไปแล้วเป็นหนุ่มน้อยหน้าตาดีใช่เล่น ให้เดาอายุเขาคงราว ๆ สิบสองสิบสามปี

นิ้วของเขาจิ้มที่แก้มตอบ ๆ ของนางเล่น

“เจ้าทำผิดอะไรมา ถึงได้ครอบครัวทอดทิ้ง”

หลินลู่ฉีมองเขาอย่างจนใจ เหตุใดยังจิ้มแก้มนางอยู่อีก รีบจับนิ้วของเขาเอาไว้ “พี่ชายข้าถูกงูกัด” นางถลกขากางเกงให้เขาดู สีหน้าของคุณชายน้อยตื่นตกใจในทันที เขารีบบีบเอาเลือดพิษออกจากแผลของนาง พร้อมตะโกนสั่งคนด้านนอก

“ลุงหวังรีบไปโรงหมอเร็ว ! นางถูกงูพิษกัด !”

รถม้าเพิ่มความเร็วเป็นเท่าตัว หลินลู่ฉีเวียนหัวตาลายไปหมด นางไม่อยากเป็นลมก็ไม่ได้แล้ว

ฟื้นขึ้นมาอีกทีก็อยู่ในโรงหมอเมืองฝูเสียแล้ว ได้ยินเสียงของท่านหมอเอ่ยกับคุณชายน้อย ว่าพิษงูที่นางถูกกัดนั้นร้ายแรงยิ่งนัก ยิ่งถูกทิ้งระยะไว้นานแบบนี้ ความจริงไม่น่าจะรอดชีวิตมาได้ นางเงี่ยหูฟังทั้งที่ยังไม่ลืมตา

“นางดวงดีมากกว่า ตอนข้ารีดพิษออกจากบาดแผลให้นาง เลือดก็เป็นสีดำสนิท ยังคิดว่าเด็กตัวเท่านี้ไม่น่าจะรอด”

“คุณชายน้อยท่านเป็นญาติของนางหรือ”

“ไม่ใช่นางเป็นเด็กที่ถูกทิ้งไว้ข้างทาง ข้าเพียงเจอนางเท่านั้น”

“เกรงว่าเพราะครอบครัวของนางคิดว่านางไม่รอด ถึงได้ทิ้งไว้เช่นนั้น”

เดากันได้จริงจังมาก

หลินลู่ฉีคิดว่าคนเหล่านี้มองนางเป็นเด็ก ไม่รู้ประสา จึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา

คุณชายน้อยรีบเดินไปหานางที่เตียง “เจ้าฟื้นแล้ว”

“พี่ชายข้าหิวน้ำ” นางเปล่งเสียงแหบแห้งออกมา มีคนของโรงหมอมารินน้ำให้นางดื่ม

นางหลับต่อไปอีกสองชั่วยาม จากนั้นคุณชายน้อยก็เดินเข้ามาลานาง

“ข้าต้องกลับเมืองหลวงแล้ว เจ้าไม่ต้องห่วงเรื่องค่ารักษา ข้าจ่ายให้โรงหมอจนกว่าเจ้าจะหายดี แล้วได้ฝากให้ทางการจัดการเรื่องหาครอบครัวของเจ้า”

หลินลู่ฉีมองไฝใต้ตาซ้ายของเขาอย่างเหม่อลอย นางเพียงอยากจดจำผู้มีพระคุณของตนเองเอาไว้

“เป็นอะไรไปอาลัยอาวรณ์ข้าหรือ ฮึ ช่างไม่เจียมตัว”

เจ้าเด็กนี่ !

นางกลอกตาอย่างหมดคำจะเอ่ย ทันใดนั้นก็เห็นกลุ่มไอหมอกสีดำหม่น ๆ ตรงกลางอกของเขา นี่เป็นความสามารถพิเศษของนางที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด นางมองเห็นลางร้ายของผู้คนได้ เกรงว่าจะมีอันตรายเกิดขึ้นกับเขา เรื่องนี้ไม่ใช่ว่าจะสามารถมองเห็นได้ทุกคน เฉพาะคนที่มีวาสนาต่อกันเท่านั้น นางถึงจะมองเห็นได้

“พี่ชายท่านชื่ออะไร ภายภาคหน้าข้าจะได้ตอบแทนบุญคุณให้ท่าน”

“ไม่จำเป็น จากนี้ไปข้ากับเจ้าคงไม่ได้พบเจอกันอีก”

“ได้ ๆ แต่ว่าพี่ชายท่านมีสิ่งของพกติดตัวหรือไม่”

“เจ้าถามทำไม”

“เอ่อ ข้าจะอวยพรให้ท่านเดินทางปลอดภัย แต่ว่าข้าต้องสัมผัสสิ่งของติดกายท่าน จึงจะเป็นผล”

คุณชายน้อยถอนหายใจดัง ๆ นี่มันตรรกะอันใดกัน

“จริง ๆ นะ ข้ามีความสามารถพิเศษ ปัดเป่าภัยร้ายให้ผู้คนได้” อันนี้นางแอบโม้เกินจริงไปหน่อย มองหยกห้อยเอวทรงกลมของเขา ชี้นิ้วไปที่มัน “อันนั้นก็ได้”

“ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าเจ้า จะปัดเป่าภัยร้ายได้จริงไหม” แน่นอนว่าเขาไม่เชื่อ แต่เมื่อเด็กน้อยเจตนาดี เขาจึงยอมปลดเชือกหยกห้อยเอว ที่มารดามอบให้ในวันเกิด ออกมายื่นให้นาง

หลินลู่ฉีนำหยกห้อยเอวของเขามาประกบที่ฝ่ามือ หลับตาอธิษฐานให้เขาเดินทางปลอดภัย ขอเพียงนางตั้งจิตให้มั่นคง อธิษฐานออกมาจากใจจริง พรนั้นย่อมสัมฤทธิ์ผล

“เสร็จแล้ว” นางยื่นหยกกลับคืนให้เขา “กลางอกของพี่ชายไม่ดีนัก ทางที่ดีสวมเสื้อเกราะไว้จะดีกว่า”

คุณชายน้อยนึกขำคำของเด็กน้อย แต่คนสนิทที่ติดตามมาด้วยกลับนิ่วหน้าอย่างแปลกใจ คุณชายน้อยของตนอายุน้อยก็จริง แต่ก็อยู่กลางสมรภูมิรบตั้งแต่เด็ก มีทั้งคนชื่นชมและปองร้ายอยู่เสมอ

เมื่อต้องเตรียมตัวเดินทางกลับเมืองหลวง คนสนิทของคุณชายน้อยก็เดินกลับเข้ามาหาหลินลู่ฉี

“นังหนูที่เอ่ยเมื่อครู่นี้เจ้าจริงจังไหม”

หลินลู่ฉีมองเขามีไอหมอกสีดำเข้มกว่าผู้เป็นนายเสียอีก ทว่าอยู่ตรงท่อนขาซ้ายด้านล่าง

“ท่านลุงเชื่อข้าไหม”

“ก็เชื่อไว้ไม่เสียหาย” เขาเกาศีรษะแก้เขินอายเล็กน้อย

“เช่นนั้นเอาของติดกายมาให้ข้า ท่านลุงเองก็ตกอยู่ในอันตรายเหมือนกัน”

เขาไม่รีรอหยิบผ้าเช็ดหน้าของคนรักออกมาให้นาง

“เอ่อ ข้าพกเพียงผ้าผืนนี้ติดตัว อย่างอื่นไม่มีแล้ว”

เห็นสีหน้าแปลกใจของอีกฝ่าย จึงต้องรีบอธิบาย มองซ้ายขวาเกรงว่าจะมีคนมาเห็น เขาไม่อยากเชื่อเรื่องพวกนี้ แต่ที่บ้านเดิมของเขานั้น มีคนร่างทรงมากฝีมืออยู่จริง ๆ จำไม่อาจเพิกเฉยต่อเรื่องนี้ได้

หลินลู่ฉีรังเกียจผ้าเช็ดหน้าของเขาเป็นอย่างมาก แต่นางก็ตั้งใจอธิษฐานให้เขาปลอดภัย พร้อมกับบอกว่าหาเกราะมาป้องกันท่อนขาซ้ายล่างเอาไว้ให้ดี ๆ ถ้าไม่อยากเสียขาข้างนี้ไป

ดังนั้นก่อนออกเดินทาง เขาจึงไปหาซื้อเสื้อเกราะมามอบให้คุณชายน้อย และสวมเกราะที่ท่อนขาซ้ายล่างอีกด้วย สหายร่วมทางต่างพากันหัวเราะเยาะเขากันหมด

“ลุงหวังท่านเสียสติไปแล้วหรือ ถึงได้ไปฟังคำของเด็กน้อยนั่น” คุณชายน้อยเมินเสื้อเกราะของเขา ปฏิเสธไม่สวมมัน

“คุณชายน้อยเชื่อไว้ไม่เสียหายนะขอรับ นังหนูนั่นไม่มีเหตุผลที่ต้องโกหกพวกเรา สวมเกราะไว้ก่อนนะขอรับถือว่าข้าน้อยขอร้อง หากเกิดอะไรขึ้นกับคุณชายน้อยจริง ท่านแม่ทัพคงไม่ปล่อยข้าน้อยไว้แน่ อีกอย่างที่บ้านเกิดของข้าน้อยมีร่างทรงที่มองเห็นอนาคตของผู้คนได้จริง ๆ ไม่แน่นังหนูนั่นอาจจะเป็นทายาท ของร่างทรงสักคนก็เป็นได้ คุณชายน้อย”

“ท่านพอเถอะ ข้าสวมแล้วก็ได้” เขาตัดบทอย่างรำคาญใจ

ทว่าภายหลังคุณชายน้อยก็ต้องตกตะลึง กับเหตุการณ์ลอบฆ่าระหว่างทาง ก่อนที่จะถึงเมืองหลวงเพียงสิบลี้ ลูกธนูพุ่งตรงเข้ากลางอกของเขาตรง ๆ ลุงหวังถูกฟันขาซ้ายล่างเข้าอย่างจัง หากไม่มีเกราะป้องกันคงได้ขาซ้ายขาดอย่างแน่นอน ผู้เป็นนายกับลูกน้องถึงกับมองตากันปริบ ๆ ไม่มีใครกล้าเอื้อนเอ่ยคำพูดใดออกมา

ในใจของลุงหวังได้คิดว่า เหตุใดข้าไม่นำตัวร่างทรงน้อยผู้นั้นกลับมาด้วย น่าเสียดายจริง ๆ
ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel