บทที่ 11 : ก้อนหินนี่นา
ราวสองเค่อพวกเขาได้เดินมาถึงแหล่งเก็บผักป่าของชาวบ้าน แถวนี้เหลือผักป่าให้เก็บไม่มากนัก
ฉินซื่อมองไปทางท่านยายหมี่ เอ่ย “ท่านนั่งเล่นกับเด็ก ๆ ใต้ต้นไม้เถอะเจ้าค่ะ ผักป่าตรงนี้มีไม่เยอะ ข้าเก็บครู่เดียวก็หมดแล้ว”
“ได้ ๆ เจ้าไปเถอะ” ท่านยายหมี่เดินไปนั่งลงใต้ต้นไม้ มองเด็ก ๆ วิ่งเล่นไปมา
เป็นช่วงเวลาที่แปลกใหม่สำหรับหญิงชรา เพิ่งเข้าใจคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้าน ที่มักมาอวดลูกอวดหลานอยู่เสมอ เด็กน้อยน่ารักเพียงนี้ ทว่าแอบผอมแห้งไปเสียหน่อย หากได้บำรุงเรื่องอาหารการกินดี ๆ คงอวบอ้วนกลายเป็นซาลาเปาก้อนน้อย ๆ มีหรือคนเห็นจะไม่รักไม่หลงได้ นางคิดไปไกลเกินตัวเสียแล้ว
หลินลู่ฉีวิ่งเล่นเป็นเพื่อนหวงจื่อเหยาครู่หนึ่ง นางก็ปวดฉี่ขึ้นมา หันซ้ายหันขวาแล้ววิ่งกลับไปหาท่านยายหมี่
“เจ้าเด็กนี่อยากถ่ายเบารึ”
“อื้อ ๆ” เด็กน้อยพยักหน้าราวไก่จิกข้าว
“ไป ๆ เดี๋ยวยายพาไปเอง ฉินซื่อข้าจะพาฉีฉีไปถ่ายเบา เจ้าดูเหยาเอ๋อร์ให้ที” หญิงชราไม่ลืมตะโกนบอกฉินซื่อ
“ได้เจ้าค่ะ เหยาเอ๋อร์มาอยู่กับแม่มา” ฉินซื่อกวักมือเรียกบุตรสาวให้ไปอยู่ใกล้ ๆ ตัวเอง
ท่านยายหมี่พาเด็กน้อยเดินเข้าไปในป่าที่ลับสายตาผู้คน หาที่เหมาะสำหรับเตรียมปลดกางเกงให้นาง
หลินลู่ฉีรีบจับข้อมือของท่านเอาไว้ “ท่านยาย ท่านหันไป ข้าทำเองได้”
“เฮอะตัวแค่นี้ทำเองเป็นรึ”
“อื้ม”
“ได้ ๆ ข้าจะหันหลังให้ ระวังอย่าให้กางเกงเปียกล่ะ”
“เจ้าค่ะ หันไป ๆ” นางพยายามพูดให้น้อยคำที่สุด เพราะเด็กสามขวบหากพูดมากไป เกรงว่าจะเป็นที่น่าสงสัยเอาได้
ใช้เวลาไม่นานหลินลู่ฉีก็จัดการธุระส่วนตัวเสร็จ แต่ก่อนที่นางจะเดินกลับไปหาท่านยายหมี่นั้น ปลายเท้าได้เตะโดนบางอย่างเข้า
“เอ๋” ก้มลงมองก็เห็นว่าเป็นถุงเหอเปา สีกลมกลืนไปกับพื้นดินจนแทบแยกไม่ออก นางดึงมันขึ้นมาจากพื้น ไม่รู้มันถูกทิ้งไว้นานแค่ไหนแล้ว สภาพถึงเหมือนผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน
“ฉีฉีเสร็จหรือยัง”
“ท่านยายเสร็จแล้วเจ้าค่ะ”
ท่านยายหมี่หันกลับมาทางนาง “หืม นั่นอะไรในมือเจ้า”
“ข้าเจอมันบนดินตรงนี้” นางชี้นิ้วไปที่พื้นดินตรงหน้า
“ไหน ๆ ขอยายดูหน่อย เหมือนถุงเหอเปาใส่ของเล็กของน้อยของสตรีเลย”
ครั้นท่านยายหมี่เทสิ่งของที่อยู่ถุงเหอเปาออกดู กลับพบว่าเป็นก้อนเงินหลายก้อนค่อนข้างหนักพอสมควร นับได้ราวสิบตำลึงเงิน
หลินลู่ฉีเห็นว่าเป็นก้อนเงิน นางอยากรู้ว่าท่านยายหมี่ผู้นี้ มีความซื่อสัตย์หรือไม่ จึงทำเป็นไม่เข้าใจว่าสิ่งนี้คืออะไร
“ก้อนหินนี่นา” นางแสร้งเอ่ยคล้ายไม่รู้ค่าของเงิน
“ฉีฉีนี่ไม่ใช่ก้อนหิน นี่คือก้อนเงินต่างหาก เจ้าได้โชคก้อนใหญ่แล้ว” หญิงชราลูบศีรษะน้อย ๆ ของหลินลู่ฉีอย่างเอ็นดู ช่างโง่งมเหลือเกินแม้แต่เงินก็ไม่รู้จัก
“เงิน ! นี่ของข้าหรือเจ้าคะ” เด็กน้อยแสร้งทำตาโตราวไข่ไก่
“ใช่แล้ว ๆ เงินนี่ของฉีฉีคนเดียวเลย ต่อจากนี้ไปยายจะซื้อเสบียงมาให้ฉีฉีกินอย่างเต็มที่เลย”
เด็กน้อยกระโดดเย้ ๆ ปากก็ร้องบอกจะกิน ๆ ก่อนจะหยุดยืนกอดอกทำคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ให้ท่านลุงท่านป้า ให้ท่านยายด้วย” นางบิดตัวไปมาอย่างเอียงอาย
“ยายไม่เอาหรอกนี่เงินของฉีฉี ประเดี๋ยวยายจะไปบอกฉินซื่อ ไปกันไปบอกข่าวดีกับนาง”
“อื้ม” หลินลู่ฉียิ้มตาหยีอย่างน่ารัก
ท่านยายหมี่ใช้ได้เลย ไม่โลภในเงินทองของผู้อื่น
นี่น่าจะเป็นโชคลาภก้อนแรกที่นางได้รับ ตั้งแต่วิญญาณเข้ามาสวมร่างของหยางท่ง มาช้าก็ยังดีกว่าไม่มา แต่จะมาอีกทีตอนไหนก็ไม่อาจรู้ได้ อย่างน้อยเงินก้อนนี้ก็สามารถให้นางกับบ้านสาม สามารถมีชีวิตรอดไปได้สักพักใหญ่ ๆ มีเงินแล้วก็มีค่าเช่าเรือน มีค่าเสบียงอาหาร ท่านยายหมี่ก็ไม่ต้องเดือดร้อนแบ่งเสบียงของนางให้อีก
สองยายหลานเดินออกมาจากพุ่มไม้ พากันนั่งพักอยู่ใต้ต้นไม้ที่เดิม มองฉินซื่อเก็บผักป่าด้วยความสุขใจ พวกนางไม่รีบร้อนรอกระทั่งฉินซื่อเก็บผักป่าหมด และจูงมือหวงจื่อเหยาเดินมาหาใต้ต้นไม้
“ท่านยายหมี่ท่านยิ้มเล็กยิ้มน้อยเช่นนี้ มีเรื่องอะไรน่ายินดีหรือเจ้าคะ” ฉินซื่อไม่เข้าใจท่าทางเช่นนี้ของนาง หันไปทางหลินลู่ฉี พบว่านางก็อมยิ้มคล้ายหญิงชราด้านข้าง “นั่นฉีฉีก็เลียนแบบท่านยายหมี่อีกคน”
“ฉินซื่อมานี่เร็วเข้า ข้ามีอะไรจะให้เจ้าดู” หญิงชรากวักมือเรียกเร็ว ๆ แม้ไม่มีคนเดินผ่านไปมา แต่เรื่องนี้ต้องป้องกันไว้ก่อนดีที่สุด
“ท่านยายหมี่ท่านอย่าทำข้ากลัวสิเจ้าคะ”
“นี่เจ้าดูนี่” ท่านยายหมี่เทของที่อยู่ในถุงเหอเปาใส่มือ แล้วแบให้ฉินซื่อดูเร็ว ๆ ก่อนเทใส่ถุงเหอเปาเก็บไว้ในอกเสื้อตามเดิม
“นั่นมันเงินไม่ใช่หรือเจ้าคะ” ฉินซื่อรีบวางตะกร้าผักป่าลงบนพื้น เข้าไปนั่งใกล้ ๆ กับท่านยายหมี่ ใช้เสียงเล็กเสียงน้อยคุยกันราวกระซิบกระซาบ
“ใช่แล้ว เงินนี่ฉีฉีเก็บได้”
“ฉีฉีเก็บได้” ฉินซื่อตาโตหลังได้ยิน ครั้นท่านยายหมี่ยืนยันอีกหน นางก็เผยรอยยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ หันไปบีบแก้มตอบของหลินลู่ฉีอย่างดีใจ “ฉีฉีเจ้าช่างเป็นดาวนำโชคของข้าจริง ๆ”
“เงินนี่เจ้าจะเก็บไว้เลยไหม ข้านับแล้วมีอยู่ราว ๆ สิบตำลึง”
“ท่านยายหมี่ท่านก็ไปกับฉีฉีด้วย เงินนี่ต้องแบ่งท่านครึ่งหนึ่งนะเจ้าคะ”
“เด็กโง่ เงินนี่จะแบ่งข้าทำไม คนเก็บได้คือฉีฉี”
“แต่ท่านพานางไปถ่ายเบาตรงนั้น หากไม่ใช่ว่าท่านพาไปนางจะไปเจอถุงเหอเปานี้ได้อย่างไร เอาเช่นนี้แหละแบ่งกันคนละครึ่ง” ฉินซื่อไม่อยากเอาเปรียบอีกฝ่าย
“ข้าว่าไม่เหมาะนะ ข้าถามฉีฉีดีกว่านางเป็นคนเก็บได้” หญิงชราหันไปทางเด็กน้อย แล้วถามว่าเงินนี่ฉีฉีอยากแบ่งยายหรือไม่
หลินลู่ฉีพึงพอใจในความเอื้อเฟื้อของทั้งคู่ นางกลอกตาเหมือนคิดหนักอยู่รอบหนึ่ง “ข้ายกให้ท่านป้า”
ท่านยายหมี่ “เห็นไหมฉีฉียังรู้เลยว่าต้องให้ใคร”
“ฉีฉีเจ้านี่นะ” ฉินซื่อทำท่าดุนางเล็กน้อย
“แต่ท่านป้าจะให้ใครก็เป็นเรื่องของท่านป้า” เสียงเล็ก ๆ ของนาง ทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสองคนถึงกับตะลึงไป
ฉินซื่อถึงกับหัวเราะออกมาเบา ๆ “ท่านยายหมี่ได้ยินไหมเจ้าคะ ฉีฉีบอกข้าจะให้ใครก็ได้ เช่นนั้นให้ท่านยายหมี่ครึ่งหนึ่งเจ้าค่ะ”
หญิงชราไม่คิดว่าเรื่องราวจะกลายเป็นเช่นนี้ นางส่ายหน้าหัวเราะตามฉินซื่อ ไม่รู้จะโต้แย้งอีกฝ่ายอย่างไรดี
“ได้ ๆ ถือว่าฝากไว้ที่ข้าก็แล้วกัน เอ้านี่ของเจ้า” ท่านยายหมี่แบ่งเงินให้ฉินซื่อไปครึ่งหนึ่ง ก่อนจะหันไปจิ้มหน้าผากน้อยของหลินลู่ฉีเบา ๆ “เจ้าเล่ห์แต่เด็กนะเรา”
หลินลู่ฉีแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจนางหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุข หันไปชวนหวงจื่อเหยาเล่นดินเล่นหญ้าไป
“ฉินซื่อค่าเช่าเดือนถัดไปพวกเจ้าก็ไม่ต้องจ่ายแล้ว ข้าจะหักออกจากเงินก้อนนี้เอง”
“จะดีหรือเจ้าคะ”
“ย่อมดี ๆ เอาเป็นว่าพวกเรากลับเรือนกันเถอะ วันนี้ข้าจะไปหาซื้อเนื้อหมูมาให้เจ้าทำกิน ดูเด็ก ๆ สองคนนั้นสิ ตัวผอมแห้งแรงน้อยเพียงนั้น ฉีฉีนั่นก็น่าสงสารกระทั่งจำไม่ได้ ว่าตัวเองถูกทิ้งได้อย่างไร ครอบครัวของนางคงเห็นนางเป็นภาระเลยปล่อยทิ้งไว้ข้างทาง หากพวกเจ้าเลี้ยงไม่ไหวก็มอบนางให้ข้าเถอะ อย่าได้เอานางไปขายทิ้งเลย”
“ท่านยายหมี่ท่านเห็นข้าเป็นคนอย่างไร ตอนช่วยนางข้ากับพี่ชางก็ตัดสินใจแล้ว ว่าจะต้องเลี้ยงดูนางเอาไว้ ข้าไม่มีวันขายนางหรอกเจ้าคะ”
“ข้ารู้ ๆ แต่หากเลี้ยงไม่ไหวจริง ๆ อย่าลืมคำพูดยายแก่คนนี้ล่ะ มอบนางให้ข้า”
ฉินซื่อคิดอยู่ครู่หนึ่ง หากพวกนางเลี้ยงเด็กน้อยไม่ไหวจริง ๆ ก็คงต้องมอบให้ท่านยายหมี่จริง ๆ “เจ้าค่ะ หากเลี้ยงไม่ไหวจริง ๆ ข้าจะคิดถึงท่านยายหมี่เป็นคนแรก”
“ดี ๆ พวกเรากลับกันเถอะ” หญิงชราลุกขึ้นเดินนำหน้าพาทุกคนกลับไปยังเรือนของนาง