ขึ้นดอยด้วยกันมั้ยครับ Season 1

170.0K · จบแล้ว
ไป๋ชิงหง-เกียร์สายฟ้า
52
บท
4.0K
ยอดวิว
8.0
การให้คะแนน

บทย่อ

ทุกปีในมหาวิทยาลัย C จะมีประเพณีขึ้นดอย ซึ่งนั่นเป็นกิจกรรมรับน้องที่ได้รับความสนใจอย่างมาก โดยเฉพาะกับสาวโสดที่กำลังหมายตาหนุ่มหล่อต่างคณะ โดยเฉพาะหนุ่มวิศวะ การเข้าร่วมประเพณีขึ้นดอยนี้อาจทำให้ใครบางคนได้รับผ้าคาด SOTUS และนั่นอาจทำให้พวกเธอกลายเป็นที่น่าอิจฉาภายในวันเดียว “หมี่ขาว” สาววิศวะที่โสดขึ้นดอยเป็นปีที่สาม เธอไม่ได้คาดหวังว่าตัวเองจะเป็นคนนั้น แต่ทว่าเพราะคำท้าที่รับปากเพื่อนด้วยความคึกคะนอง ทำให้เธอตกปากรับคำชวนของ “เก้าอี้” ตัวละครลับของภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า ซึ่งวันนี้เขากลายเป็นพี่ปีสี่ ผูกผ้าคาด SOTUS สีแดง และวิ่งถือธงเกียร์นำขึ้นดอย เพียงเพราะเขาเดินมาทักและชวนเธอด้วยถ้อยคำเรียบง่าย “ขึ้นดอยด้วยกันมั้ยครับ”

นิยายเกมออนไลน์นิยายรักโรแมนติกนิยายรักนิยายปัจจุบันโรงแรม/มหาลัยโรแมนติกผู้ชายอบอุ่นอัจฉริยะนักศึกษาฟินๆ

Prologue สายฟ้ามากับสายฝน

ย้อนกลับไปเมื่อตอนปี 1 สมัยที่การสอบเข้าเรียนต่อระดับอุดมศึกษาไม่ได้แบ่งย่อยจนปวดหัวแบบนี้ เด็กม.ปลายส่วนใหญ่จะเลือกหาที่เรียนพิเศษเพื่อติวสำหรับเรียนต่อมหาวิทยาลัย เริ่มตั้งแต่ไม่มาเรียนและเข้าแคมป์ติวเข้ม หรือเรียนพิเศษเข้มข้นตอนเย็น เป็นเช่นนี้เหมือนกับวงจรอุบาทว์ที่หนีอย่างไรก็ไม่พ้นเสียที แต่ ‘หมี่ขาว’ ไม่ได้โชคร้ายขนาดนั้น

จะเรียกว่าเป็นเรื่องดีในโชคร้ายหรือเรื่องร้ายในโชคดีกันนะ

เพราะที่บ้านของเธอมีแม่เป็นหัวหน้าครอบครัว แม้ว่าจะเป็นเด็กที่ได้รับเงินทุนการศึกษาแบบเต็มก็ยังบอกไม่ได้ว่าสบายจนสามารถเรียนพิเศษได้ ทุนการศึกษาที่ได้ยังมีเงื่อนไขอยู่ว่าห้าม ‘กู้เงินเรียน’

แน่ล่ะ...สำหรับเด็กที่มีฐานะปานกลางมาจนถึงยากจนล้วนต้องได้ยินเรื่องการกู้เงินเรียนจากรัฐบาล บ้างก็ว่าดี บ้างก็ว่าไม่ดี เพื่อนของเธอหลายคนได้รับเงินกู้จากกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา(กยศ.)[ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (ตัวย่อ: กยศ.) (อังกฤษ: Student Loan Fund) เป็นหน่วยงานของรัฐอยู่ในกำกับดูแลของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีฐานะเป็นนิติบุคคล โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมการศึกษาด้วยการให้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา ในลักษณะต่าง ๆ] มีทั้งที่บ้านฐานะยากจนจริงๆ และบ้างก็กู้มาเพื่อใช้จ่ายอื่นๆ ตัวอย่างเช่นผ่อนโทรศัพท์มือถือ ซื้อของใช้ จ่ายค่าเรียนพิเศษ

โชคดีหน่อยที่เธอได้เรียนเป็นหลักสูตรพิเศษ แม้ว่าค่าเทอมจะแพงกว่าหลักสูตรทั่วไป แต่เพราะเธอได้ทุนเต็มจึงไม่มีปัญหาเรื่องนี้ เนื้อหาที่เรียนจะเน้นหนักกว่าห้องเรียนอื่นและสุดท้ายยังสามารถเรียนจบก่อนเพื่อนห้องอื่นตั้งหนึ่งเทอม

ซึ่งนั่นเป็นข้อได้เปรียบของนักเรียนห้องเรียนพิเศษ

หลักสูตรที่ว่านี้จะเน้นหนักไปทางกิจกรรม ทั้งกิจกรรมวิชาการและกิจกรรมนอกเวลา รวมไปถึงค่ายโอลิมปิกวิชาการของเขตภาคเหนืออีกด้วย

ค่ายโอลิมปิกวิชาการเป็นประสบการณ์ที่น่าสัมผัส คุณจะได้พบเจอทั้งรุ่นพี่มหา’ลัยหนุ่มหล่อขาวตี๋ สาวสวยหมวยอึ๋มหรือคนอ้วนเตี้ยล่ำ ผอมกะหร่องเหมือนปลาแห้ง แม้กระทั่งตัวใหญ่ยักษ์แต่น่ารักใจดี

สิ่งที่พลาดไม่ได้ในชีวิตมอปลายคือค่ายโอลิมปิกวิชาการเฉพาะสาขา ซึ่งจำลองชีวิตการเรียนหลักสูตรระดับมหาวิทยาลัย การแข่งขันระหว่างโรงเรียนต่างๆ ในภาคเหนือ ถึงจะเป็นอย่างนั้น ท่ามกลางการแข่งขันก็ยังมีมิตรภาพเกิดขึ้น ยามระลึกถึงเมื่อไรก็ยังคงยิ้มให้ด้วยความรู้สึกดีๆ บางครั้งอาจทำให้พบเจอคนที่คุณปิ๊ง หรือแม้แต่อาจารย์ที่น่ารักซึ่งในอนาคตอาจจะได้สอนคุณในระดับอุดมศึกษา

หากคุณสามารถผ่านไปยังค่ายสองหรือค่ายสามได้ สิ่งเหล่านี้ยังเป็นใบเบิกทางชั้นดีสำหรับนักเรียนมัธยมปลายที่กำลังต้องการเรียนต่อในสาขาที่สนใจอีกด้วย

ในช่วงเทอมแรกของชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เพื่อนร่วมห้องรวมทั้งหมี่ขาวเองก็เริ่มส่งใบสมัครในสาขาวิชาที่สนใจตามมหาวิทยาลัยต่างๆ พร้อมแฟ้มสะสมผลงานเพื่อหวังให้ผ่านการคัดเลือกแบบรับตรง

แน่นอนว่าสำหรับเด็กที่ผ่านค่ายโอลิมปิกวิชาการ หรือเป็นเด็กที่เรียนดีก็จะมีข้อได้เปรียบตรงนี้อยู่

ยื่นไปที่ไหนก็จะผ่านไปยังรอบสัมภาษณ์ตามเกณฑ์ที่ทางมหาวิทยาลัยต่างๆ กำหนด แต่เด็กภาคเหนือจะทราบกันดีว่าช่วงหนึ่งของชีวิตเด็ก ม.6 ต้องผ่านการสอบสุดหินที่เรียกว่า ‘สอบโควตา’ และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเพื่อนบางคนในห้องเรียนถึงหายไปเพื่อติวเข้ม หรือตั้งใจอ่านหนังสือจนแทบไม่ได้กินไม่ได้นอน

เพื่อนในห้องของหมี่ขาวครึ่งหนึ่งเก็บตัวติวหนังสือเข้ม สามในสิบมีที่เรียนแล้ว และที่เหลือคือเด็กขี้เกียจซึ่งมักจะเล่นกีฬาหรือหาอะไรทำในช่วงที่ทุกคนกดดันด้วยความเครียด

แน่นอนว่าเพื่อนในกลุ่มของเธออยู่ใน 50% ที่ติวเข้ม ส่วนเธอนั้นกลายเป็นแกะดำของกลุ่มไปแล้ว

เพื่อนคนแรกรู้ตัวว่าจะเรียนแพทย์ตั้งแต่ ม.4 ดังนั้นเธอจึงตั้งใจเรียนมาก ทั้งๆ ที่ก็ตั้งใจเรียนมาตั้งแต่ประถมแล้วก็เถอะ เพื่อนคนนี้ชื่อ ‘ปลา’ ด้วยความที่ครอบครัวทำมาค้าขาย พ่อแม่สนับสนุนเต็มที่ หมี่ขาวจำได้ว่ามีช่วงหนึ่งปลาอยากเก่งภาษาอังกฤษ เธอซื้อแผ่นเกม Assasin’s Creed มาเล่น เปิดโหมดเสียงภาษาอังกฤษและซับภาษาอังกฤษ ฝึกอยู่พักหนึ่งปลาก็เริ่มคล่องภาษาอังกฤษ และเริ่มเพิ่มระดับตัวเองด้วยการอ่านหนังสือนอกเวลาของ Oxford

หมี่ขาวมักจะไปนอนบ้านปลาและกินข้าวฟรีอยู่เป็นประจำ อาศัยช่วงที่ปลาตั้งใจอ่านหนังสือเล่นเกม Pharaoh เธอจะอ่านหนังสือเรียนบ้างเมื่อเห็นว่าปลาเพื่อนของเธอตั้งใจอ่านหนังสือเกินไปจนรู้สึกละอาย

ตอนสมัครสอบโควตา มหาวิทยาลัย C กำหนดให้เลือกได้สองอันดับ ปลาเลือกอย่างมั่นใจ

1.คณะแพทยศาสตร์

2.คณะทันตแพทยศาสตร์

หมี่ขาวคอตก

ฉันขี้เกียจแบบนี้ ไม่อยากเรียนหมอ ไม่เอาสายการแพทย์ ไม่อยากเป็นครู

แล้วเธอเกิดความคิดบ้าบิ่นขึ้นมา เพราะตอนนั้นเธออยากแอดมิชชั่นเรียนฟิสิกส์วิทยาศาสตร์ในมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศ

คนอื่นอาจจะคิดว่าไกลเกินฝัน แต่สำหรับเธอนั้นไม่เคยคิดว่าความฝันอยู่ไกลเกินเอื้อม

สุดท้ายก็เลือกสิ่งที่บ้าบิ่นที่สุดสำหรับตัวเอง

1.คณะแพทยศาสตร์

2.คณะวิศวกรรมศาสตร์

เพื่อนอีกสี่คนที่เหลือซึ่งช่วงนั้นแทบไม่ได้คุยกัน ต่างก็เลือกคณะสายการแพทย์ ทุกคนมีความฝัน ความฝันของเด็ก ม.6 ทุกคนคือได้เรียนในคณะที่ชอบ มหาวิทยาลัยที่ใช่

ช่วงสอบหมี่ขาวถือว่าเป็นเด็กขยัน หมายถึงว่าขยันกว่าช่วงปกติ 30% ซึ่งตัวเลขนี้ค่อนข้างน่าตกใจ เพราะเธอยังคงไปร้านเกมและเช่านิยายมาอ่านได้ทุกวัน สำหรับเด็กที่ไม่ค่อยเรียนพิเศษอย่างเธอ ยังมีความสุขในการอ่านนิยายมากกว่าอ่านหนังสือเรียนสุดๆ แต่ว่าเธอไม่สามารถละทิ้งอนาคตได้ กลัวว่าถ้าหากไม่กระตุ้นตัวเองสักหน่อย แม้ว่าจะเป็นเด็กฉลาดขนาดไหนก็พลาดได้ และแม่ของเธอคงเสียใจถ้าหากเธอยังไม่สนใจอนาคตของตัวเอง

ที่จริงผลการสมัครรับตรงของมหาวิทยาลัยอื่นส่งมาแล้ว แต่หมี่ขาวไม่ได้ตอบรับ ที่จริงเธอเคยยื่นสมัครคณะโบราณคดีของมหาวิทยาลัยหนึ่ง แต่ดันลืมจ่ายค่าสมัคร เธอคิดว่าถ้าครั้งนั้นสมัครสอบแล้วติด ชีวิตนี้เธออาจไม่ต้องเรียนเคมีอีกเลยตลอดชีวิต

ใช่...เด็กเรียนดีก็มีวิชาที่เกลียด

เธอเกลียดเคมี

ความขยันของหมี่ขาวเพิ่มมาเป็น 50% ในช่วงอาทิตย์สุดท้ายก่อนสอบโควตา ในวันสอบนั้น เด็กศิลป์จะได้รับข้อสอบหมวดวิชาวิทยาศาสตร์คนละฉบับกับเด็กสายวิทย์ และจะมีเวลาในการทำข้อสอบน้อยกว่าเด็กสายวิทย์ 90 นาที

หมี่ขาวทำชีววิทยาก่อน เพราะเธอไม่ถนัด แต่ก็ไม่ได้ย่ำแย่แบบเคมี ฟิสิกส์คือวิชาสุดท้ายที่เธอเลือกทำ และขณะที่เธอเพิ่งเริ่มทำวิชาฟิสิกส์ กริ่งของโรงเรียนก็ดังขึ้น

หมี่ขาวสะดุ้ง เธอลุกขึ้นแล้วสบถในใจว่า ฉิบหายแล้ว

อาจารย์คุมสอบเกือบเดินมาเก็บข้อสอบแล้ว ตอนนั้นสติของเธอกระเจิดกระเจิง หมี่ขาวรีบฝนข้อสอบอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งผ่านไปราวห้านาที มีอาจารย์อีกคนหนึ่งเข้ามาบอกว่าเป็นกริ่งของสายศิลป์ สายวิทย์ยังมีเวลาทำอีกเหลือเฟือ

หมี่ขาวถึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก

แต่ช่วยไม่ได้ สติเธอกระเจิงไปนานแล้ว ได้แต่น้ำตานองในอกเพราะเนื้อหาที่อ่านมาไหลออกไปตั้งแต่ตอนที่กริ่งดังแล้ว

วิชาสุดท้ายของการสอบโควตา สำหรับคนที่เลือกคณะวิศวกรรมศาสตร์ มันคือการสอบพื้นฐานทางวิศวกรรม

มันคือข้อสอบเชาวน์ปัญญา เธอเคยผ่านหูผ่านตามาบ้างตอนสอบวัด IQ ในห้องเรียนพิเศษ ดังนั้นมันค่อนข้างมองออกง่าย ที่ง่ายที่สุดคือ Drawing หมวดนี้เป็นการมองภาพรูปทรงต่างๆ เธอผ่านมันไปอย่างง่ายดาย

ผลสอบออกมาในเย็นของวันหนึ่ง เป็นวันเดียวกับที่แม่พาเธอไปสอบถามพี่คนหนึ่งที่เรียนมหาวิทยาลัยดังในกรุงเทพ เพราะแม่ไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะให้เธอไปสอบสัมภาษณ์มหาวิทยาลัยแห่งนั้นดีหรือไม่

แต่สุดท้ายแม่ก็ตัดสินใจได้ เพราะลูกพี่ลูกน้องของเธอดันมาบอกว่า

“อย่าให้น้องไปเลยอา ร้านเหล้าเยอะ”

เย็นวันนั้นเพื่อนรักอีกคนของหมี่ขาวโทรมา บอกว่าเธอติดคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมไฟฟ้า

หมี่ขาวสมองลัดวงจรไปพักใหญ่ ไม่ใช่ว่าผิดหวังที่ไม่ติดหมอ แต่ที่อึ้งเพราะเธอไม่คิดหวังว่าจะติดโควตา แถมตอนนั้นยังไปบนไว้ดิบดีว่าจะกินเจถ้าติดคณะอะไรก็ได้

ส่วนแม่นอยด์ไปพักใหญ่ เพราะแม่ไปบนขอให้ลูกสาวติดหมอ

ลูกสาวมารู้ทีหลังหัวเราะไม่ออก เธอไม่คิดว่าแม่จะคาดหวังให้เธอเรียนหมอขนาดนั้น อีกอย่างไฟในใจของเธอดับไปนานแล้วตั้งแต่ตอนที่เสียคุณยายไป เส้นทางการเป็นหมอของเธอปิดลงตั้งแต่ตอนนั้น

เหลือเพียงความฝันเล็กๆ ที่ซ่อนไว้ตั้งแต่ประถม

ฉันอยากทำงานกับ NASA

เพื่อนของเธอคนที่โทรมานั้นติดทันตแพทยศาสตร์ ส่วนปลาติดแพทยศาสตร์ และเพื่อนอีกสี่คนยังไม่มีที่เรียน มันเป็นเรื่องน่าเศร้า แต่ชีวิตเด็ก ม.ปลายไม่ได้มีทางเลือกมากเหมือนกันทุกคน

ตัดมาที่ตอนสอบสัมภาษณ์ อาจารย์ผู้สัมภาษณ์สอบถามเธอว่าทำไมถึงอยากเรียนวิศวะ หมี่ขาวยิ้มเขินๆ บอกตามตรงด้วยความรู้สึกแรงงกล้า

“หนูชอบเอนจิเนียร์ในเกมยูริมากเลยค่ะ หนูอยากเป็นแบบนั้น”

อาจารย์หัวเราะ บอกว่าเรียนวิศวะยากนะ จะไหวเหรอ หมี่ขาวยิ้มแห้ง จากนั้นก็จบการสัมภาษณ์แบบงงๆ

ล่วงเข้าสู่ปีที่สาม เธอกำลังจะเป็นพี่ว้าก หลังจากผ่านการรับน้องในปี 1 ผ่านเสียงหัวเราะและกิจกรรมต่างๆ ในมหาวิทยาลัย จากเฟรชชี่ก้าวเข้าสู่ปีสอง จากปีสองก้าวเข้าสู่ปีสาม ผ้าคาด SOTUS ในปีนี้ของเธอกลายเป็นสีขาวแล้ว

มันเป็นเช้ามืดของวันขึ้นดอย

หมี่ขาวหัวเราะกับตัวเอง เธอทอดสายตามองรุ่นน้องปี 1 ที่ยังไม่ถูกเรียกน้อง มองเด็กน้อยทั้งหลายด้วยสายตาของรุ่นพี่ที่ผ่านชีวิตมหาวิทยาลัยมาพอควร ราวกับผู้เฒ่าในนวนิยายกำลังภายในที่ทอดสายตามองศิษย์ใหม่ก้าวเข้าสู่พิธีการของสำนัก

วันที่พี่จะได้เรียกน้อง

วันที่ลูกช้างจะได้ไหว้พระธาตุ

วันที่เสลี่ยงของเกียร์สายฟ้าจะเหินขึ้นดอย

ในช่วงเวลาที่คล้ายกันเมื่อสองปีก่อน เธอยังไม่เข้าใจเลยว่าเพราะเหตุใดฝนถึงตกในวันที่เปิดสายรหัส สวนสนเต็มไปด้วยรุ่นพี่เกียร์ต่างๆ และต่อมาไม่นานนัก ก่อนเธอจะขึ้นปี 2 ชั้นปีของเธอก็ได้เสื้อช็อป...เกียร์สายฟ้า

หมี่ขาวยิ้มกับธงเกียร์ที่โบกพลิ้ว หวังว่าปีนี้ฝนจะไม่ตก

เพราะสายฟ้า...มากับสายฝน