บทที่ 10 วันไหว้บรรพชน
บทที่ 10 วันไหว้บรรพชน
เช้าวันถัดมากู้ชิงอวิ๋นต้องการที่จะไปตรวจของท่านย่า เพราะหลังจากวันนั้นนางเพียงให้อาหนิงนำยาไปส่งเท่านั้น เพราะหลังจากที่ได้ยาของนางอาการของท่านย่าก็ดีขึ้นมาก เรือนของท่านย่าเป็นเรือนเล็กริมสวนหินด้านในสุดของจวนแม่ทัพ แม้จะมีตำแหน่งเป็นผู้อาวุโสสูงสุดในตระกูล แต่เรือนของท่านกลับเงียบเหงาและเรียบง่ายจนน่าใจหาย
ลมฤดูปลายใบไม้ผลิพัดผ่านพุ่มเหมยทำให้กลีบดอกสีจางปลิวลงสู่พื้น กู้ชิงอวิ๋นถือกล่องยาขนาดเล็กเดินตรงเข้าไปด้านในเงียบ ๆ พร้อมห่ออาหารที่ห่อผ้าลายเมฆบางเบาอย่างประณีต วันนี้นางยังคงสวมผ้าบางปิดใบหน้าอยู่เพราะว่ายังไม่อยากจะให้ผู้ใดเห็นถึงความเปลี่ยนแปลง
ภายในห้อง ท่านย่าของนางนั่งพิงหมอนหนุนบนเตียงไม้หอม เสื้อผ้าของนางสะอาดเรียบแต่เรียบง่าย แววตาที่เคยคมดุของอดีตฮูหยินผู้ยิ่งใหญ่ บัดนี้อ่อนล้าราวเปลวเทียนที่ใกล้มอดดับหากว่าไม่ได้รับการดูแลบังแดดลม
“ท่านย่าเจ้าคะ” กู้ชิงอวิ๋นย่อตัวคำนับอย่างอ่อนโยน
หญิงชราลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า ดวงตาที่เคยหม่นมัวกลับสว่างขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นหลานสาว
“อวิ๋นเอ๋อร์...วันนี้มาแต่เช้าเชียวนะ”
“วันนี้อากาศดี ข้าจึงอยากมาเยี่ยมท่านย่า และ...” นางยื่นกล่องหยกเล็กออกมา
“...นำยาบำรุงมาให้เจ้าค่ะ”
กล่องหยกนั้นงดงามเรียบง่าย ภายในบรรจุยาเม็ดสีเขียวอ่อนกลิ่นหอมจาง ๆ ซึ่งแท้จริงแล้วคือ ยาฟื้นฟูเส้นลมปราณและบำรุงหัวใจ จากมิติหีบโอสถ วันนี้นอกจากจะนำยามาแล้วนางก็เปิดห่อผ้าอีกชั้นออก เผยอาหารร้อนที่ยังอุ่นไออยู่ภายในข้าวต้มหอมกลิ่นโสมอ่อน ๆ ซุปกระดูกตุ๋นผลไม้จีน และผลไม้ที่ฝานบางราวกลีบดอกไม้
อาหารเหล่านี้ล้วนมาจากมิติของนาง แต่เลือกออกมาเพียงพอประมาณ ไม่โอ่อ่าจนเกินไป เพื่อไม่ให้ผิดสังเกต
“วันนี้ข้าลองปรุงซุปด้วยตัวเองเจ้าค่ะ ท่านย่าลองชิมดูนะเจ้าคะ”
ท่านย่าที่เคยนั่งพิงหมอนจนแทบลุกไม่ไหว บัดนี้กลับเริ่มลุกขึ้นพิงตัวเองได้ด้วยแววตาที่แจ่มใสขึ้นผิดหูผิดตา
“วันนี้รู้สึกตัวเบากว่าทุกวันเลย อวิ๋นเอ๋อร์ ซุปนี้เจ้าทำเองอีกหรือ?” หญิงชราถามขณะตักซุปขึ้นช้า ๆ
กู้ชิงอวิ๋นยิ้มละมุน “เจ้าค่ะ ท่านย่า ข้าเปลี่ยนตัวยาเล็กน้อย เพิ่มรากขิงอ่อนและผลเก๋ากี้ลองชิมดูเจ้าค่ะ"
ท่านย่าลองช้อนขึ้นมาชิม ริมฝีปากสั่นเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ “กลิ่นสมุนไพรไม่แรง...แต่อุ่นท้องดีนัก”
“มันจะช่วยให้ท่านย่าหลับได้ดีขึ้นเจ้าค่ะ” กู้ชิงอวิ๋นยิ้มอบอุ่น แล้วค่อย ๆ หยิบกล่องเขียนลายหยกออกมา
“ข้าอยากตรวจชีพจรของท่านย่าสักหน่อยเจ้าค่ะ”
หญิงชรามิได้ขัดขืน ยื่นข้อมือให้โดยดี กู้ชิงอวิ๋นจับชีพจรเงียบ ๆ ด้วยใบหน้านิ่งสงบ แต่ในใจพลันสั่นไหวเล็กน้อย
ชีพจรอ่อนแรง ปลายเย็น และมีพิษแฝงรบกวนตับม้ามเรื้อรัง...
นางรู้ดีว่าถ้ายังปล่อยให้ฮูหยินรองดูแลอาหารและยาอย่างที่ผ่าน ๆ มา อีกไม่นานท่านย่าคงหมดเรี่ยวแรงเกินกว่าจะตื่นขึ้นไหว
ภายในห้องเรือนเยียบเงา แสงแดดอ่อนของยามสายส่องลอดม่านผ้าลินินบางสีขาวเข้ามาเป็นลำ เสียงลมหายใจของหญิงชราดังแผ่วสม่ำเสมอ ขณะที่กู้ชิงอวิ๋นค่อย ๆ ถอนปลายนิ้วจากจุดชีพจรของท่านย่า ดวงหน้านางเรียบนิ่ง แต่ภายในใจกลับซ้อนเร้นไปด้วยความหนักแน่น
นางมิได้เอ่ยสิ่งใดออกมา เพราะรู้ดีว่าคำพูดในยามนี้ไม่สำคัญเท่าการกระทำ ใต้ดวงตาคู่นั้นคือประกายที่แน่วแน่
ในขณะที่นางกำลังจัดเก็บกล่องหยกและผ้าขาวบางลงในห่อผ้า ท่านย่าที่พิงหมอนอยู่ก็พลันเอ่ยขึ้นเสียงเบา ดั่งเสียงลมที่พัดเฉื่อย
“อีกสองวัน...จะถึงวันไหว้บรรพชนของตระกูลกู้แล้วสินะ?”
เสียงนั้นแผ่วเบาราวกับเอื้อนเอ่ยถึงอดีตอันเลือนลาง นัยน์ตาคู่พร่านั้นหรี่ลง พลางมองออกไปยังเงาของกิ่งเหมยที่ไหวเอนอยู่ภายนอกหน้าต่าง
“วันนั้น...เจ้าสามก็คงจะกลับมาด้วย”
เจ้าสาม—แม่ทัพกู้เจิ้งเทียน บุตรชายคนสุดท้องที่ยังคงกลับมาทุกปีไม่เคยขาด แต่คนอื่นเล่า...
ท่านย่าเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนจะหลุบเปลือกตาลงอย่างอ่อนล้า มือที่ถือช้อนข้าวต้มค้างกลางอากาศ น้ำเสียงของนางแผ่วลงจนแทบเป็นเพียงเสียงสะท้อนในอก
“หลายปีมานี้ ลูกหลานเหล่านั้น...ตั้งแต่ย้ายออกไป ก็ไม่มีใครกลับมาเยี่ยมข้าอีกเลย ไม่มีแม้แต่เงา”
น้ำเสียงของหญิงชราฟังดูอ่อนแรงราวกับกำลังกล่าวถึงเรื่องธรรมดา หากแต่ทุกถ้อยคำกลับเสียดแทงราวเข็มเล่มบาง
“พวกเขาส่งเพียงของขวัญหรูหรา ส่งจดหมายสั้น ๆ แต่ไม่เคยส่งตนเองมา...ไม่มีใครรู้เลยว่า ข้าไอจนต้องลุกมานั่งพิงหมอนทุกคืน ไม่มีใครรู้เลยว่าข้าต้องอยู่กับความเงียบเชียบที่กัดกินหัวใจ…ทุกวัน”
นางเม้มริมฝีปากแน่น เสียงขาดห้วง
“พวกเขาทิ้งข้าไว้ให้ดูแลโดยคนที่…แม้แต่คำถามว่ายาในถ้วยข้าคืออะไร ยังไม่เคยเอ่ยเลยแม้สักคำ”
กู้ชิงอวิ๋นเงยหน้าขึ้น ดวงตาสั่นไหวเล็กน้อยก่อนจะคลี่ยิ้มอ่อนโยน นางลุกขึ้นช้า ๆ แล้วขยับเข้าใกล้ ใช้ผ้าเนื้อดีในมือตนซับหยดน้ำใสที่คลออยู่บนแก้มของหญิงชรา
“จากนี้...จะไม่เป็นเช่นนั้นอีกแล้วเจ้าค่ะ ข้าสัญญา”
ท่านย่าชะงักไปครู่หนึ่ง ดวงตาพร่านั้นประสานกับแววตาเด็ดเดี่ยวของหลานสาว แล้วพลันเผยรอยยิ้มจาง ๆ ที่ห่างหายจากใบหน้านี้มานานหลายปี
“อวิ๋นเอ๋อร์...เจ้าช่างเปลี่ยนไปนัก...ตั้งแต่กลับมาครั้งนี้ เจ้ามิใช่เด็กสาวที่เอาแต่หลบอยู่หลังม่านอีกต่อไป เจ้าเป็นผู้เป็นคนมากขึ้น…มั่นคงดั่งรากไม้ใหญ่ที่หยั่งลึกสู่ผืนดิน”
กู้ชิงอวิ๋นหัวเราะเบา ๆ ทั้งน้ำเสียงและแววตาเต็มไปด้วยความสงบสุขที่เกิดจากการตื่นรู้
“ข้าแค่ได้สติ...จากความเจ็บปวดที่ผ่านมา ข้าไม่อาจปล่อยให้ท่านย่า หรือแม้แต่ตัวข้าต้องถูกเหยียบย่ำอีกต่อไป”
คำพูดของนางมิได้มีความเศร้าสร้อยอีกต่อไป แต่เป็นถ้อยคำที่เต็มไปด้วยพลังของผู้หญิงผู้หนึ่งผู้ที่ลุกขึ้นมาเผชิญโลกด้วยจิตใจที่ยิ่งใหญ่กว่าร่างกาย
และในดวงตาของหญิงชรา...เริ่มมีแสงแห่งความหวังจุดขึ้นอีกครั้ง
ฮูหยินผู้เฒ่านั้นรู้ว่านางหมายถึงสิ่งใด นางเพียงตบหลังมือเบา ๆ
ณ เรือนหลัก ขณะเดียวกัน
ในโถงรับแขกฮูหยินรองหลิวซื่อกำลังนั่งจิบชาเบา ๆ พลางกวาดตามองบ่าวไพร่ที่รายงานข่าวมาอย่างเงียบงัน
“วันนี้คุณหนูใหญ่ออกไปเรือนแต่เช้าอีกแล้วเจ้าค่ะ ฮูหยิน”
“อีกแล้วหรือ?” หลิวซื่อวางถ้วยชาลงอย่างแผ่วเบา แต่ปลายนิ้วกลับบีบฝาถ้วยแน่นจนสั่นเล็กน้อย
“นางเอาอะไรไป?”
“ดูเหมือนจะเป็นห่อผ้าลายเมฆเจ้าค่ะ บ่าวไม่เคยเห็นมาก่อนเจ้าค่ะ”
หลิวซื่อหรี่ตาลง...กลิ่นไม่ดีเริ่มโชยมาแตะปลายจมูก
“ฮูหยิน...ท่านจะให้คนไปสืบหรือไม่เจ้าคะ?”
“ยังไม่ต้อง...แต่จงจับตาดูการเคลื่อนไหวของนางไว้ อย่าให้คลาดสายตา” น้ำเสียงเยียบเย็นเจือรอยหงุดหงิด
ตั้งแต่วันที่นางเริ่มรู้ว่าเงินจากร้านผ้าและร้านโอสถถูกตรวจสอบโดยคำสั่งของ คุณหนูใหญ่ใจของนางก็ไม่เคยสงบอีกเลย
และบัดนี้แม้แต่ท่านย่าที่เคยป่วยจนเกือบเป็นเพียงรูปเคารพ…ยังกลับมามีชีวิตชีวาได้เพราะมือของนางนั่น
“จะให้ข้าไม่มีที่ยืนภายในจวนนี้เลยใช่หรือไม่?” หลิวซื่อบีบฝ่ามือแน่น ดวงตาวาวขึ้นอย่างอันตราย
ค่ำวันเดียวกัน
อาหนิงเดินเข้ามากระซิบกับกู้ชิงอวิ๋นเบา ๆ
“คุณหนูเจ้าคะ...ข้าน้อยรู้สึกเหมือนมีใครแอบสังเกตเราระหว่างที่กลับเรือนเมื่อครู่เจ้าค่ะ”
กู้ชิงอวิ๋นวางตำราสมุนไพรลง เงยหน้าช้า ๆ แววตาทอแสงเย็น
“หลิวซื่อเริ่มระแวงแล้วสินะ...เร็วกว่าที่ข้าคิดไว้”
นางเดินไปยังหน้าต่าง เปิดรับสายลมยามค่ำที่พัดแผ่วผ่านม่านไหม
“แต่ยิ่งนางรีบแสดงไพ่เร็วเท่าใด ข้าก็จะยิ่งรู้ว่าควรทุบมือไหนก่อน”
นางยิ้มบาง ก่อนหันกลับมา
“อาหนิง เจ้าจงไปจัดเตรียมทุกอย่างให้พร้อมสำหรับพิธีไหว้บรรพชนอีกสองวันข้างหน้า เราต้องให้ท่านย่าได้กลับไปยืนหยัดอีกครั้ง...ในฐานะผู้อาวุโสของตระกูลอย่างแท้จริง”
และในคืนเงียบงันนั้นเอง...
ณ โถงกลางจวน กู้ชิงอวิ๋นจุดตะเกียงน้ำมันดอกเหมยแสงนวล บนโต๊ะเบื้องหน้าคือรายชื่อบ่าวไพร่ในจวนแต่ละชื่อ…ค่อย ๆ ถูกขีดแบ่งออกเป็น คนที่จงรักภักดี กับ ผู้ที่น่าระแวง
และเมื่อพรุ่งนี้มา...
ตระกูลกู้จะเริ่มเปลี่ยนฟ้าเสียที
///
เสียงฆ้องแตรแว่วมาแต่ไกล ประตูหน้าจวนแม่ทัพเปิดกว้างรับขบวนม้าผู้ทรงอำนาจที่เพิ่งกลับมาจากชายแดน ขบวนของทหารติดตามลดหลั่นอย่างเป็นระเบียบ ทว่าเมื่อเทียบกับอดีตกลับบางตายิ่งนักบ่งบอกถึงความโปรดปรานอย่างชัดเจน
ภายใต้แสงอาทิตย์ยามเช้า ชายผู้หนึ่งก้าวลงจากหลังม้าอย่างสง่างาม เขาคือ แม่ทัพกู้เจิ้งเทียน ผู้เคยสะเทือนทั้งแผ่นดินด้วยเสียงกระบี่ในสงคราม
วัยสี่สิบต้น ๆ หากกล่าวเพียงรูปลักษณ์แล้ว กู้เจิ้งเทียนก็มิผิดไปจากเทพเซียน ใบหน้าคมคาย เส้นคิ้วดกดำเรียงชิดราวภาพวาด ขอบตาลึกซ่อนแววคมเข้มประหนึ่งสายลมกร้าวในสนามรบ กระดูกกรามแข็งแรง กายสูงสง่าประหนึ่งต้นสนเหมันต์ ทว่าความเหนื่อยล้าและความทรุดโทรมก็แผ่ชัดเหนือออร่าทั้งมวล
เส้นผมของเขาเริ่มแซมขาวบางเบา คิ้วที่เคยตึงแน่นกลับปรากฏรอยเงาลึก พวงแก้มตอบลงเล็กน้อย ใต้ดวงตานั้นคล้ำราวนอนไม่เต็มตื่นมานับเดือน แม่ทัพผู้เคยสะกดสนามรบ บัดนี้กลับกลายเป็นผู้ชายที่ไม่แม้แต่จะจัดชายผ้าอย่างเรียบร้อยให้ตนเอง
เขากวาดตามองจวนเงียบ ๆ พลางถอนหายใจอย่างแผ่วเบา
“บ้าน...กลับมาแล้วหรือไม่กลับมาเลย ดูจะไม่ต่างกันกระมัง”
เขาพึมพำเสียงเบา แล้วเดินตรงไปยังศาลบรรพชนที่อยู่กลางจวน
พิธีไหว้เจ้าบรรพชนประจำปีคือธรรมเนียมของตระกูลกู้มาแต่โบราณ ทว่านับแต่กู้เจิ้งเทียนออกไปรับราชการและขลุกอยู่ในสนามรบ พิธีก็เหลือเพียงพิธีกรรมเปล่าเปลือกที่หลิวซื่อจัดการทุกปีด้วยความเย็นชา
ทว่าปีนี้...ต่างออกไป
ภายในศาลบรรพชน กลิ่นธูปจาง ๆ ลอยคลุ้ง ผ้าไหมสีแดงเข้มประดับรอบเสาหลัก ตั่งบูชาสะอาดสะอ้าน ประดับด้วยผลไม้นานาชนิดที่ดูสดใหม่ แสดงให้เห็นถึงการจัดเตรียมด้วยความเคารพ
ตรงหน้าตั่ง กู้ชิงอวิ๋นยืนรออยู่ก่อนแล้ว นางแต่งชุดผ้าไหมสีกลีบบัว ร้อยผมเป็นทรงสูงแบบกุลสตรีในพิธี แววตาสงบนิ่งแต่เปี่ยมด้วยพลัง ใบหน้ายังคงมีผ้าบางปิดอยู่
เมื่อกู้เจิ้งเทียนมาถึง ดวงตาเขาก็สะดุดอยู่กับบุตรสาวผู้นั้นครู่หนึ่ง
“อวิ๋นเออร์รึ?” เขาเอ่ยชื่อนางอย่างเงียบงัน
หญิงสาวย่อตัวคำนับงามสง่า “บุตรหญิงกู้ชิงอวิ๋น ขอคารวะท่านพ่อเจ้าค่ะ”
กู้เจิ้งเทียนมองนางนิ่งงัน ยามนั้นแม้ดวงจิตจะเหนื่อยล้าเพียงใด แต่แววตาเขากลับค่อย ๆ เปลี่ยนไป นี่หรือ...คือบุตรสาวที่เคยถูกนางหลิวบอกว่า
“อ่อนแอ งุ่มง่าม หน้าตาอัปลักษณ์ น่าอับอายจนมิกล้าให้ออกงาน” ? ราวกับนางกลายเป็นอีกคนโดยสิ้นเชิง เมื่อมองบุตรสาวเขาก็พยักหน้าให้หนึ่งครั้งก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน
ขณะนั้นเอง หลิวซื่อและบุตรสาวของนางก็เข้ามาในเรือนพร้อมทั้งบ่าวรับใช้กลุ่มหนึ่ง
“ท่านพี่กลับมาเสียที น้องหญิง เฝ้านับวันรอท่านแทบทุกคืนเจ้าค่ะ” หลิวซื่อเอ่ยด้วยรอยยิ้มจอมปลอม ขณะเดียวกันหลิวชิวเหลียนก็รีบเดินเข้ามาและเอ่ยเบาๆ
“ท่านลุงเดินทางเหนื่อยหรือไม่เจ้าคะ?”
แต่สายตาของกู้เจิ้งเทียนมองไปยังสองแม่ลูกก่อนจะเอ่ยว่า
“ข้าสบายดี...กลับมาเพื่อเคารพบรรพชน หาใช่มาฟังคำประจบประแจงของใคร”
ถ้อยคำนั้นเรียบง่าย แต่หลิวซื่อถึงกับเม้มริมฝีปากเล็กน้อย แววตาฉายรอยไม่พอใจ แต่ทว่ากู้เจิ้งเทียนก็เป็นเช่นนี้มาตลอด …ตั้งแตตอนที่..นางแอบปีนเตียงเขาจนกระทั่งเขาต้องรับนางเข้ามาในจวน…นางได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ
****มันมีสาเหตุที่เขาเย็นชาอยู่นะ***
