บท
ตั้งค่า

ตอนที่หนึ่ง ครอบครัวอลวน 2

ทุกวินาทีและทุกย่างก้าวที่หล่อนไหวตัวทุกคนต้องรับรู้ ทุกอย่างที่หล่อนจะทำต้องผ่านการเห็นชอบจากผู้คุมวิญญาณทั้งสี่... ตอนเด็กๆ หล่อนก็พอทนได้ เเต่พอเริ่มโตมาแล้วรู้สึกว่าอิสระในชีวิตเริ่มหดหาย เพื่อนชายก็ไม่มีใครกล้าคบ ขนาดว่าเป็นสาวประเภทสองที่บ้านยังไม่ให้หล่อนเฉียดกรายเข้าใกล้ ยกเว้นว่าจะไปแปลงเพศมาเสียก่อน...

ด้วยความอึดอัดจนทนไม่ไหว ไอยวรินทร์เลยเริ่ม เเหกคอกที่บ้านตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะเป็นการหนีออกจากบ้านไปช็อปปิ้งโดยไร้บอดี้การ์ด แอบหนีไปเที่ยวต่างประเทศกับเพื่อน ทุกครั้งที่ทำได้มันทำให้หล่อนสนุกสนานเหลือจะกล่าว ยิ่งได้รู้ว่าสร้างความอลหม่านให้ผู้คุมวิญญาณทั้งสี่แล้วหล่อนก็ยิ่งนึกสนุก ครั้งต่อมาก็ทำยากขึ้น แต่มันก็เป็นความท้าทายอย่างยิ่ง... ยิ่งครั้งล่าสุดที่หล่อนกำลังทำอยู่นี่ ถือว่าเป็นสุดยอดเเห่งความท้าทายก็ว่าได้ เพราะมันเป็นการทิ้งทวนก่อนจะไว้ลายมาตั้งตัวเป็นคนดี... และตอนนี้สี่ผู้คุมวิญญาณตรงหน้ากำลังสงสัยในตัวหล่อนอย่างเห็นได้ชัด ถึงจะหวาดหวั่นแต่มันก็น่าสนุก ที่จะเบี่ยงประเด็นไม่ให้ใครรู้เห็นและจับได้...

"ยัยอัยย์ แม่สอนกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเดินห่อไหล่ มันเสียบุคลิก" เสียงผู้เป็นมารดาเอ่ยออกมาก่อน... ลูกสาวคนเล็กจึงเดินเชิดตรงเเหนวและทำท่าเหมือนทหารเดินสวนสนามประชด

"มานี่เลยอัยย์... มาให้เราสบสวนซะดีๆ ต้มเราซะเปื่อยเลยนะ" ไอศวรเดินมาลากเเขนเเฝดผู้น้องไปนั่งแหมะอยู่กลางโซฟาที่ประจำ ที่ตรงนี้ยามครอบครัวอบอุ่นเป็นสุขมันก็เป็นเก้าอี้เเสนนุ่มที่น่านั่ง ยิ่งยามอยู่พร้อมครอบครัว ทำกิจกรรมอะไรสักอย่างมันก็โอเคดี แต่ยามที่ไอยวรินทร์ซ่าและโดนจับได้ขึ้นมาเมื่อไร เก้าอี้ตัวนี้ก็เหมือนเก้าอี้ที่ผู้ร้ายนั่งเวลาถูกสอบสวนดีๆ นี่เอง...

เเต่... ไอยวรินทร์กลัวที่ไหนล่ะ

"ก็ใครบอกให้อินน์เผลอเข้าห้องน้ำนานกันล่ะ อัยย์อยากแกล้งก็เลยจ่ายเงินแล้วชิ่งกลับบ้านก่อน ตัวเองเปิดทางให้เค้าหนีเอง เค้าแค่อยากให้ตัวเองลองฝึกวิชาบอดี้การ์ด แต่ตัวเองสอบตกเองนะอินน์ สงสัยห่างภาคปฏิบัตินานเลยลืมวิชา" ไอยวรินทร์ยักไหล่ให้เเฝดผู้พี่ที่หล่อนไม่ยอมเรียกว่าพี่ชาย วันนี้หล่อนไปทานอาหารที่ภัตตาคารอาหารญี่ปุ่นในย่านพระรามเก้ากับไอศวรสองคน และแอบแยกตัวออกไปทำธุระ แน่นอนว่ากลับมาแล้วทุกคนต้องถาม หล่อนก็มีข้ออ้างไว้ตอบดังที่บอกไปแล้ว

“ยัยแสบ ตัวเองอ้อนให้เราพาออกนอกบ้านแล้วชิ่ง คราวหลังโดนพ่อกักบริเวณอีก เค้าไม่พาออกไปไหนแล้ว” ไอศวรบอกน้องสาวโกรธๆ ไอยวรินทร์หนีไปเที่ยวกับก๊วนเพื่อนกลับมาได้อาทิตย์กว่าแล้ว ตอนที่หล่อนกลับมานั้นบิดาก็ลงโทษกักบริเวณหล่อนไม่ให้ออกจากบ้านหนึ่งเดือน โทษฐานหนีเที่ยว... แต่น้องสาวฝาแฝดมาออดอ้อนทั้งน้ำตาให้เขาพาออกจากบ้านเพราะเบื่อ เขาจึงสงสารรับรองกับบิดาว่าจะพาน้องสาวไปเองและจะดูแลอย่างดี แต่น้องสาวเขาแอบหนีเขาไป จนเขากลับบ้านมาต้องโดนบิดาดุเสียอย่างนั้น...

“ไอ้ที่หนีกลับบ้านก่อนไม่เป็นไร ตามปรกติแล้วห้างใกล้บ้านแค่นี้ อัยย์ต้องกลับมาถึงบ้านตอนแยกกับอินน์ภายในสี่สิบห้านาที แต่อัยย์หายไปห้าชั่วโมง ไปไหนมา” เสียงอนันต์ชัยถามเสียงเข้ม...

หัวข้อนี้ ไอยวรินทร์ไม่ได้เตรียมมา แต่หล่อนก็ยังลื่นไหลได้เสมอ...

“ก็เผื่อเวลาให้อินน์ตามหาไงพี่อัณณ์ หนีตั้งนานก็ยังหาอัยย์ไม่เจอ อัยย์เบื่อเล่นซ่อนหาเลยกลับบ้าน”

“จริงเหรออัยย์” ผู้เป็นมารดาถาม

“จริงค่ะ” ลูกสาวคนเดียวตอบหน้าเป็น แต่นิ้วเรียวเล็กแอบไขว้กันหราอยู่ที่หลังกระเป๋าเป้พายข้างใบโต

“เนียน โกหกได้ก็เนียนไป... แล้วไหนลองอธิบายมาซิว่านี่คืออะไร” มารดาหล่อนหยิบกล่องไปรษณีย์มาแกะออก แล้วยกชุดอาบาญ่าที่ผู้หญิงอาหรับสวมใส่กันในประเทศมุสลิมที่ ไอยวรินทร์สั่งทางไปรษณีย์มาชูให้หล่อนดู

“และนี่ด้วย ไอแพดอัยย์ที่โปรแกรมเสิร์ชเอนจิ้น มีแต่การหาข้อมูลเกี่ยวกับประเทศแลตโกเวีย รายละเอียดเกี่ยวกับข้อมูลการท่องเที่ยวของประเทศนี้... ในโปรแกรมเอกสารก็มีข้อมูลเกี่ยวกับการหัดพูดภาษาอาหรับเบื้องต้นทั้งนั้น” ไอศวรยกแท๊บเล็ตที่หล่อนฝากให้ลงโปรแกรมใหม่ให้หล่อนดู พร้อมกับใบหน้ามีคำถาม

“พี่โทรหาเพื่อนอัยย์ที่ชื่อน้องกิ๊บ น้องกิ๊บบอกว่าอัยย์อยู่อนุสาวรีย์ อินน์เลยกลับมาบ้านก่อน แล้วว่าแต่อัยย์ไปทำอะไรที่นั่น แถวนั้นมันไกลบ้านเราและไม่ใช่ทางกลับบ้านเราด้วย”

“บอกความจริงมานะอัยย์ ว่าลูกกำลังคิดอะไร อย่าคิดว่าพ่ออ่านสายตาลูกไม่ออกนะ... กำลังคิดจะก่อเรื่องอีกใช่ไหม...”

ไอยวรินทร์อ้าปากค้าง... หล่อนยืนโงนเงน ไม่ได้แกล้ง ไม่ได้แสดง แต่ตอนนี้หล่อนกำลังจะเป็นลม... และกำลังล้มลงกับพื้นจริง... ขอบคุณที่บ้านยังปูพรม หล่อนถึงได้ล้มลงระทวยไปนอนราบกับพื้นโดยที่ร่างกายไม่ได้บุบสลายอะไร

ไอศวรเดินมาที่ร่างบางที่นอนล้มลงต่อหน้าผู้คน แน่นอนว่าไม่มีใครคิดว่าหล่อนเป็นลมจริงๆ เพราะมุกนี้ไอยวรินทร์ใช้เกินห้าครั้ง สองครั้งแรกเท่านั้นที่มีคนเชื่อ แต่สามครั้งหลังโดนจับได้!

“นี่ แกล้งหรือเปล่า” เท้ายาวๆ เขี่ยที่แขนน้องสาวฝาแฝด ไร้ซึ่งการตอบสนองและการโวยวาย แสดงให้เห็นว่าเจ้าตัวไม่ได้แกล้ง เพราะถึงจะเป็นจะตายแค่ไหนยัยตัวดีต้องโวยวายที่เขาเอาเท้าเขี่ย เพราะเจ้าตัวถือมาก

“เป็นลมจริงแฮะ” แล้วอดีตนายร้อยร่างสูงก็ก้มลงอุ้มน้องสาวมาวางที่โซฟา ที่ทุกคนพร้อมใจกันลุกขึ้นให้ไอยวรินทร์ได้ไปนอนแทนที่...

แอมโมเนียถูกยื่นมาที่จมูกแล้วแกว่งไปมา... คนที่หมดสติไปคลายความกังวลและลืมตามาด้วยอาการที่แย่กว่าตอนจะเป็นลมไปเสียอีก...

“เอาเยี่ยวอูฐนรกนี่ออกจากทางเดินอากาศเข้าปอดเค้าเดี๋ยวนี้นะอินน์” หญิงสาวร้องกรี๊ดดด หล่อนเกลียดแอมโมเนียที่สุด ได้กลิ่นแล้วอยากตายเสียทุกครั้ง แต่ไอ้พี่ชายตัวดีก็เอามาให้ดม และทุกคนก็เห็นดีเห็นงามด้วย...

ตกลงว่าหล่อนเป็นลูกบ้านนี้จริงหรือเปล่า... แล้วคนในบ้านนี้รักหล่อนหรือเปล่าเนี่ย ไอยวรินทร์ชักจะสงสัยขึ้นมาเสียแล้วสิ

“ถ้าขืนเอายาดมหอมๆ ให้ดม แกก็คงแกล้งหลับไม่ยอมให้พวกฉันซักฟอกต่อน่ะสิ ลุกขึ้นมาเลยนะยัยอัยย์ แล้วอธิบายมาว่าที่แกกำลังทำอยู่มันหมายความว่ายังไง แกจะแอบหนีเที่ยวอีกหรือเปล่า” ผู้เป็นมารดาดักคออย่างรู้ทัน

ไอยวรินทร์หันหน้าเข้าหาโซฟา ดวงหน้าสวยยับย่นราวกับรันทดท้อในชีวิตมากมายเหลือแสน แล้วหล่อนก็กรี๊ดออกมาดังๆ

โธ่ถัง... ไม่รู้จะพูดอะไรจริงๆ หล่อนจะเกิดในครอบครัวที่มันอิสระกว่านี้ไม่ได้หรือไง คำถามที่ถามต่อพระเจ้าที่หล่อนมักพูดเสมอยามโดนผู้คุมวิญญาณทั้งสี่ห้ามเรื่องโน้นเรื่องนี้ ทุกคนก็จะพูดออกมาในแนวเดียวกันว่า เพราะโลกข้างนอกมันโหดร้าย หากไม่มีพ่อแม่พี่ชายคอยกางปีกปกป้อง หล่อนก็คงอยู่ไม่ได้ มันน่ารันทดที่สุด...

พอเล่าให้ใครฟังก็ไม่มีใครแปลกใจเลยที่หล่อนชอบท้าทายข้อห้ามของที่บ้านไปทำโน่นทำนี่ เพราะแรงกดดันมันมากมายอย่างนี้... หล่อนเลยดีแตกมันซะเลย...

หญิงสาวมองไปยังคนสี่คนที่ยืนค้ำเอวมองหล่อนอยู่เหนือหัวหล่อนทั้งสี่มุม แล้วก็หลบสายตาทุกคน... เสไปมองที่โซฟา

“อัยย์บอกก็ได้ แต่สัญญาก่อนนะว่าบอกแล้วจะไม่ดุอัยย์”

“ก็แหงละ... ตัวก็รู้ว่าถ้าตัวยอมรับผิดและก็ยอมสารภาพแล้วไม่ทำอะไรแผลงๆ อย่างที่ตั้งใจไว้ ก็ไม่มีใครทำอะไรตัวอยู่แล้ว” ไอศวรกล่อมอีกคน

“ความจริงแล้วอัยย์ไม่อยากจะพูดหรอก” หล่อนแกล้งเอามือมากุมแก้มตัวเองไว้ แล้วทำท่าเคลิ้มฝันให้ทุกคนสงสัยในคำพูดหล่อนเข้าไปอีก ไอ้อาการอย่างนี้น่ะทำไม่ยากเลย เพราะหล่อนน่ะ ประธานชมรมการแสดงของมหาวิทยาลัยเชียวนะ

“พูดมาสิยัยอัยย์ อย่าทำเป็นอ้ำอึ้งให้คนอยากรู้ได้ไหม” ผู้กองอัณณ์หนึ่งในห้าสิบหนุ่มหล่อนิตยสารคลีโอปีล่าสุดเค้นเสียงถามน้องสาวอย่างหงุดหงิดที่เจ้าตัวไม่ยอมพูด

“อัยย์ อ่านหนังสือนิยายทะเลทรายที่เพื่อนชอบอ่านกัน อัยย์รู้สึกว่าเจ้าชายทะเลทรายหล่อ อัยย์อยากเป็นเหมือนนางเอกนิยาย เลยซื้อชุดมาใส่ และก็หัดพูด...” ว่าแล้วหล่อนก็ทำท่าเคลิ้มฝัน หัวเราะเบาๆ กับตัวเองเขินๆ “ลองนึกภาพที่อัยย์เป็นเจ้าหญิงแขกสวยๆ แล้วเข้าพิธีอภิเษกกับเจ้าชายหน้าหล่อๆ จมูกคมๆ โอยไม่อยากจะคิด คงจะโด่งดังพอๆ กับเจ้าชายวิลเลี่ยมกับเจ้าหญิงเคทที่เป็นตำนานรักบันลือโลก” น้ำเสียงเคลิ้มฝันของหล่อนทำเอาทุกคนอึ้ง!

แล้วเท่านั้นแหละ... วงแตก ทุกคนโห่หล่อนในลำคอแล้วก็ทำเสียงจิ๊จ๊ะหงุดหงิด เหมือนว่ารำคาญหล่อนแล้วก็แยกออกนั่งโซฟาคนละทาง...

“ที่แท้ก็เพ้อฝันบ้าๆ” เสียงพี่ชายคนโตพูดออกมาเบาๆ...

ไอยวรินทร์แอบยิ้มแล้วก็ค่อนอยู่ในใจ ‘พี่อัณณ์น่ะจะรู้ทันอะไรมารยาหญิงเล่า...’

“จะบอกให้นะ พวกแขกน่ะมันซาดิสม์ โหด เถื่อน น่ากลัว ฆ่าคนเล่นเป็นผักเป็นปลา ถึงไม่ได้เป็นแบบนั้นทุกคน แต่ก็มีหลายคนที่เป็นอย่างนั้น อย่าไปเคลิ้มฝันถึงให้เสียเวลาเลยอัยย์ แถมประเทศพวกเขาร้อนก็ร้อน มองไปทางไหนก็มีแต่ทรายกับทราย ไม่เจริญหูเจริญตาหรอก” อนันต์ชัยบอก เขาเคยไปร่วมรบที่อิรักก่อนจะออกจากราชการทหาร แม้แต่ไปช่วยราชการที่แลตโกเวียก็เคย ดังนั้นมุมมองดีๆ ก็มี แต่เพื่อทำลายความฝันของน้องสาวที่เขาเข้าใจว่าเพ้อฝันไร้สาระ จึงเล่าแต่มุมร้ายออกมาให้ยัยตัวดีได้ตาสว่างเสียที...

แล้วทุกคนก็เห็นว่าการคาดคั้นหล่อนเป็นเรื่องไร้สาระ... ต่างคนต่างแยกย้ายกันออกไปที่โต๊ะอาหาร เพื่อเตรียมทานอาหารเย็นกัน...

เหลือเพียงไอยวรินทร์ ที่นอนหัวเราะอยู่บนโซฟาคนเดียว...

“เดี๋ยวอัยย์ไปเที่ยวเมืองแขกมา แล้วจะมาเถียงว่ามันไม่จริง” หล่อนพูดแล้วก็หัวเราะกับตัวเองคิกๆ อยู่คนเดียว อย่างเป็นสุขใจ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel