บทที่ 3 คนโปรดของฮองเฮา 2/2
ตำหนักคุณหนิง
ซือเมี่ยวก้าวเข้ามายังศาลาขนาดใหญ่ที่รายล้อมด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ ภายในศาลามีสตรีสูงศักดิ์ผู้สวมอาภรณ์สีแดงสดเดินดิ้นด้วยด้ายทองคำปักลายพญาหงส์ นิ้วเรียวยาวสวมปลอกเล็บทองอย่างวิจิตรงดงาม สตรีผู้นี้คือมารดาแห่งแผ่นดินผู้มีอำนาจสูงสุดแห่งวังหลัง แม้พระชนมายุจะล่วงเข้าสู่ 40 พรรษา ทว่ายังคงความงดงามดั่งสตรีแรกแย้มมิแปรเปลี่ยน
"ซือเมี่ยวถวายพระพรฮองเฮาเพคะ ขอฮองเฮาทรงพระเจริญพันปี พัน พันปีเพคะ"
ซือเมี่ยวยอบกายคารวะมารดาแห่งแผ่นดินด้วยความนอบน้อม สตรีผู้นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ที่ประดับด้วยอัญมณีหลากสีทรงพระสรวลออกมาด้วยความเอื้อเอ็นดู ก่อนจะโบกพระหัตถ์อนุญาตให้ซือเมี่ยวลุกขึ้นยืนได้
"ไยต้องมากพิธีด้วยเล่า รีบลุกมานั่งข้างข้าเร็วเข้า"
'สวีฮุ่ยเหมย' ผู้เป็นฮองเฮาเคียงบัลลังก์ของฮ่องเต้ ทรงทอดพระเนตรซือเมี่ยวบุตรีของสหายสนิทด้วยความเอ็นดู พระนางมองดูซือเมี่ยวที่ดูผิดแปลกไปด้วยความสนพระทัย ทั้งการแต่งกายและกิริยามารยาทดูรู้ความกว่าครั้งก่อนที่พบหน้ากันเสียอีก
"ขอบพระทัยฮองเฮาเพคะ"
"ที่ข้าเรียกเจ้ามาที่นี่วันนี้ก็เพราะไปได้ยินข่าวลือจากด้านนอกมาหนาหูเหลือเกิน รวมถึงเรื่องของจวิ้นอ๋องกับคุณหนูตระกูลจูผู้นั้นด้วย"
สายพระเนตรของสวีฮองเฮาช่างกว้างไกลนัก เพียงไม่นานเรื่องนี้ก็มาถึงพระกรรณเสียแล้ว เห็นทีนางคงต้องใช้โอกาสจากเรื่องนี้สร้างประโยชน์ให้กับตัวเอง
'ถือว่านายท่านลู่ผู้นี้ทำงานได้อย่างดีเยี่ยม! นางคงต้องนัดพบเขาอีกครั้งเสียแล้วสิ'
"เรื่องอะไรหรือเพคะ หม่อมฉันอยู่แต่ในเรือนไม่ได้ออกไปที่ใด เลยไม่ทราบว่ามีข่าวลือเรื่องอะไรเพคะ"
ซือเมี่ยวแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง ทั้งที่ภายในใจกำลังลอบยิ้มด้วยความยินดียิ่ง
"ความสัมพันธ์ของเจ้ากับจวิ้นอ๋องเป็นอย่างไรบ้างเล่า อีกไม่ถึงหนึ่งขวบปีเจ้าก็ต้องออกเรือนไปกับเขาแล้ว แต่ตอนนี้กลับมีข่าวลือออกไปว่าจวิ้นอ๋องไปชอบพอกับคุณหนูตระกูลจู เจ้ารู้เรื่องนี้หรือไม่"
สวีฮองเฮาทอดสายพระเนตรไปทางซือเมี่ยวด้วยสายตาจับผิด เด็กคนนี้ที่พระองค์รู้จักมีท่าทางสุขุมและเรียบร้อยเกินไป
"หม่อมฉัน... รู้มาสักพักแล้วเพคะว่าท่านอ๋องกับจูหลิ่งฟางผู้เป็นสหายสนิทมีใจให้แก่กันเพคะ"
ใบหน้างามพลันสลดขึ้นมาทันใด ดวงตาคู่สวยพลันเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตาสีใส ยิ่งพิศก็ยิ่งรู้สึกน่าสงสารยิ่งนัก
"ว่าอย่างไรนะ! เหตุใดเจ้าถึงเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจเล่า ข้าเคยบอกมิใช่หรือว่าถ้าเจ้ารู้สึกไม่เป็นธรรมหรือทุกข์ใจก็ให้มาบอกข้า อย่างไรข้ากับมารดาของเจ้าก็เป็นสหายกัน ทั้งข้ายังเคยสัญญากับนางก่อนตายว่าจะช่วยดูแลเจ้าเป็นอย่างดี" พระสุรเสียงเอ่ยตำหนิทว่าแฝงไว้ด้วยความเป็นห่วง
"หม่อมฉันซาบซึ้งในน้ำพระทัยอันกว้างใหญ่ของฮองเฮามาโดยตลอดเพคะ แต่จวิ้นอ๋องก็ถือเป็นพระโอรสคนสำคัญของฝ่าบาท ถ้าหม่อมฉันเป็นต้นเหตุที่ทำให้ฮองเฮาทรงเดือดร้อน หม่อมฉันก็มิอาจมีหน้าไปสู้หน้าท่านแม่ในปรโลกได้เช่นกันเพคะ"
ซือเมี่ยวลอบล้วงมือไปจับหัวหอมที่ซ่อนอยู่ในผ้าคาดเอว ก่อนจะนำมาป้ายตาจนดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ น้ำตาของนางพลันไหลรินลงมาราวกับสั่งการได้
"โธ่... เจ้าเจ็บแค้นใจถึงเพียงนี้ยังนึกถึงข้าอีก แม้หวังเสียนเฟยมารดาของจวิ้นอ๋องจะเป็นคนโปรดของฝ่าบาท ทว่าตัวข้าก็มิใช่คนที่ไร้เขี้ยวเล็บ จนช่วยเจ้าจัดการเรื่องนี้ไม่ได้หรอกนะ ข้าจะออกหน้าตำหนิจวิ้นอ๋องผู้ไม่รู้ความเอง" สวีฮองเฮารู้สึกสารซือเมี่ยวยิ่งนัก
"แต่จวิ้นอ๋องกำลังช่วยงานองค์รัชทายาทมิใช่หรือเพคะ หากฮองเฮาทรงผิดใจกับจวิ้นอ๋องและพระสนมเสียนเฟยจนไปเข้าฝ่ายชินอ๋องแทน องค์รัชทายาทจะมิทรงลำบากหรือเพคะ"
สวีฮองเฮาพลันชะงักไป เป็นจริงดั่งคำของซือเมี่ยว เวลานี้ตำแหน่งองค์รัชทายาทของพระโอรสพระนางยังไม่มั่นคงดีนัก เนื่องจากถูกคานอำนาจทางการทหารของชินอ๋อง
"เรื่องนั้น..." สวีฮองเฮาถึงกับตรัสอะไรไม่ออกแม้แต่ครึ่งคำ
"แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีหนทางนะเพคะ" ซือเมี่ยวคลี่ยิ้มหวาน
สวีฮองเฮาผินพระพักตร์มาทันที "อย่างไรเล่า"
"หม่อมฉันรู้ว่าใจจริงของจวิ้นอ๋องนั้นไม่ปรารถนาจะแต่งงานกับหม่อมฉัน เช่นนั้นหม่อมฉันก็จะขอหลีกทางให้เอง ให้จวิ้นอ๋องทรงได้แต่งงานกับจูหลิ่งฟางผู้เป็นสหายรักเพคะ เพียงแต่เรื่องนี้คงต้องให้ฮองเฮาทรงออกหน้าแทนหม่อมฉันเสียหน่อยนะเพคะ" ซือเมี่ยวคลี่ยิ้มบาง
นางจะไม่ต่อว่าความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ ทว่านางจะหลีกทางให้ทั้งสองได้ครองรักกันอย่างสะดวกเลยต่างหาก!
