บท
ตั้งค่า

บทที่ 1 มู่กุ้ยฟางคือสตรีที่โหดร้ายป่าเถื่อน

มู่กุ้ยฟางคือสตรีที่โหดร้ายป่าเถื่อน

เพียงสามวัน ข่าวลือเรื่องสมรสพระราชทานระหว่างจวนหย่งจงโหวกับจวนฉินอ๋องก็แพร่สะพัดไปทั่ว ยิ่งลือมากเท่าใดสารในข่าวก็ยิ่งบิดเบือนไปมากเท่านั้นดั่งคำว่าเจิงจื่อฆ่าคน5 จากสมรสพระราชทานแปรเปลี่ยนเป็นหย่งจงโหวใช้ความดีความชอบในการชนะศึกครั้งนี้ทูลขอสมรสให้บุตรสาวกับฉินอ๋อง และเหตุที่ท่านอ๋องผู้สง่างามและครองตัวเป็นโสดมาช้านานไม่แสดงทีท่าขัดขืนเพราะหวังจะใช้จวนหย่งจงโหวเป็นฐานกำลังฝ่ายตน คิดจะแย่งชิงบัลลังก์มังกรกับองค์รัชทายาทอีกครั้ง

ข่าวนี้สร้างความปั่นป่วนให้ราชสำนักเป็นอันมาก เดิมพระราชโอรสที่มีหวังในบัลลังก์มังกร นอกจากองค์ไท่จื่อหรืออดีตองค์ชายสี่ ฉินอ๋องหรือองค์ชายเจ็ด ก็ยังมีจ้าวอ๋ององค์ชายสาม และโจวอ๋ององค์ชายห้า ทุกพระองค์ล้วนมีขุมกำลังและพรรคพวกที่ส่งเสริมตน เดิมทีฉินอ๋องที่แสดงท่าทีว่ามิต้องการข้องเกี่ยวกับการแย่งชิงบัลลังก์ในครั้งนี้จะทำให้อ๋องที่เหลือทั้งสองเบาใจลงมาได้เกือบสองปี แต่หลังจากมีพระราชโองการสมรสพระราชทานก็ทำให้พวกเขาต้องเริ่มวางแผนกันใหม่อีกครั้ง

“ฟางเอ๋อร์” น้ำเสียงอ่อนระโหยดังขึ้นเป็นครั้งที่ร้อยของวันทำให้ร่างเล็กต้องหยุดงานในมือแล้วหันไปมองร่างสูงที่นั่งปักหลั่นอยู่บนขั้นบันได ช่างห่างไกลจากภาพรองแม่ทัพอุดรผู้เกรียงไกรนัก

“ต้าเกอ6 มิมีงานราชการหรือเจ้าคะ ข้าคิดว่าคงหมดวันหยุดพักของท่านแล้วกระมัง” กุ้ยฟางปัดเศษดินในมือ เมินเฉยต่ออ่างน้ำที่บ่าวไพร่เร่งยกมาให้ล้างมือ เดินอย่างเสียกิริยาไปทิ้งตัวลงข้างพี่ชาย

“เจ้าช่างใจร้าย” ร่างสูงเริ่มคร่ำครวญอีกครั้งจนน้องสาวต้องรีบใช้มือที่ยังเปื้อนฝุ่นเอื้อมไปกุมมือใหญ่หยาบกร้าน แต่กลับมิอาจหยุดยั้งอีกฝ่ายให้เลิกโวยวายได้ “อีกไม่กี่วันเจ้าก็ต้องแต่งออกเรือนไปแล้ว พี่มานั่งเฝ้าเจ้ามีสิ่งใดผิดกัน”

“มิใช่ว่าปกติท่านก็อยู่ที่ชายแดนเป็นประจำหรอกหรือ ข้าแค่เปลี่ยนที่นอน มีสิ่งใดต่างไปจากเดิม” นางกลอกตาพลางโบกมือไล่บ่าวรับใช้ เกรงว่าภาพลักษณ์ที่น่าเกรงขามของพี่ชายจะถูกเจ้าตัวทำลายในเร็ววันนี้

บุรุษกล้าถลึงตาใส่น้องสาว “จะ...เจ้า” เอ่ยจบก็หันซ้ายมองขวา เอ่ยกับบ่าวไพร่ “ปิดหูเดี๋ยวนี้ หากผู้ใดได้ยินคำเมื่อครู่ ข้าจะสั่งโบยห้าสิบไม้”

“บ่าวไม่ได้ยินสิ่งใดทั้งสิ้นเจ้าค่ะ/ขอรับ” มีหรือพวกบ่าวจะไม่รู้ว่าพี่ชายผู้นี้หลงใหลน้องสาวจนเข้าขั้นบ้า หากพวกเขายังมิอยากต้องลาตาย เรื่องที่คุณหนูใหญ่เอ่ยเมื่อครู่ก็ควรกระทำเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น

“เปลี่ยนที่นอนอันใด เจ้าอย่าได้เอ่ยเช่นนี้ต่อหน้าผู้อื่น” คิดแล้วก็ให้ปวดใจนัก เป็นเพราะท่านแม่ด่วนจากไป ตัวเขาก็ต้องออกรบอยู่ชายแดน ส่วนแม่เลี้ยงนั้นยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง เมื่อไม่มีใครคอยกำชับสั่งสอน น้องสาวของเขาก็ยิ่งทำตัวเลยเถิดแตกต่างจากสตรีในห้องหอทั่วไป

กุ้ยถิงชิงโทษทุกสิ่งอย่าง ยกเว้นเรื่องที่มารดาของเขามีนิสัยซื่อตรง แม้แต่ตัวเขาเองก็สืบทอดมาเช่นกัน ยามเอ่ยสิ่งใดจึงไม่ค่อยไว้หน้าผู้อื่น แต่ครั้นได้ฟังจากริมฝีปากเล็กๆ ก็ให้รู้ว่าเป็นเรื่องผิดปกติแล้ว น้องสาวของเขากำลังจะแต่งเข้าราชวงศ์ ขืนปล่อยให้เอ่ยตามอำเภอใจ เกรงว่าชีวิตต่อไปในภายหน้าอาจรักษาได้ยาก

น้องสาวเพียงโบกมือไม่เห็นสำคัญ “เป็นท่านเลอะเลือนต่างหาก แม้ข้าจะไม่ค่อยฉลาด แต่ก็ไม่โง่ถึงขั้นจะโพล่งต่อหน้าผู้อื่นหรอก ต้าเกออย่าได้กังวล” เห็นสีหน้าตรอมตรมของพี่ชายแล้วนางได้แต่ถอนใจ ตบไหล่อีกฝ่ายสองทีอย่างปลอบประโลม ยามนี้ไม่รู้แล้วว่าเป็นผู้ใดกันแน่ที่ได้รับสมรสพระราชทาน ยังไม่นับท่านพ่อที่ช่วงนี้ขยันถอนหายใจเฮ้อๆ มองนางด้วยแววตารู้สึกผิด

“อยู่จวนอ๋องก็อย่าลืมฝึกหมัดมวย หากผู้ใดริอ่านรังแกเจ้าก็อย่าได้ออมมือ”

“แล้วหากเป็นท่านอ๋องรังแกข้าเล่า ต้าเกอคิดจะให้น้องสาวซัดเขากลับสักหมัดสองหมัดหรือไม่ ไม่ใช่ท่านเพิ่งเตือนให้ข้าสำรวมกิริยารึ”

รองแม่ทัพพิชิตอุดรคิดภาพน้องสาวยกเท้าแตะของสงวนของฉินอ๋องเจ้าสำราญผู้นั้นแล้วให้เบิกบานใจ อย่างไรสมรสพระราชทานนี้ก็ทำให้อีกฝ่ายมิอาจหย่าขาดกับนางได้ จึงรีบพยักหน้า “หากเหลือบ่ากว่าแรงก็เร่งให้คนมาแจ้งพี่ หากเขากล้ารังแกเจ้าก็ถือว่าเป็นปรปักษ์ต่อจวนหย่งจงโหวของเรา”

กุ้ยฟางส่ายหน้ามองท่าทางเซ่อๆ ของพี่ชาย พอเป็นเรื่องของนาง พี่ชายที่ฉลาดมักจะโง่งมลงทันตาเห็น เมื่อเห็นว่าหากปล่อยให้เขาระบายออกมามากกว่านี้ พวกนางสองพี่น้องอาจได้ไปนั่งกินข้าวในคุกหลวงโทษฐานลบหลู่เบื้องสูง

“ท่านมาก็ดีแล้ว ข้ามีเรื่องจะไหว้วาน” นางมองไปยังลานกว้างด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ต้าเกอคัดนายทหารในสังกัดของท่านให้มากหน่อย เลือกเอาคนที่แข็งแรงสักนิด ข้าต้องใช้พวกเขาแบกหีบสินเจ้าสาวเหล่านี้”

กุ้ยถิงเบือนสายตาจากใบหน้างามไปด้านหลังของนาง รอยยิ้มเบิกบานเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นแข็งค้างในทันใด

“อย่าบอกว่า...เจ้าจะขนของพวกนี้ไปจวนอ๋องด้วย”

น้องสาวพยักหน้ายิ้มรับ “แน่นอนว่าข้าต้องขนไปด้วย”

ริมฝีปากของพี่ชายใหญ่อ้าค้าง ร่างแข็งทื่อไปในบัดดล ยามนี้ในใจเริ่มเอนเอียงไปทางฉินอ๋องผู้น่าสงสาร มโนธรรมในใจของเขากำลังทำงานอย่างหนัก นึกเห็นใจว่าที่เจ้าบ่าวเสียแล้ว

ยิ่งใกล้วันแต่งงาน แม่ทัพพิชิตดินแดนและรองแม่ทัพอุดรต่างไม่มีผู้ใดย่างออกจากเรือน สลับสับเปลี่ยนทำหน้าที่เป็นเงาคอยตามเฝ้าคุณหนูใหญ่ของจวน กุ้ยฟางได้แต่จนใจ จะไล่พวกเขาสองพ่อลูกไปก็ใช่ที่ ในเมื่อพวกเขาอยากยุ่งกับนางนัก นางก็จะให้ยุ่งให้เต็มที่ หลักคุณธรรมเชื่อฟังบิดา เคารพผู้อาวุโสนั้นเอ่ยในตำราเล่มใด นางก็จำไม่ได้เสียแล้ว จึงเลือกชี้นิ้วสั่งร่างกำยำทั้งสองให้ยกย้ายถ่ายเทสินเจ้าสาวลงหีบ

หม่าซื่อและคุณหนูรองแห่งจวนยามนี้ไม่ต่างอันใดกับไม้ประดับ พวกนางไม่มีแม้กระทั่งสิทธิ์และเสียงเมื่อยามสองบุรุษกลับจากชายแดน จึงทำได้เพียงแอบมองพวกเขาประเคนสินเจ้าสาวเหล่านั้นให้มู่กุ้ยฟางด้วยดวงตาแดงฉาน ครั้นทำสิ่งใดไม่ได้ก็เร่งให้บ่าวไปทำเรื่องที่พวกนางถนัด ปล่อยข่าวลือเสียหายเกี่ยวกับคุณหนูใหญ่แห่งจวนหย่งจงโหว

มู่กุ้ยฟางคือสตรีที่โหดร้ายป่าเถื่อนชอบใช้กำลัง แม้แต่น้องสาวต่างมารดาก็ยังลงมือทุบตี

คุณหนูใหญ่แห่งจวนหย่งจงโหวไม่มีความเป็นกุลสตรี งานบ้านงานเรือนไม่เป็นสักอย่าง แม้แต่จะปักผ้าก็ยังทำเข็มตำนิ้ว ฉินฉีซูฮว่า7 ล้วนไม่ชำนาญ

ข่าวลือเหล่านี้มิใช่ไม่เคยเข้าหูบุรุษทั้งสองของบ้าน แม้พวกเขาจะมิสนใจเรื่องนินทาไร้สาระของชาวเมือง แต่จะมากน้อย ทหารที่ภักดีต่อพวกเขาในกองทัพย่อมต้องเคยได้ยินและนำมารายงาน เดิมทีสองพ่อลูกเห็นว่าข่าวลือนี้แม้จะสร้างความเสียหายแก่กุ้ยฟางอยู่บ้าง ทว่าหากมองอีกด้านกลับเห็นข้อดี เพราะย่อมไม่มีจวนใดนึกอยากส่งคนมาทาบทามสู่ขอนางแม้นึกอยากใช้การแต่งงานเป็นสะพาน ยืมกำลังทหารของจวนหย่งจงโหวเท่าใดก็ตามที

ครั้นข่าวลือแพร่สะพัดมาถึงบัดนี้ ทั้งมู่หยางติงและมู่กุ้ยถิงล้วนเห็นตรงกันว่าไม่ควรแก้ต่าง เพราะรังแต่จะไร้ประโยชน์แล้วยังเหมือนพวกเขาร้อนตัว และที่สำคัญข่าวว่ากุ้ยฟางดุร้ายอาจทำให้ฉินอ๋องเจ้าสำราญรู้สึกเกรงขามพระชายาบ้างก็นับว่าเป็นกำไร หากพวกสตรีได้ฟังคงได้แต่ยกมือกุมหน้าผาก อับจนด้วยคำพูดกับความคิดไม่ได้ความของสองบุรุษ เสียแต่ว่า... กุ้ยฟางกลับคิดว่าเรื่องนี้ไม่มีอันใดเกี่ยวกับนาง จึงไม่คิดห้ามปรามผู้ใด

วันนี้เป็นวันฤกษ์ดีที่สุดของปี ทั่วทั้งจวนโหวและถนนด้านหน้าเต็มไปด้วยกระดาษสีแดง อักษรมงคลและคำอวยพร กุ้ยฟางถูกปลุกให้ลุกขึ้นมาแต่งตัวตั้งแต่ยามอิ๋น8 ศีรษะเล็กๆ เอียงไปเอียงมาจนบ่าวอีกคนต้องเข้ามาประคองให้ตั้งตรง มิเช่นนั้นทั้งเช้านี้คงแต่งหน้าเจ้าสาวไม่เสร็จ ชุดแต่งงานสีแดงตัดจากผ้าไหมเนื้อดีที่แม้แต่สนมคนโปรดก็ยังไม่มีไว้ครอบครองปักลวดลายมงคล ซึ่งแน่นอนว่าฮองเฮาคงจะทรงทราบถึงความด้อยสามารถของลูกสะใภ้ จึงเป็นฝ่ายจัดการสั่งให้ช่างหลวงมาวัดตัวเพื่อตัดเย็บและปักให้ ข่าวว่าชุดเจ้าสาวงดงามยิ่งกว่ายามจ้าวอ๋องและโจวอ๋องแต่งชายาเอกไม่รู้กี่เท่า

เจ้าสาวถูกพาออกมาด้วยใบหน้าที่คลุมผ้าแดง เสียงอวยพรดังแว่วไม่ขาดสาย หูนางได้ยินแต่สองตากลับไม่ได้เห็นใบหน้าที่พยายามฝืนยิ้มอย่างแข็งกระด้างมองไม่พบแม้เศษเสี้ยวแห่งความ ‘ปีติยินดี’ ของผู้เป็นบิดาและพี่ชาย จวบจนกระทั่งผ่านพิธีป้อนข้าวเจ้าสาวที่ท่านป้าซึ่งเป็นญาติฝั่งมารดาของนางเป็นผู้ทำพิธี นับว่าท่านพ่อตบหน้าแม่รองครั้งนี้ได้ดังยิ่ง เสียดายที่นางบุญน้อยจึงไม่มีโอกาสได้ยลสีหน้าเคียดแค้นของแม่เลี้ยงให้สมใจ

กุ้ยฟางคิดอย่างอารมณ์ดีพลางยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเห็นแผ่นหลังกว้างในชุดสีครามที่นางคุ้นเคย

ร่างบางย่อลงโอบสองแขนรอบคอพี่ชาย คราแรกยังคิดว่าแต่งออกไปอยู่จวนโน้นก็คงไม่มีสิ่งใดแตกต่าง ห่างกันเพียงไม่กี่ถนนกั้น แต่ยามสัมผัสถึงไหล่ตึงแน่นที่กำลังสั่นน้อยๆ สองแขนของนางจึงพลันไร้เรี่ยวแรง ปล่อยให้พี่ชายโอบกระชับพาขึ้นเกี้ยว

“ฟางเอ๋อร์ของพี่” น้ำเสียงของท่านรองแม่ทัพทั้งสั่นและแหบพร่า ฟังก็รู้ว่าคนพูดใกล้จะกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว “รู้ใช่หรือไม่ว่าพี่และท่านพ่อรักเจ้ายิ่งกว่าดวงใจ”

นางพยักหน้าเบาๆ ไม่อาจเอ่ยตอบเขาเพราะเกรงว่าจะปล่อยให้น้ำตาหยดลงเสื้อพี่ชาย

“หากคนผู้นั้นทำให้เจ้าช้ำใจ จงกลับมาบ้าน พี่จะเป็นฝ่ายไปรับเจ้าเอง พวกเราตระกูลมู่ยอมผิดต่อคนทั่วหล้า แต่จะไม่ยอมให้ผู้ใดมารังแกเจ้าได้ จำเอาไว้”

“อื้อ!” นางรับคำในลำคอ พยายามฝืนยิ้มและคงน้ำเสียงให้นิ่ง “ท่านก็ต้องรู้จักรักษาตัว อยู่ในกองทัพก็ต้องดูแลท่านพ่อแทนข้า”

“ต้าเกอจะไม่ทำให้เจ้าเป็นกังวล ขอน้องสาวพี่จงพบแต่ความสุข”

จากนั้นนางก็ถูกส่งตัวเข้าสู่เกี้ยวแปดคนหาม ไม่รับรู้สิ่งใดนอกจากหยาดน้ำที่คลอหน่วยตา เสียงดังเซ็งแซ่ชื่นชมขบวนสินสอดที่ยาวจนสุดถนน และสินเจ้าสาวที่เต็มไปด้วยหีบไม้ขนาดใหญ่กว่าหีบธรรมดามากมายหลายเท่า สังเกตจากคนแบกซึ่งเป็นทหารในกองทัพก็รู้ว่าด้านในคงเต็มไปด้วยของมีค่า สีหน้าของพวกเขาจึงย่ำแย่นัก เพียงเท่านี้ก็ยิ่งโหมกระพือข่าวลือที่ว่าหย่งจงโหวด้วยรู้ว่าบุตรสาวของตนเป็นสตรีดุร้าย จึงได้เร่งเตรียมสินเจ้าสาวให้มากมายเพื่อไม่ให้เจ้าบ่าวดูแคลน

กุ้ยฟางมิได้สนใจเสียงเหล่านั้น นางแทบไม่ได้สนใจสิ่งใดแม้กระทั่งฝ่ามือใหญ่ขาวเนียนของเจ้าบ่าวที่มองดูแล้วอาจจะนุ่มกว่ามือของนางหลายส่วน คิดเพียงแค่นั้นก็นึกอยากลองสัมผัสจึงวางมือเล็กของตนลง... ค่อยพบว่ากลางฝ่ามือของเขามีรอยหยาบกร้านบางๆ อาจมิเท่าของพี่ชายและบิดา แต่ก็บ่งบอกว่าเขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ หาใช่เป็นเพียงอ๋องผู้สำรวยสำอางดังข่าวว่าอย่างเดียว นางปล่อยให้เขาเป็นผู้ชักนำด้วยไม่เห็นสิ่งใดนอกจากรองเท้าปักสีแดงของตนและรองเท้าหุ้มส้นสีดำของเขา จะตกใจเล็กน้อยก็ตอนที่เขาเอ่ยขออนุญาตแล้วเกี่ยวเอวของนางขึ้นอุ้มข้ามกระถางไฟ จากนั้นก็เริ่มมึนหัวอีกเล็กน้อยเมื่อถูกมือใหญ่จับหมุนซ้ายหมุนขวาคำนับฟ้าดินและอื่นๆ อีกมากมาย จนสุดท้ายค่อยได้อยู่อย่างสงบในห้อง

มิรู้เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ หากเป็นคนปกติที่ได้กินมื้อสุดท้ายเมื่อยามเหม่า9 คงจะหิวจนตาลาย นางแอบคิดว่าเคยมีข่าวว่าเจ้าสาวเป็นลมตายไปบ้างไหม เสียดายตนเองเป็นผู้ไม่สนใจข่าวสารใด จึงไม่แปลกที่จะไม่เคยได้ยิน โชคดีที่เดิมทีนางก็กินอะไรไม่ตรงเวลา บางครั้งยุ่งกับงานที่ทำจนลืมกินเป็นวันๆ ครั้นต้องรอตั้งแต่เช้าจดเย็นจึงไม่เป็นปัญหา เสียแต่ว่าออกจะเมื่อยและง่วงไปสักหน่อยเท่านั้น

เสียงเปิดประตูตามมาด้วยเสียงฝีเท้ามากมาย มีผู้เฒ่าเข้ามากล่าวอวยพรผูกสาบเสื้อบ่าวสาว ครู่เดียวเสียงปิดประตูก็ดังขึ้น ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง

นางยังคงก้มหน้า สิ่งที่เห็นจึงมีเพียงชุดและผ้าปูเตียงสีแดงที่ค่อนข้างทึบเพราะถูกผ้าคลุมหน้าบังแสง กำลังนึกทบทวนสิ่งที่แม่สื่อสอนสั่งในใจ ด้านหน้าพลันสว่างไสว นางค่อยๆ เงยหน้า ช้อนตามองบุรุษผู้ขึ้นชื่อว่า...สาม

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel