Legend of God Soul ตำนานจิตวิญญาณเทพเจ้า

750.0K · ยังไม่จบ
เงี่ยมล้อเทียนจือ
137
บท
268.0K
ยอดวิว
7.0
การให้คะแนน

บทย่อ

ในโลกที่ทุกผู้คนนั้นมีพลังจิตวิญญาณ เหล่าสัตว์วิเศษที่เกิดมาพร้อมกับมนุษย์และมีหน้าที่ปกปักษ์ คุ้มครอง และเป็นพลังให้แก่ผู้คน ผู้มีพลังมากในโลกนี้ย่อมได้รับความเคารพ แล้วคนไร้พลังเช่นถังเฟยหู่ละ?

นิยายแฟนตาซีนิยายผจญภัยนิยายเทพเซียน

บทที่ 0 วิญญาณร้ายและสายลม

ในค่ำคืนอันมืดสงัดภายในแคว้นตะวันตกแห่งแผ่นดินซื่อหลิง สายลมวิปโยคซึ่งมีเสียงหวีดหวิวราวกับเสียงกรีดร้องอันทรมาณของดวงวิญญาณนับพันดวงได้พัดพากลิ่นอายมรณะอันแปลกประหลาดเข้าสู่ซีหนาน แคว้นปกครองแห่งไป๋หู่อ๋องเฟิงหมิง

สายลมได้พัดพาหลบหลีกไปทั่วทุกแห่งหน เสียงกรีดร้องและไอมรณะวิ่งพล่านไปทั่วทั้งแคว้นตะวันตกราวกับสายลมนี้ต้องการไล่ล่าบางสิ่งบางอย่าง เหล่าชาวบ้านทั้งหลายในแคว้นต่างหวาดผวาไม่กล้าออกมาจากบ้านเรือน

เมื่อลองสังเกตดีๆแล้วจะพบว่าเบื้องหน้าสายลมนี้กลับเป็นบุคคลหนึ่งซึ่งกำลังเหาะเหินหนีสายลมนั้นราวกับเป็นเทพเซียนในตำนาน ร่างนั้นใส่เสื้อผ้าขาดแหว่ง แต่ที่แปลกประหลาดก็คือร่างกายของมันกลับเป็นโครงกระดูกที่มีเศษเนื้อหนังอยู่ประปลาย ราวกับมันผ่านการโดนทรมาณมาอย่างยาวนาน เบ้าตาของกระโหลกนั้นคือดวงไฟวิญญาณสีแดงเลือด โครงกระดูกหลบหนีการตามล่าของสายลมมรณะจนมาถึงสุดขอบแคว้นซีหนานและยังเป็นเมืองหลวงแห่งแคว้นตะวันตก เฉิงตู

ที่เบื้องหน้าของโครงกระดูกนั้นคือกำแพงเมืองแห่งเมืองเฉิงตูซึ่งทอดยาวไปอยู่รอบตัวเมือง เมื่อเห็นดังนั้นโครงกระดูกแทนที่จะลดความเร็วลงกลับเพิ่มความเร็วมากยิ่งขึ้นไปกว่าเมื่อตอนถึงหน้าประตูเมือง และในตอนนั้นเองที่โครงกระดูกนั้นพุ่งตัวทะลุผ่านกำแพงเมืองไปราวกับร่างกายของตนเป็นอากาศธาตุซึ่งไม่อาจจับต้องได้ และแม้แต่เหล่าทหารบนกำแพงเมืองก็ไม่แม้แต่จะเห็นหรือสัมผัสได้ถึงโครงกระดูกผู้ซึ่งพึ่งผ่านเข้าเมืองเฉิงตูไปอย่างง่ายดาย โครงกระดูกนั้นพยายามหลีกหนีสายลมที่กำลังไล่ตามมาอย่างเอาเป็นเอาตาย มันทั้งหลีกหนี หลบซ่อน หลอกล่อ แต่ก็ไม่เป็นผลอันใดเลยกับสายลมนั้น สายลมแห่งความตายนี้ยังคงไล่ตามมันราวกับเป็นเงาตามตัว ถึงแม้ตัวมันและสายลมนี้จะไม่สามารถเคลื่อนไหวอันใดได้ในเวลากลางวันซึ่งทำให้โครงกระดูกนั้นยังพอมีเวลาพักและหลบซ่อนตัว แต่เมื่อยามราตรีมาเยือนการไล่ล่าของพวกมันก็จะกลับมาอีกครั้ง เป็นเช่นนี้มาแล้วทั้งสิ้นสี่สิบเก้าคืน ซึ่งคืนนี้เป็นคืนสุดท้ายของมันที่จะต้องหลบหนีสายลมนี้ให้พ้นก่อนที่ดวงวิญญาณของมันจะแตกสลายไปตลอดกาล ไม่แม้แต่ที่จะได้กลับไปที่สายธารแห่งวิญญาณ ที่เหลือมีก็เพียงแต่ความว่างเปล่า

เบื้องหน้าของโครงกระดูกลึกลับนั้นคือตำหนักขนาดใหญ่ใจกลางเมืองซึ่งสามารถมองเห็นได้จากระยะไกลหลายลี้ เมื่อเห็นดังนั้นมันจึงรีบพุ่งตัวไปเร็วกว่าเดิมไปทางตำหนักใหญ่นั้น ส่วนสายลมเบื้องหลังเองก็เร่งรีบเพิ่มความเร็วตามไปติดๆ ส่วนโครงกระดูกนั้นรีบพุ่งตัวเข้าไปในตำหนักนั้นในทันทีก่อนที่สายลมวิปโยคนั้นจะมาถึง ซึ่งเมื่อสายลมนั้นเห็นว่ามาช้าไปไม่ทันการก็สลายหายไปเบื้องนอกตำหนักอย่างเงียบงัน

ส่วนผู้คนในตำหนักนั้นไม่ได้รับรู้ถึงสิ่งผิดปกติด้านนอกเลยแม้แต่น้อย เพราะขณะนี้เองในตำหนักไป๋หู่อ๋องแห่งแคว้นตะวันตกนี้ก็ได้ตกอยู่ในความวุ่นวายเช่นกัน เพราะพระชายาถังแห่งตำหนักไป๋หู่อ๋องทรงประชวรอย่างหนัก แต่โชคดียิ่งที่ถังจิ้งชิงบิดาของนางซึ่งเป็นศิษย์ของหมอเทวดาแห่งวังหลวงได้เดินทางมาเยี่ยมบุตรสาวพอดี

เบื้องหน้าห้องพักของพระชายานั้นคือชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งมีผมสีดำและนัยน์ตาสีฟ้าราวกับอัสนี ซึ่งเป็นลักษณะของผู้สืบทอดสายเลือดเซียนพยัคฆ์สามตาแห่งแคว้นตะวันตก บุคคลผู้นี้ก็คือไป๋หู่อ๋องเฟิงหมิงผู้กระวนกระวายเดินไปมาอยู่หน้าห้องพักของพระชายาถัง รวมทั้งเหล่าบ่าวไพร่ทั้งหลายต่างรอฟังข่าวจากถังจิ้งชิง ซึ่งรอไม่นานนักประตูห้องพักพระชายานั้นก็ได้เปิดออกอย่างแรง ผู้ที่เดินออกมาคือชายวัยกลางคนซึ่งมีเรือนผมสีดำแซมขาวและมีนัยน์ตาสีเขียวสดใสคนหนึ่ง

“ท่านพ่อตา….อาหลิวเป็นอย่างไรบ้าง” เมื่อเห็นถังจิ้งชิงออกมาจากห้องพักพระชายาถัง ไป๋หู่อ๋องเฟิงหมิงรีบร้อนเข้าไปถามไถ่อาการของพระชายาถังในทันที่ แม้เป็นคนนอกยังสามารถเห็นได้ว่าความรักของไป๋หู่อ๋องเฟิงหมิงและพระชายาถังนั้นหนักแน่นและลึกซึ้งเพียงใด เรียกได้ว่าพระชายาถังเป็นเพียงสตรีคนเดียวที่อ๋องแห่งแคว้นตะวันตกยอมมอบความรักให้

“ท่านอ๋องไม่ต้องร้อนใจไป ฮ่าๆๆๆ” แทนที่ถังจิ้งชิงจะทำหน้าทุกข์ร้อนใจอันใด กลับกัน ชายวัยกลางคนผู้นี้กลับยิ้มหน้าระรื่นออกมาแทนราวกับมีเรื่องน่ายินดีอันใด เฟิงหมิงเองก็ประหลาดใจนักกับสีหน้าแปลกประหลาดนี้ของพ่อตาตนเอง “ข้าต้องขอยินดีกับท่านอ๋องด้วย ฮ่าๆๆๆ ลูกสาวของข้าเพียงตั้งท้องเท่านั้น”

“ตะ…ตั้งท้อง! ฮ่าๆๆๆ ช่างน่ายินดีนัก! สกุลเฟิงกำลังมีทายาทแล้ว!” เฟิงหมิงกล่าวอย่างลิงโลดเมื่อรู้ว่าอาการป่วยของพระชายาถังที่มักจะอาเจียนอยู่บ่อยครั้ง บางทีก็มักจะไม่มีแรง หรือแม้แต่ชอบทานของแปลกๆที่ปกติพระชายาถังไม่ทาน ในคราแรกเขาคิดว่าพระชายาถังที่แท้ถูกภูติผีสางอันใดสิงหรือไม่ แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นเรื่องน่ายินดียิ่งนัก สกุลเฟิงของเขาจะมีทายาทเพิ่มอีกคนหนึ่งแล้ว ซึ่งเด็กคนนี้จะเป็นบุตรคนแรกของเขา และถ้าเด็กคนนี้เกิดเป็นชายละก็ เขาก็คงไม่ต้องห่วงเรื่องผู้สืบทอดอันใดอีกแล้ว เรื่องน่ายินดีเยี่ยงนี้เขาคงต้องรีบแจ้งให้ทางราชสำนักรู้ แจ้งแก่ลูกพี่ลูกน้องของเขาซึ่งเป็นฮ่องเต้แห่งแผ่นดิน เฟิงหมิงได้ปลดปล่อยลมปราณสีฟ้าซึ่งเจือปนไปด้วยไออัสนีของตนออกมาวนเวียนรอบตัวของเขาก่อนที่ละอองแสงลมปราณที่เปล่งแสงจะรวมตัวกันเบื้องหน้าเขากลายเป็นทาสอสูรรูปร่างเหยี่ยวตัวหนึ่ง เขารีบใช้ให้บ่าวผู้หนึ่งไปหยิบพู่กันและกระดาษมาจากห้องอักษรโดยไวก่อนจะร่างสารฉบับหนึ่งและผูกติดไปกับทาสอสูรเหยี่ยววายุตัวนั้น จากนั้นเหยี่ยววายุก็ได้บินจากไปด้วยความไวราวกับสายลม มุ่งสู่ทิศตะวันออกสู่แผ่นดินภาคกลางเพื่อเข้าแจ้งข่าวสำคัญแก่ราชสำนัก ที่เบื้องบนเหนือตำหนักไป๋หู่อ๋องนั้นคือชายสองคนที่แปลกประหลาด คนหนึ่งสวมใส่เสื้อผ้าสีขาว ร่างกายผอมสูง แต่ที่แปลกยิ่งกว่าก็คือเขามีลิ้นที่ยื่นยาวออกมาจากปาก ตาแดงก่ำดูน่ากลัวยิ่งนัก ส่วนอีกคนนั้นสวมใส่เสื้อสีดำ ตัวเตี้ยกว่าคนใส่ชุดขาว ผิวหนังของชายชุดดำบวมพอง อีกทั้งมือของเขานั้นถือไว้ด้วยสายโซ่เส้นใหญ่ซึ่งล่ามสุนัขสามหัวตัวหนึ่งอยู่ด้านข้าง

ทั้งคู่นั้นคือเฮยไป๋อู๋ฉาง ยมทูตซึ่งเป็นผู้นำพาวิญญาณและจับผู้หลบหนีโทษทัณฑ์ทั้งหลายกลับไปสู่นรก คนชุดขาวมีนามว่าเซี่ยปี้อัน ส่วนคนชุดดำนั้นมีนามว่าฟั่นอู๋จิ้ว พวกเขาก็คือต้นตอของสายลมวิปโยคที่พัดกระหน่ำตลอดสี่สิบเก้าคืน การตามล่าวิญญาณที่หลบหนีของพวกเขาทำให้เกิดสายลมมรณะขึ้น

“ทำอย่างไรดีฟั่นอู๋จิ้ว….นายท่านหนีไปได้ เราจะทำอย่างไรต่อไปดี?” ชายชุดขาวผู้มีลิ้นยืดยาวกล่าวถามกับสหายด้านข้าง ฟั่นอู๋จิ้วทำหน้าครุ่นคิดอย่างหนักว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดี “เราก็ไปรายงานเงี่ยมล้อเทียนจือแล้วกันว่าวิญญาณของนายท่านสลายไปสิ้นแล้ว ยังไงเสียยมโลกก็ไม่อาจก้าวก่ายผู้มีชีพได้ หน้าที่ของพวกเราแค่กำหนดความเป็นไปของผู้วายชนม์….ถึงอย่างไรเสียเราคงรายงานท่านเงี่ยมล้อเทียนจือไม่ได้แน่ว่านายท่านหนีไปได้แล้ว ท่านอุส่าไปหยิบยืมเจ้าหมานี่มาจากอีกดินแดนนรกเพื่อไล่ล่านายท่าน…” ฟั่นอู๋จิ้วทำสีหน้าหนักใจเมื่อคิดถึงเรื่องที่จะต้องกลับไปรายงาน

“ช่างเสียเถอะฟั่นอู๋จิ้ว อย่างไรซะวิญญาณซึ่งมีปราณมรณะมหาศาลอย่างนายท่านเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ถึงนายท่านจะเกิดใหม่อีกครั้ง แต่ก็คงจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานเสียมากกว่า…มันก็คงไม่ต่างจากการทำลายวิญญาณของนายท่านหรือแม้แต่จะจับท่านกลับไปให้เงี่ยมล้อเทียนจือ เอาละ…เราคงต้องทำตามอย่างที่เจ้าว่า กลับไปรายงานเงี่ยมล้อเทียนจือว่านายท่านวิญญาณสลายไปแล้ว….” เซี่ยปี้อันเผยสีหน้าอันเศร้าสร้อยเพียงชั่วพริบตาหนึ่งก่อนที่จะสลายกลายเป็นควันหายไปอย่างลึกลับเช่นเดียวกับฟั่นอู๋จิ้วและสุนัขสามหัวข้างกาย หายไปอย่างลึกลับท่ามกลางราตรีที่เงียบสงัดนั้น