บทย่อ
บอสใหญ่ต่างโลกเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ตื่นขึ้นมาเกือบโดนคนให้มาเป็นเกราะบังกระสุนให้? นี่มันก็โดนเข้าให้แล้วไง? เห็นว่าเจ๊ไม่เอาคืนรึ จะกำราบพวกแกให้ราบคาบไปเลย! ว่าไงนะ นี่มันคือเส้นทางแห่งการหนีภัยแล้งงั้นหรือ? ซ้ำยังได้ลูกชายกากๆมาอีก? ครอบครัวภาระคารังคาซังเช่นนี้จะใช้ชีวิตเยี่ยงไรกัน? ใจเย็นๆ มิติเวลาอยู่กับตัว ไม่มีอะไรบนโลกนี้ที่ข้าได้มันมาไม่ได้หรอก! สามีผู้อายุสั้นจู่ๆก็แรากฏตัวขึ้น นี่มันอะไรกัน? ตกลงกันดีแล้วว่าจะไม่มีความรู้สึกต่อกัน แล้วนี่อะไรมาทำตัวติดนางเป็นปาท่องโก๋เลย? เอ๊ะเอ๊ะเอ๊ะ มีเรื่องอะไรก็พูดกันดีๆ ทำไปต้องลงไม้ลงมือด้วย! สามีกากๆมีพื้นเพวิชาการต่อสู้อยู่ในตัว ยังหนุ่มยังแน่น เหอจิ่วเหนียงปวดเนื้อเมื่อยตัวใครจะรับมือไหว นางเลยตัดสินใจพาลูกหนีไป กำลังจะออกจากประตูเมือง กลับเห็นผู้ชายที่ควรจะไปเข้าเฝ้าจักรพรรดิกลับขี่ม้าตัวใหญ่มารอนางอยู่นอกประตูเมืองแต่นานแล้ว ใบหน้ารูปงาม ยิ้มหวานชวนหลงใหล:“นวลน้องจะออกไปเที่ยว จะขาดสามีอย่างพี่ได้เยี่ยงไร?”
บทที่ 1 ศพกระตุก ?
“รีบต้มน้ำเร็วเข้า เพิ่งฝังลงไปไม่ถึงชั่วเวลาหนึ่งก้านธูป ร่างกายยังอุ่นอยู่ !”
“หิวมาตั้งหลายวัน ในที่สุดก็ได้ลิ้มรสชาติของเนื้อแล้ว !”
“ฮ่า ๆ ๆ วันนี้ได้กินอาหารเต็มอิ่มสักมื้อ นับว่าโชคดีไม่น้อย”
......
บทสนทนาอันน่าสยดสยองดังขึ้น หลันจิ่วขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ
ใครกำลังพูดคุยกันอยู่นะ ?
นางตายไปแล้วมิใช่หรือ ?
ไม่นานนัก นางก็รู้สึกว่ามีคนเข้ามาถอดเสื้อผ้าของนาง สิ่งนี้เตือนให้นางรู้สึกถึงอันตรายในทันที ไม่มีเวลาให้นึกสงสัยสิ่งใดอีก นางรีบลืมตาขึ้น และคว้ามือของอีกฝ่ายเอาไว้ในทันที
“ผี อ้ากกกก !”
หลังจากเสียงกรีดร้อง ชายผู้นั้นก็ล้มลงกับพื้น
ส่วนผู้ชายอีกคน ที่กำลังนั่นหันหลังให้กับพวกเขาและก่อฟืนอยู่ เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้อง จึงหันกลับไปด่า “เจ้าบ้า จะตะโกนหาผีทำ......”
ยังพูดไม่ทันจบ ผู้ชายคนนั้นก็ทรุดลงกับพื้นทันที เขามองภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้าด้วยดวงตาเบิกโพลง แล้วพูดตะกุกตะกัก “ศพ......ศพกระกระตุกหรือ ?”
“พูดสิ พูดต่อ” หลัวจิ่วหัวเราะเยาะ สาตยาแฝงไปด้วยความอาฆาต
“อย่า......อย่าเข้ามานะ......” ชายสองคนมองนางที่กำลังค่อย ๆ เดินเข้ามาใกล้อย่างหวาดกลัว
ผ่านไปพักใหญ่ มีเสียงร้องโหยหวนสองเสียงดังขึ้นอย่างต่อเนื่องภายในหุบเขา
หลันจิ่วเดินถือถุงเงินสกปรกออกมาจากหุบเขา แล้วยิ้มอย่างพอใจ
ใช้เวลาเพียงไม่นาน นางก็ทำความเข้าใจกับที่มาที่ไปของเรื่องทุกอย่างชัดเจนแล้ว
นางข้ามกาลเวลามาแล้ว กลายเป็นหญิงชาวบ้านคนหนึ่งที่มีนามว่าเหอจิ่วเหนียง ส่วนชายทั้งสองคนเมื่อครู่ คือคนที่ขุดศพของนางขึ้นมาจากพื้นดิน แล้วคิดที่จะกินนาง เพื่อประทังชีวิตของตนเอง
นางในตอนนี้ ก็คือเหอจิ่วเหนียง
เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง ก็พบเพียงความเหี่ยวเฉา
ภัยแล้งที่รุนแรงติดต่อกันสามปี ทำให้ครอบครัวของร่างเดิมกินเสบียงที่มีอยู่ไปจนหมดแล้ว จึงจำต้องหลีกหนีจากความอดอยาก ระหว่างทางเต็มไปด้วยความยากลำบาก ร่างเดิมต้องการปกป้องลูกที่กำพร้าพ่อของนาง จึงได้ยอมอดตายระหว่างทาง
เหอจิ่วเหนียงหลับตาลง ร่างเดิมช่างเป็นหญิงที่น่าสงสารจริง ๆ
อาจเป็นเพราะได้รับอิทธิพลทางความคิดจากร่างเดิม ทำให้สภาพของลูกชายที่มีร่างกายอ่อนแอ มักปรากฏขึ้นตรงหน้าอยู่เสมอ ร่างเดิมจากให้นางไปตามหาลูกชาย
“เฮ้อ” นางถอนหายใจ “แห้งแล้งถึงขนาดนี้ ตัวข้าเองจะมีชีวิตรอดต่อไปได้หรือไม่ก็ยังไม่รู้ แล้วจะเลี้ยงลูกดูชายของเจ้าได้อย่างไร ?”
จะว่าไป นางเองก็โชคร้ายสิ้นดี ถูกคนที่ไว้ใจที่สุดที่รู้จักกันมานานฆ่าตาย จึงได้รับโอกาสข้ามกาลเวลา แต่เมื่อฟื้นขึ้นมาแล้ว ภาพตรงหน้ากลับเต็มไปด้วยความรกร้าง
ต่อให้นางมีความสามารถมากเพียงไร ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงปรากฏการณ์ทางธรรมชาติได้
แม้แต่ผู้หญิงที่ฉลาดและมีความสามารถก็ไม่สามารถทำอาหารได้หากไม่มีข้าว
ขณะที่กำลังคิดเช่นนี้ ตรงหน้าก็มีถุงข้าวสาวปรากฏขึ้น สีขาวผ่อง ส่องแสงแวววาวอยู่ภายใต้พระอาทิตย์
เหอจิ่วเหนียงคว้าขึ้นมาหนึ่งกำมือด้วยความตกใจ เป็นข้าวสารจริง ๆ อย่างไม่ต้องสงสัย จึงเงยขึ้นมองฟ้าโดยไม่รู้ตัว
นางพูดว่าหญิงฉลาดไม่มีข้าว สวรรค์ก็ประทานข้าวลงมาให้นางเลยหรือ ?
ถ้าเช่นนั้น หากนางต้องการน้ำเล่า !
ทันใดนั้นเอง ก็มีน้ำแร่หนึ่งถังปรากฏขึ้นด้านข้างถุงข้าวทันที ซ้ำถังน้ำยังเป็นบรรจุภัณฑ์ในสมัยปัจจุบัน ใหม่เอี่ยม
เหอจิ่วเหนียงตาลุกวาว หรือว่านี่คือดัชนีทองคำ ที่ได้มาเมื่อข้ามกาลเวลา ?
หากมีสิ่งนี้ อย่าว่าแต่ช่วยร่างเดิมเลี้ยงดูลูกเลย ต่อให้คิดเลี้ยงดูคนทั้งโลกก็คงไม่ใช่ปัญหา !
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหนังสือนิยาย ที่ตนเองเคยอ่านมาเมื่อก่อน เหอจิ่วเหนียงก็ลองหลับตาลงแล้วลองใช้พลังจิตควบคุม เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็พบว่าตนเองมาปรากฏตัวขึ้นในอีกสถานที่หนึ่งแล้ว
ด้านหน้าเป็นหลุมลุกที่ไม่มีจุดสิ้นสุด ภายในหลุมดำมีสิ่งของนานชนิดลอยเคว้งคว้างอยู่กลางอากาศ เหอจิ่วเหนียงแค่เอื้อมมือออกไปก็คว้ามาได้
“เอาเกี๊ยวมาหนึ่งชาม ?”
นางลองพูดขึ้นมา จู่ ๆ ในมือก็ปรากฏเกี๊ยวร้อนจี๋ขึ้นหนึ่งถ้วย
เหอจิ่วเหนียงดีใจอย่างยิ่ง แล้วกินเข้าไปจนอิ่มท้องโดยไม่เกรงใจ หลังจากหาสถานที่เตรียมตัวอยู่ครู่หนึ่ง ก็แบกย่ามแล้วออกตามหาลูกชาย
ถึงแม้ชาติก่อน มีอะไรอีกหลายอย่างที่ยังไม่มีโอกาสได้ทำ และสิ่งเหล่านั้นก็กลายเป็นความรู้สึกเสียดายที่ไม่อาจจางหายไป
แต่ตอนนี้ ในเมื่อใช้ร่างกายของผู้อื่น ก็ควรช่วยนางดูแลครอบครัวของนางก่อนถึงจะถูกมิใช่หรือ ?
ใช้ชีวิตให้อยู่รอดต่อไปได้ในภพนี้ ถึงจะมีโอกาสคิดเรื่องอื่นได้
เหอจิ่วเหนียงออกตามหาครอบครัวตามความทรงจำของร่างเดิม ร่างเดิมเป็นหญิงม่าย สามีที่เพิ่งแต่งงานใหม่ เมื่อสามปีก่อนออกไปล่าสัตว์แล้วไม่เคยกลับมาอีกเลย ทุกคนในหมู่บ้านต่างพูดว่าเขาคงตายไปแล้ว ถึงแม้คนตระกูลลู่ ปากจะบอกว่าไม่เชื่อ แต่สุดท้ายก็ค่อย ๆ ยอมรับความจริงนี้
ตระกูลลู่ไม่ได้แยกครอบครัว ร่างเดิมและลูกชายยังคงใช้ชีวิตร่วมกับพ่อแม่สะมีและพี่เขยพี่สะใภ้
หลังจากร่างเดิมอดตาย ครอบครัวก็ฝังนางอย่างง่าย แล้วออกเดินทางต่อไปอย่างรวดเร็ว
แน่นอนว่า คนที่ตายไปย่อมน่าเสียดาย แต่คนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ต้องดิ้นรนเอาตัวรอดมิใช่หรือ ?
โชคยังดีที่พ่อแม่สามีและพี่เขยพี่สะใภ้ใจดีมีเมตตา ถึงแม้หลายปีมานีร่างเดิมต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก แต่ก็ยังไม่ถึงขนาดหมดหนทางใช้ชีวิต
อีกทางด้านหนึ่ง ตระกูลลู่เพิ่งพบบ้านร้างสำหรับพักผ่อนได้หลังหนึ่ง
เด็กน้อยอายุสองขวบกว่า ๆ อยู่ในอาการหมดสติตลอดเวลา ร่างกายที่ผอมซูบ เหลือเพียงแค่หนังหุ้มกระดูก สีหน้าซูบซีดซ้ำยังมีไข้สูง ตอนนี้กำลังถูกนางซุนผู้เป็นย่าอุ้มเอาไว้ในอ้อมแขน
“นี่ก็สองวันมาแล้ว ไม่มีวี่แววว่าจะตื่นขึ้นมาสักนิด สวรรค์คิดจะพรากดวงใจของข้าไปด้วยหรืออย่างไร !”
นางซุนน้ำตาไหลพราก กอดเด็กน้อยเอาไว้ในอ้อมแขนด้วยความสงสาร จากนั้นจึงตะโกนถามนางหยูผู้เป็นลูกสะใภ้คนโตว่า : “ลูกเอ๋ย พวกเรายังมีน้ำเหลืออยู่อีกไหม ?”
นางหยูส่ายหน้า : “หมดไปตั้งแต่ช่วงเช้าแล้ว”
ขณะที่พูด นางหยูก็หันมองเด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนของแม่สามี แล้วถอนหายใจออกมา “โก๋เอ๋อร์ฉลาดตั้งแต่เด็ก ถึงแม้ยังไม่ตื่น แต่กลับรู้ว่าแม่ของตนเองตายไปแล้ว เป็นไปได้ไหมว่า......”
นางพูดเพียงครึ่งเดียว ก็นึกขึ้นได้ว่าตนเองพูดในสิ่งที่ไม่สมควร จึงรีบยกมือปิดปาก นางซุนจ้องนางตาเขม็ง : “ถุย ๆ ๆ ปากเสีย ! โก๋เอ๋อร์ของข้าต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน !”
โก๋เอ๋อร์เป็นลูกชายที่บุตรชายคนโปรดของนางทิ้งเอาไว้ ยังไม่ทันลืมตาดูโลกก็ไม่มีพ่อเสียแล้ว เมื่อเกิดมาร่างกายก็อ่อนแอ จึงจงใจตั้งชื่อแก้เคล็ดให้กับเขา ด้วยหวังว่าเขาจะมีชีวิตที่ดีขึ้น แต่กลับกลายเป็นว่า เมื่อคืนเพิ่งสูญเสียผู้เป็นมารดาไป ตอนนี้ตัวเขากลับป่วยหนักจนไม่รู้ว่าจะมีโอกาสตื่นขึ้นมาอีกหรือไม่ ทำให้นางซุนรู้สึกปวดใจเป็นอย่างยิ่ง
“เพราะข้าไม่ดีเอง อยู่ดี ๆ ก็พูดจาไร้สาระเช่นนี้ขึ้นมา ! ท่านแม่อย่าเพิ่งร้อนใจไปเลย โก๋เอ๋อร์ต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน น้องสะใภ้สามรักลูกมาก จะต้องช่วยคุ้มครองเขาอย่างแน่นอน !”
นางหยูพูดปลอบใจเล็กน้อย เห็นหญิงชราอายุมากแล้ว ซ้ำยังมีสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก จึงคิดจะเดินเข้าไปช่วยอุ้มเด็ก แต่กลับถูกนางซุนปฏิเสธ
ถึงแม้จะพูดกล่าวโทษออกมา แต่นางซุนเองก็รู้ดีอยู่ใจว่า หนทางที่ยากลำบากเช่นนี้ แม้แต่คนหนุ่มสาวยังอดทนไม่ได้นาน แล้วนับประสาอะไรกับเด็กตัวเล็ก ๆ ที่อ่อนแอเช่นนี้
นางเพียงคิดว่า ในเวลาที่เหลืออยู่อีกเพียงไม่มากนี้ อยากกอดหลานชายผู้ที่มีชีวิตอาภัพคนนี้ให้มาก และจ้องมองเขามีชีวิตรอดไปอีกสักพักเท่านั้น
“ท่านแม่......”
ไม่รู้ด้วยเหตุใด เด็กน้อยที่หมดสิตอยู่จึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้น มือเล็ก ๆ ที่อ่อนแอโบกไปมา “ท่านแม่กลับมาแล้ว......”