บท
ตั้งค่า

ตอนที่ ๘ : บททดสอบของโชคชะตา(2)

“ถ้าคุณหมอให้ออกจากโรงพยาบาลได้ หนูฝันจะต้องไปอยู่ที่บ้านลุงนะ” เสียงของชวินดึงหญิงสาวให้ตื่นจากภวังค์

“เอ่อ...ไม่ต้องหรอกค่ะคุณลุง ฝันจะกลับไปอยู่กับน้าของฝัน” แน่นอนว่าเธอรีบส่ายหน้าปฏิเสธทันที

“เรื่องน้าของหนูไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวลุงจะให้คนไปรับมาอยู่ด้วยกันเสียเลย”

“ไม่นะคะ คุณลุง...ฝันไม่อยากรบกวนคุณลุงอีกแล้ว”

“อย่าพูดแบบนั้นเลย ทอฝัน ลุงรู้ว่าหนูเป็นคนขี้เกรงใจ แต่เรื่องนี้หนูจะต้องฟังลุงนะ” ผู้สูงวัยกว่าทำหน้าเครียด “คุณหมอบอกว่าจากนี้ไปหนูจะทำงานหนักไม่ได้อีก ทำได้แค่งานเบาๆ อย่างพวกเย็บปักถักร้อยเท่านั้น เมื่อวานหนูเล่าให้ลุงฟังว่าตอนอยู่ที่สลัม หนูต้องรับจ้างทำความสะอาด รับจ้างซักรีดเสื้อผ้า แต่จากนี้ไปหนูจะทำมันไม่ได้อีกแล้ว”

“ทำไมละคะ?” ทอฝันถึงกับหน้าซีด

“มันก็ไม่มีอะไรมากหรอก แค่ร่างกายของหนูได้รับการกระทบกระเทือนที่รุนแรงมาก กว่าทุกอย่างจะกลับมาทำงานได้ตามปกติเหมือนคนทั่วไปมันก็ต้องใช้เวลา อย่างน้อยก็อาจจะสองสามปี คุณหมอบอกว่าหนูต้องได้รับการดูแลเอาใส่ใจอย่างดี เพราะการที่หนูได้รับการกระทบกระเทือนที่ศีรษะมันอาจส่งผลทำให้ตาบอดได้ อย่าเสี่ยงกลับไปอยู่ที่นั่นอีกเลยนะหนูฝัน ให้ลุงได้ดูแลหนูเถอะ” ชวินมองหญิงสาวอย่างอ่อนโยน

“นี่คุณลุง...หมายความว่าอย่างไรคะ”

“อย่าคิดไปไกลเชียวนะ ลุงไม่ใช่ตาแก่หัวงูหรอกน่า” เขาหัวเราะชอบใจ “ที่บอกว่าจะรับผิดชอบนั่นน่ะ ลุงหมายถึงว่าลุงจะรับหนูเป็นลูกสาวบุญธรรมต่างหาก ลุงจะส่งเสียหนูให้เรียนต่อเท่าที่หนูต้องการ รวมทั้งให้น้าของหนูมาคอยดูแลหนูอย่างสุขสบายด้วย”

“เรื่องเรียนไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ น้าอ้อยส่งฝันเรียนได้แน่ๆ” เธอยังไม่วายหาข้ออ้าง

“น้าของหนูอาจจะส่งเสียหนูได้ แต่ก็ต้องเจียดเวลาทำงานมาคอยดูแลหนูด้วย อีกอย่างหนูก็ไม่สามารถช่วยทำงานอะไรได้เลย แบบนั้นมันจะไม่กลายเป็นการเพิ่มภาระให้น้าเขาหรอกหรือ หนูฝัน ถ้ารักน้าของหนูจริงๆ ลุงว่าหนูควรทำให้น้าเขาสบายทั้งกายและใจดีกว่า ถ้าหนูตอบตกลง...หนูก็จะกลายเป็นคุณหนูเล็กแห่งบ้านสุรกิจบวรทันที”

“คุณหนูเล็กแห่งบ้านสุรกิจบวรอย่างนั้นหรือคะ?”

“ใช่จ้ะ หลังจากภรรยาเก่าเสียชีวิต ลุงก็แต่งงานใหม่ แต่ไม่ได้คิดจะมีลูกกับภรรยาใหม่ เพราะเห็นว่าเธอมีลูกติดชายหญิงมาแล้วสองคน ลุงก็เลยจดทะเบียนรับเด็กสองคนนั้นเป็นลูกบุญธรรมให้ถูกต้องตามกฎหมาย ถ้าหนูตอบตกลงยอมเป็นลูกสาวอีกคนของลุง หนูก็จะกลายเป็นน้องเล็กที่สุดในบ้าน” ชวินยิ้มกว้าง สายตามองคนที่นั่งเอนกายอยู่บนเตียงด้วยความปรารถนาดี

“ฝันซาบซึ้งมากค่ะ ที่คุณลุงกรุณาฝัน แต่ว่าฝัน...” ทอฝันดูอึดอัดใจ ลึกๆ ก็อยากให้อรชรมีชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ต้องมีเธอไปเป็นตัวถ่วงอีก แต่พอคิดอีกแง่ก็กลัวผู้คนครหานินทาว่าฉวยโอกาสหาความสุขสบายใส่ตัว อีกอย่างถ้าภรรยาและลูกๆ ของเขารู้เข้า อาจจะไม่ยินดีก็ได้ที่เธอจะเข้าไปอยู่ด้วยอีกคน

“ลุงรู้ว่ามันตัดสินใจยาก ไหนหนูจะกลัวคนอื่นพูดไม่ดี แล้วไหนจะเกรงใจครอบครัวของลุงอีก แต่ลุงอยากให้หนูทบทวนใหม่นะ ลุงเองก็แก่แล้ว ถ้ามีเด็กดีอย่างหนูเข้าไปช่วยดูแลและรับช่วงงานต่อในอนาคต ลุงคงสบายใจมาก...ทุกวันนี้ลูกบุญธรรมของลุงเอาแต่สร้างเรื่องหนักใจ พาปัญหาเข้ามารบกวนจิตใจได้แทบทุกวัน” สีหน้าของเขาหม่นหมองจนคนมองรู้สึกแย่ตามไปด้วย

“อย่าคิดมากสิคะ คุณลุง คนเราอาจจะมีด้านร้ายบ้าง แต่ก็ไม่ร้ายไปเสียทุกอย่างหรอกค่ะ ฝันเชื่อสักวันหนึ่งลูกๆ ของคุณลุงจะต้องคิดได้ ต่อให้ไม่ใช่สายเลือดเดียวกันก็รักกันได้นะคะ ดูอย่างฝันกับน้าอ้อยสิคะ เราเป็นแค่คนบ้านใกล้เรือนเคียง แต่ก็รักและดูแลกันเหมือนญาติพี่น้อง” หญิงสาวพูดให้กำลังใจ

“เพราะหนูมีความคิดไม่เหมือนใครแบบนี้น่ะสิ ลุงถึงอยากได้หนูมาเป็นลูกสาว แต่เอาเถอะ...ในเมื่อหนูไม่อยากรับข้อเสนอของลุง ลุงก็จะไม่วุ่นวายอีก” ชวินถอนหายใจ หมดแรงที่จะเซ้าซี้ต่อ ในเมื่อทอฝันไม่ปรารถนาจะอยู่ภายใต้ความดูแลของเขา เขาก็คงได้แต่ทำใจยอมรับความจริง

“อย่าพูดแบบนั้นสิคะ ฝันไม่เคยคิดว่าคุณลุงวุ่นวายเลยนะ” ทอฝันดึงมือที่เริ่มยับย่นขึ้นตามวัยมากุมไว้ “ถ้าคุณลุงไม่รังเกียจฝัน และคิดว่าคนในบ้านสุรกิจบวรไม่มีปัญหาที่ฝันจะเข้าไปอยู่ในฐานะลูกบุญธรรมอีกคน ฝัน...ฝันก็ยินดีรับความกรุณาของคุณลุงค่ะ ฝันจะเป็นลูกสาวของคุณลุง แล้วจะตอบแทนบุญคุณที่คุณลุงช่วยชีวิตฝันเอาไว้ให้ดีที่สุด เพราะถ้าไม่มีคุณลุง ฝันก็คงไม่รอดมาจนถึงวันนี้หรอกค่ะ” ในที่สุดหญิงสาวก็ยอมตัดสินใจ รอยยิ้มน่ารักระบายขึ้นบนใบหน้า

“จริงหรือลูก” ชวินตื่นเต้นจนทำตัวไม่ถูก

“จริงค่ะ แต่ฝันจะต้องบอกเรื่องนี้กับน้าอ้อยก่อนนะคะ ในฐานะที่น้าอ้อยเป็นผู้ใหญ่เพียงคนเดียวที่ฝันมีอยู่ ฝันจะทำอะไรโดยไม่บอกกล่าวไม่ได้เด็ดขาด”

“ได้สิ ไม่ว่าหนูจะต้องการอะไร พ่อคนนี้ก็จะทำให้ทุกอย่างเลย” เขายิ้มกว้าง

“ถ้าอย่างนั้นทันทีที่ออกจากโรงพยาบาล เราไปรับน้าอ้อยด้วยกันนะคะ คุณลุง” เธอสบตากับชายสูงวัยตรงหน้า น้ำตาซึมเมื่อคิดได้ว่าท่ามกลางโชคร้าย เบื้องบนมักจะเมตตาส่งสิ่งที่ดีมาคอยช่วยเหลืออยู่เสมอ ตลอดเวลาที่ผ่านมาชวินให้แสดงให้เห็นแล้วว่าเอ็นดูเธอแบบลูกหลาน ไม่ได้มีสิ่งใดแอบแฝงจริงๆ

“ตกลงจ้ะ แต่ก่อนอื่นหนูต้องเลิกเรียกพ่อว่าลุงเสียก่อน ไหน...ลองเรียกพ่อว่าพ่อสิ ทอฝัน”

“ค่ะ คุณพ่อ จากนี้ไปฝันคือลูกสาวของคุณพ่อแล้วนะคะ” คำพูดทอฝันทำให้อีกฝ่ายน้ำตาคลอด้วยความปลื้มปิติ

“หนูไม่รู้หรอกว่าคำๆ นี้มันมีความหมายกับไม้ใกล้ฝั่งอย่างพ่อมากแค่ไหน พ่อผิดหวังจากลูกทั้งสองคนมามากพอแล้ว หวังว่าลูกสาวคนนี้ของพ่อจะทำให้พ่อมีความสุขในบั้นปลายชีวิตนะลูก” ชวินต้องการได้ยินคำนี้มากที่สุด

“ฝันจะทำหน้าที่ของลูกที่ดีให้สมกับที่คุณพ่อวางใจค่ะ เพราะฝันเองก็อยากมีพ่อเหมือนคนอื่นมานานแล้วเหมือนกัน” มือหนาที่ลูบไล้บนศีรษะทำให้เธอรู้สึกอบอุ่น ดีใจที่วันนี้ได้มีพ่อเหมือนกับคนอื่นเขาบ้าง ถ้าสุภารู้ว่ามีผู้ใหญ่ใจดียื่นมือเข้ามาช่วยเหลือแบบนี้ ย่อมเป็นสุขใจและหมดกังวลแน่ จากนี้ไปทอฝันคงมีชีวิตที่ดีขึ้น

ได้แต่หวังว่าโชคชะตาจะเลิกเล่นตลกกับหญิงสาวผู้น่าสงสารคนนี้เสียที...

หลังจากที่ไม่ได้รับการอนุมัติให้ออกจากโรงพยาบาล เพราะต้องทำกายภาพบำบัดบริหารกล้ามเนื้อก่อน ผ่านไปเพียงแค่สามวัน ทอฝันก็สามารถเดินได้คล่องแคล่วมากขึ้น คุณหมอเห็นว่าไม่มีอะไรน่าห่วงแล้วจึงอนุญาตให้กลับบ้านได้ แต่ต้องให้นักกายภาพบำบัดช่วยไปดูแลก่อนสักระยะหนึ่ง เช้านี้หัวใจของหญิงสาวพองโตคับอก ดีใจจนเอื้อนเอ่ยเป็นคำพูดไม่ได้ว่ารู้สึกอย่างไรที่จะได้ไปพบหน้าอรชรเสียที

รถยนต์คันหรูแล่นผ่านหน้าบ้านไม้สภาพเก่าทรุดโทรม ซึ่งเคยอาศัยอยู่กับมารดามาตั้งแต่ยังเด็ก เพื่อมุ่งหน้าตรงไปยังบ้านของอรชร ตาคู่สวยเหลือบมองบ้านหลังน้อยนั้นแวบหนึ่ง ไม่อยากให้ความอาวรณ์ก่อเกิดขึ้นอีก เพราะตั้งแต่วันที่ตอบตกลงยอมให้ชวินเป็นพ่อบุญธรรม หญิงสาวก็บอกกับตัวเองไว้ว่าจะปล่อยให้เรื่องที่ผ่านมาเป็นเพียงอดีต รวมทั้งเรื่องของผู้ชายที่เธอทั้งรักทั้งเคืองนั่นก็ด้วย ชื่อของเขาจะไม่หลุดรอดออกมาจากริมฝีปากอีกต่อไป

อรชรกำลังจะออกจากบ้านเพื่อไปดูลูกน้องขนของไปส่งให้ร้านค้าทั่วไป เผื่อว่าจะมีอะไรตกหล่นขาดเหลือ อีกไม่กี่วันเธอก็จะเซ้งร้านค้าให้กับคนที่ต้องการซื้อต่อแล้ว อยู่ที่นี่ไปก็ไม่เกิดประโยชน์ กรุงเทพฯเป็นเมืองใหญ่ที่มีค่าครองชีพสูงไม่ใช่น้อย ช่วงนี้เศรษฐกิจก็ไม่สู้ดีนัก ลำพังแค่เปิดร้านคาขายปลีกขายส่งนี่คงไม่พอเก็บเงินไว้เผาตัวเองตอนแก่ตาย สู้กลับไปหางานทำอยู่ที่บ้านต่างจังหวัดเสียยังดีกว่า ถึงที่นั่นจะไม่มีใครเหลืออยู่แล้ว แต่ก็ยังมีนามีไร่ให้ทำแก้เหงา อรชรตั้งใจว่าจะนำเงินที่ได้จากการเซ้งกิจการไปจ้างคนงานมาฟื้นฟูไร่นา แล้วปลูกผลหมากรากไม้ หากรวมเงินเก็บที่มีอยู่ด้วยก็คงทำได้อย่างครบวงจร วางแผนถึงขั้นจะสร้างเป็นบ้านสวนไว้ให้นักท่องเที่ยวมาพักผ่อนเลยด้วยซ้ำ

“น้าอ้อยกำลังจะไปไหนจ๊ะ” ขณะที่กำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยและคล้องแม่กุญแจที่ประตูหน้าบ้าน สุ้มเสียงหวานใสก็ดึงอรชรให้ตื่นจากภวังค์

“กำลังจะไปที่ร้านนั่นแหละ มีอะไรหรือเปล่า เดี๋ยวขอล็อกบ้านให้มันเรียบร้อยก่อนนะ ข้าวของก็พะรุงพะรังเชียว” ตอนแรกอรชรก็ไม่ได้สนใจนัก ได้แค่เออออขอตัวปิดบ้านให้เรียบร้อยเสียก่อน แต่จู่ๆ มือที่กำลังสาละวนอยู่กับข้าวของก็หยุดชะงัก หัวใจเต้นถี่ขึ้นจนแทบจะกระโจนออกมานอกอก ตัดสินใจหันหลังกลับไปมองแทบจะทันที

“ทอฝัน!” อรชรเบิกตาโพลงเหมือนเห็นผี หยาดน้ำสีใสคลอรื้นขึ้นมาเต็มหน่วย ขนอ่อนบนร่างกายลุกชันไปหมด

“น้าอ้อย” ทอฝันไม่รอให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัว รีบโผเข้าไปกอดแนบแน่น

“ฝัน...นี่น้าไม่ได้ฝันไปใช่ไหมลูก” น้าสาวกอดตอบ ซบหน้าลงบนไหล่บาง หลับตาลงภาวนาขอให้นี่ไม่ใช่แค่เพียงความฝันเหมือนที่ผ่านมาอีก เมื่อเสียงสะอื้นของคนในอ้อมกอดเป็นเครื่องยืนยันว่ามันคือเรื่องจริง อรชรจึงยกมือขึ้นลูบไหล่ลูบหลังหญิงสาวด้วยความคิดถึง ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าวันนี้จะได้กลับมาพบหน้ากันอีกครั้ง ทุกคืนอรชรต้องเข้านอนด้วยความโศกเศร้า เวลาไปทำบุญให้สุภาก็ได้แต่ขอโทษที่ไม่อาจดูแลทอฝันได้ตามที่พูดไว้

“ฝันกลับมาแล้วจ้ะ น้าอ้อย ฝันขอโทษที่หายไป น้าอ้อยอย่าโกรธฝันเลยนะจ๊ะ” หญิงสาวผละออกจากอ้อมกอด ยกมือเช็ดน้ำตาให้ผู้สูงวัยกว่าด้วยความรัก ก่อนจะโผเข้าไปกอดแน่นอีกครั้ง

“น้าไม่โกรธเลยฝัน น้าเสียใจมากกว่าที่ฝันไม่กลับมาหาน้า”

“ฝันถูกรถชนตอนที่กำลังจะเอาเช็กไปคืนให้คุณปัญจ้ะ ฝันรู้สึกตัวอีกครั้งมันก็ผ่านมาเป็นเดือนแล้ว ฝันขยับตัวไม่ได้ พูดหรือจำอะไรก็ไม่ได้...แต่พอฝันดีขึ้นฝันก็รีบมาหาน้าอ้อยเลย” คำบอกเล่าของเธอทำให้อรชรรีบมองสำรวจตามร่างกาย วันนี้ทอฝันสวมชุดกระโปรงแขนกุดสีฟ้าน้ำทะเลดูราคาแพง ผมยาวสลวยปล่อยอยู่กลางหลัง มีร่องรอยของบาดแผลปรากฏเป็นรอยจางๆ อยู่บนหน้าผากเช่นเดียวกับบริเวณต้นแขนกลมกลึง อีกทั้งรูปร่างก็ผอมลงไปถนัดตา เมื่อก่อนว่าผอมแล้ว แต่ผอมนี้ผอมเสียจนแก้มตอบไปหมด

“แล้วตอนนี้ฝันหายดีแล้วหรือ แน่ใจนะว่าไม่เป็นอะไรแล้ว” อรชรถามพร้อมกับดึงมือบางมากุมไว้

“คุณหมอบอกว่าฝันอาการสาหัสมาก รอดมาได้ก็เพราะปาฏิหาริย์ล้วนๆ แต่ความจริงฝันว่าฝันรอดมาได้เพราะมีคนช่วยเหลือมากกว่านะจ๊ะ...นี่ถ้าฝันไม่ได้คุณพ่อชวินช่วยเอาไว้ ฝันคงไม่มีโอกาสได้กลับมาหาน้าอ้อยอีกแน่ๆ” ทอฝันยิ้มหวานเมื่อเอ่ยถึงชายที่รักและเคารพ

“คุณพ่อชวิน? นี่ฝันหมายถึงใครกัน” น้าสาวทำหน้างง

“ผมเองครับ คุณอรชร” เสียงที่ดังแทรกขึ้นอย่างนุ่มนวลทำให้สองสาวหันไปมอง “ผมชวิน สุรกิจบวร...ว่าที่คุณพ่อบุญธรรมของทอฝันครับ” ทอฝันส่งยิ้มให้คนที่อีกไม่นานก็จะกลายมาเป็นบิดาบุญธรรม ส่วนอรชรนั้นขมวดคิ้วไม่เข้าใจ แต่ตามมารยาทไม่ควรถามเอาตอนนี้ ทางที่ดีควรเชิญแขกเข้าไปดื่มน้ำในบ้านเสียก่อน

“ฉันว่าเราเข้าไปคุยกันในบ้านดีกว่าค่ะ ยืนอยู่ตรงนี้นานๆ มันร้อน” ว่าแล้วก็วางข้าวของลงบนพื้น จัดการไขประตูเปิดออกอีกครั้ง แล้วก้มลงคว้าของขึ้นมาถือโดยมีทอฝันช่วยด้วยคน ชวินเห็นลูกสาวทำหน้าเหยเก เพราะแขนยังบอบช้ำอยู่ จึงรีบเข้าไปแย่งของจากในมือมาถือเสียเอง แล้วเดินตามอรชรเข้าไปข้างในบ้าน

บ้านของอรชรเป็นบ้านไม้สองชั้น สภาพดีกว่าบ้านของทอฝันหลายเท่า ข้างในมีชุดเก้าอี้ไม้ตั้งอยู่กลางห้องโถงสำหรับต้อนรับแขก มีบันไดทอดตัวขึ้นสู่ชั้นบนตระหง่านอยู่กลางบ้าน ที่สำคัญดูสะอาดสะอ้านสมกับที่เจ้าของบ้านเป็นผู้หญิงตัวคนเดียว ทอฝันกำลังจะเดินเข้าไปในครัวเพื่อช่วยเตรียมน้ำเย็นให้บิดา แต่อรชรยกมือห้าม เพราะรู้ดีว่าร่างกายของหลานสาวยังไม่เป็นปกติ เวลาก้าวเดินก็ดูไม่ค่อยมั่นคงดีนัก โชคดีเท่าไรแล้วที่ใบหน้างดงามไม่เสียโฉม มีเพียงรอยเล็กเท่าแมวข่วน

เมื่อนำแก้วน้ำใสเย็นชื่นใจมาวางไว้ตรงหน้าชวินแล้ว อรชรก็นั่งลงด้วยทีท่าสงบนิ่ง ชวินยกน้ำขึ้นจิบอย่างกระหาย เพราะตั้งแต่เช้าตรู่ก็มีเพียงกาแฟแก้วเดียวเท่านั้นที่ตกถึงท้อง เขามัวแต่วุ่นวายจัดการเรื่องที่ทอฝันจะได้ออกจากโรงพยาบาล เรียกได้ว่าอิ่มอกอิ่มจนไม่สนใจจะรับประทานมื้อเช้ากันเลยก็ว่าได้

อรชรเป็นฝ่ายถามถึงเหตุผลของเรื่องทุกอย่างขึ้นมาก่อน ชวินกับทอฝันอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาว่าเป็นอย่างไรบ้าง อรชรนั่งฟังด้วยความเวทนา และรู้สึกดีใจที่ชวินดีแสนดีกับทอฝัน ตอนที่นอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาล เขาจะมาดูแลถามไถ่อาการอยู่เสมอ ไม่ว่าเธอจะหลับหรือตื่นอยู่ก็ตาม ทั้งสามคนพูดคุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้นจนเข้าใจกระจ่างชัด มีเพียงสิ่งเดียวที่อรชรไม่เห็นด้วย นั่นคือการให้ย้ายเข้าไปอยู่ด้วยกัน

“ฉันคงทำแบบนั้นไม่ได้หรอกค่ะ มันคงไม่เหมาะที่จะย้ายไปอยู่บ้านคนอื่นทั้งที่ฉันเองก็มีบ้านอยู่แล้ว เรื่องเงินทองก็ไม่ได้ขัดสนอะไร นี่ตั้งใจว่าจะเซ้งร้านค้าให้กับคนรู้จักกัน แล้วจะย้ายกลับไปทำไร่ทำสวนอยู่ที่บ้านต่างจังหวัดอยู่พอดี”

“อะไรกันน้าอ้อย...นี่น้าอ้อยจะทิ้งฝันหรือ” หญิงสาวถามขึ้นด้วยน้ำเสียงตกอกตกใจ

“น้าไม่ได้คิดจะทิ้งฝันหรอกนะ ถ้าฝันกลับมาแบบตัวคนเดียวเหมือนเมื่อก่อน น้าก็จะพาฝันไปอยู่ด้วยกัน แต่นี่ฝันโชคดีที่ได้มีพ่อเหมือนคนอื่นเขาแล้ว ฝันก็ควรทำหน้าที่ลูก ตั้งใจเรียนให้มาก จบมาจะได้ช่วยคุณชวินทำงาน ถ้าคิดถึงน้าเมื่อไรก็ค่อยหาเวลาไปเยี่ยมเยียนเอาก็ได้” แม้จะพูดเหมือนตัดรอน แต่ก็เป็นเพราะอยากให้ทอฝันไปมีอนาคตที่ดี ไม่ต้องมาพะวักพะวงเป็นห่วงกันอีก

“น้าอ้อยพูดเองไม่ใช่หรือจ๊ะว่าแม่ฝากฝันไว้กับน้าอ้อย” ทอฝันอ้างถึงความหลัง “ฝันไม่ใช่คนที่ได้ดีแล้วจะลืมผู้มีพระคุณนะ ถ้าน้าอ้อยยืนยันที่จะไปเพราะเห็นฝันเป็นภาระ ฝันก็จะไม่ไปอยู่กับใครทั้งนั้น ฝันจะขอไปตามทางของฝันเองเหมือนกัน ฝันจะไม่เซ้าซี้ให้น้าอ้อยรำคาญใจอีกแล้วจ้ะ” ร่างผอมบางประคองตัวเองลุกขึ้นจากเก้าอี้

“มีเหตุผลหน่อยสิฝัน น้าพูดแบบนี้เพราะ...”

“เพราะไม่อยากเป็นตัวถ่วงหรือเป็นภาระให้ฝันใช่ไหมจ๊ะ ถ้าใช่...น้าอ้อยคิดผิดแล้ว เพราะคนที่เป็นตัวถ่วงในชีวิตน้าอ้อยคือฝันเองต่างหาก ต่อไปนี้ฝันไม่เหมือนเดิมแล้ว ฝันไม่แข็งแรงพอที่จะทำงานแบ่งเบาภาระน้าอ้อย หมอบอกว่าถ้าฝันทำงานหนัก มันมีความเสี่ยงหลายอย่างมาก ตอนนี้ระบบต่างๆ ในตัวฝันมันยังผิดเพี้ยนอยู่ กว่าจะฟื้นฟูให้กลับมาแข็งแรงเหมือนเก่าก็ต้องใช้เวลานานหลายปี”

“จริงหรือฝัน” อรชรลุกพรวดขึ้นยืนทันที

“จริงครับ ผมยืนยันได้ว่านี่คือเรื่องจริง ช่วงสามสี่ปีนี้ทอฝันจะทำงานหนักมากไม่ได้ แล้วก็ต้องตรวจเช็กสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ เพราะอุบัติเหตุครั้งนั้นเรียกได้ว่ารุนแรงมากจริงๆ มีเลือดออกในปอด เส้นเลือดในสมองบอบช้ำ มีการกระทบกระเทือนภายในหลายอย่าง มันอาจไม่ได้แสดงอาการออกมาทั้งหมด แต่ถ้าทำงานหนักหรือได้รับความรุนแรงซ้ำซ้อน อาการพวกนั้นก็อาจจะปรากฏขึ้นมาอีกก็ได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่ามันจะเป็นไปตลอดนะครับ พอเวลาผ่านไป ทอฝันดูแลตัวเองให้ดี สุขภาพก็จะดีขึ้นเหมือนเดิมเพราะอายุยังน้อยอยู่มาก...ผมว่าคุณเป็นคนเดียวนะครับที่จะสามารถดูแลทอฝันได้ดีที่สุด” ชวินช่วยพูดอีกแรง หากอรชรยังยืนยันคำเดิม เห็นทีความหวังเขาคงพังทลายด้วยเช่นกัน มันไม่บ่อยนักหรอกที่จะได้เจอเด็กสาวที่ถูกชะตาถึงเพียงนี้ ซ้ำยังมีทัศนคติและความคิดในการใช้ชีวิตดียิ่งกว่าผู้ใหญ่บางคนอีกด้วย ถ้าไม่ได้เธอไปเป็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวน เขาคงเสียใจมากทีเดียว

ถึงคราวที่อรชรต้องคิดหนักอีกครั้ง ในเมื่อทอฝันสุขภาพไม่ดีเหมือนเก่า แล้วยังตัดพ้อเสมือนว่าตัวเองเป็นภาระ คนเป็นน้าก็ใจจะขาดเสียให้ได้ จะให้ทำใจแข็งปฏิเสธต่อไปก็ทำไม่ไหว จึงรีบเดินตรงเข้าไปสวมกอดหลานสาวแน่น ไม่อยากให้ทอฝันที่แสนดีต้องมาเสียใจอีกแล้ว

“น้าขอโทษนะฝัน น้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น...น้าไม่ไปแล้ว” อรชรเสียงสั่นเครือ “น้าจะเซ้งร้านให้คนอื่นแล้วก็เปิดบ้านหลังนี้ให้เช่า น้าจะได้มีรายได้เข้ามาไว้ใช้จ่ายเพื่อแบ่งเบาคุณชวินบ้าง ต่อไปนี้น้าจะดูแลฝันเอง ไม่ว่าฝันจะไปไหนกับใคร น้าก็จะไปด้วยนะลูกนะ” สองสาวกอดกันแนบแน่น

“ขอบคุณมากจ้ะ น้าอ้อย ฝันดีใจนะที่น้าอ้อยยอมไปกับฝัน” ความจริงแล้วทอฝันไม่ได้ต้องการให้อรชรไปอยู่ด้วยเพื่อคอยช่วยดูแล แต่เพียงแค่ต้องการให้ได้ชีวิตอย่างสุขสบาย ให้สมกับที่ช่วยเหลือเกื้อกูลเธอมาตลอด ชวินเคยบอกว่าที่บ้านสุรกิจบวรมีสาวใช้หลายคน หากย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านในฐานะลูกสาวคนเล็ก อรชรก็จะมีสาวใช้ไว้ช่วยดูแล ไม่ต้องทนเหนื่อยกับงานบ้านงานเรือนอีก เมื่อตัวเองกำลังจะสุขสบายเพราะได้ทำและคิดแต่สิ่งดี ทอฝันจึงอยากให้คนที่มีส่วนช่วยขัดเกลานิสัยได้รับความสุขสบายด้วยเช่นกัน

..................................................................................................................................................................

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel