ตอนที่ ๘ : บททดสอบของโชคชะตา(1)
เสียงของเด็กๆ ที่แต่งกายมอมแมมวิ่งเล่นหยอกล้อกันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ทำให้เจ้าของร่างสูงโปร่งที่นั่งนิ่งอยู่ตรงท่าน้ำท้ายซอยสลัมระบายยิ้มอ่อนโยนขึ้นบนใบหน้า นานเกือบสองเดือนแล้วที่ปราชญ์ไม่ค่อยได้กลับไปที่บ้านราชรัชตะ แต่ใช้ชีวิตอยู่ในบ้านของทอฝันราวกับเป็นบ้านของตัวเอง แม้ที่แห่งนี้จะไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกและค่อนข้างลำบาก แต่อย่างน้อยก็ยังมีไออุ่นของหญิงสาวที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย คอยหล่อเลี้ยงหัวใจให้ไม่ต้องทุกข์ทน เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าช่วงชีวิตหนึ่งจะมีโอกาสได้มาสัมผัสบรรยากาศที่อบอุ่นแบบนี้ ทุกคนต่างก็แบ่งปันเหมือนเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน อรชรเองก็ดีกับเขามาก คอยทำอาหารส่งให้ถึงบ้านครบทั้งสามเวลา ซ้ำยังไม่ยอมรับเงินที่เขาหยิบยื่นให้เพื่อเป็นการตอบแทนอีก
“มาอยู่นี่เอง คุณปราชญ์ น้าตามหาตั้งนานแน่ะค่ะ” เสียงคุ้นหูดังขึ้นจากทางด้านหลัง
“ผมมานั่งเล่นน่ะครับ น้าอ้อยมาตามหาผม มีอะไรด่วนหรือเปล่าครับ” ปราชญ์ลุกขึ้นพร้อมปัดกางเกงเบาๆ ให้ฝุ่นร่วง
“คือน้า...” ภาพนี้ทำให้อรชรนึกถึงทอฝันขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ น้ำตาเอ่อคลอขึ้นมาอีกครั้งจนชายหนุ่มต้องรีบเดินเข้ามาหาเพื่อสอบถามให้แน่ใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“เป็นอะไรไปครับ น้าอ้อย มันเกี่ยวกับฝันหรือเปล่า”
“เปล่าค่ะเปล่า น้าเห็นคุณปราชญ์มานั่งอยู่ที่นี่ทุกวันก็เลยอดคิดถึงฝันขึ้นมาไม่ได้” เธอรีบยกมือขึ้นปาดน้ำตาออกจากแก้ม “ฝันเองก็ชอบที่นี่มากเหมือนกัน เวลาไม่มีอะไรทำก็มักจะมานั่งเล่นอยู่ที่ท่าน้ำเสมอ” พูดถึงความทรงจำเก่าๆ อรชรก็คลี่ยิ้มกว้าง หากในวันนี้ได้เห็นทอฝันนั่งอยู่เคียงข้างปราชญ์ก็คงดีไม่น้อย
“ผมคิดว่ามีความคืบหน้าเรื่องฝันเสียอีก” คนที่แอบมีความหวังทำหน้าเศร้าสลดลงอีกครั้ง
“เรื่องของฝันความหวังมันก็เหมือนการจุดเทียนอยู่กลางสายฝน คุณปราชญ์อย่าคาดหวังมากนักเลยนะคะ ยิ่งคาดหวังเราก็ยิ่งเจ็บปวด” เธอยกมือขึ้นแตะที่ต้นแขนกำยำอย่างให้กำลังใจ “น้ามาที่นี่เพื่อบอกว่าคุณพ่อคุณแม่ของคุณปราชญ์มาหาน่ะค่ะ ตอนนี้รออยู่ในบ้านแล้ว”
“มาถึงที่นี่อีกแล้วหรือครับ ผมอุตส่าห์บอกแล้วแท้ๆ เชียวว่ามีอะไรให้โทรศัพท์มาบอกก่อน ไม่รู้ว่าคุณแม่จะบ่นเรื่องที่บ้านของฝันเก่าและโทรมอีกไหม ส่วนคุณพ่อก็พยายามจะให้คนมาต่อเติมบูรณะบ้านเสียเหลือเกิน ผมชักอ่อนใจแล้วนะครับเนี่ย” ชายหนุ่มเอ่ยยิ้มๆ ส่ายหน้าอย่างระอาแต่ไม่จริงจังนัก ก่อนจะเดินนำอรชรกลับไปที่บ้าน
น่าแปลกที่คราวนี้ทั้งสองท่านไม่ได้หอบหิ้วข้าวของเครื่องใช้มาฝากอีก ต่างคนต่างนั่งสงบนิ่งด้วยสีหน้าเครียดขรึม ดูจริงจังเสียจนรอยยิ้มของลูกชายหดหาย อรชรเห็นว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวของครอบครัวราชรัชตะจึงตั้งใจจะเดินเลี่ยงกลับออกไป ทว่าปราชญ์คว้าข้อมือไว้แล้วพยักหน้าให้ไปนั่งด้วยกัน อรชรเปรียบเสมือนน้าแท้ๆ ของทอฝัน ฉะนั้นเขาจึงนับว่าเป็นน้าของเขาด้วยเช่นกัน ทุกวันนี้เขาไม่เคยละเลยหน้าที่ที่ต้องทำแทนทอฝันเลยแม้แต่วันเดียว ซึ่งมันทำให้อรชรซาบซึ้งใจมาก
“คุณพ่อคุณแม่มีอะไรกับผมหรือครับ” ชายหนุ่มเปิดประเด็นทันทีที่นั่งลงบนโซฟาใกล้กลับมารดา
“พ่อกับแม่มีเรื่องต้องคุยกับลูก...เรื่องสำคัญ” ปัญญาบอกกับลูกชาย และหันไปสบตากับภรรยา
“มีอะไรก็ว่ามาได้เลยครับ ไม่ต้องอ้ำอึ้งหรือกลัวว่าผมจะไม่รับฟัง ผมยินดีฟังทุกอย่างครับ”
“แม่ว่าลูกมาอยู่ที่นี่นานพอแล้วนะปราชญ์ แม่ว่ามันถึงเวลาที่ต้องไปทำอะไรเพื่อตัวเองบ้างแล้วนะ” บุษราดึงมือลูกชายมากุมไว้บนตัก ดวงตาเต็มไปด้วยความรักและห่วงใยไม่เคยเปลี่ยน “เราทุกคนพยายามตามหาทอฝันกันแทบพลิกแผ่นดิน แต่ในเมื่อไม่พบเราก็ควรทำใจเสียที กลับบ้านไปกับแม่นะปราชญ์ แม่อยากให้ลูกไปเรียนต่อที่อังกฤษตามที่ตั้งใจไว้ ถือว่าแม่ขอร้องเถอะนะ”
“ผมยังไปไหนไม่ได้หรอกครับ จนกว่าจะรู้ว่าทอฝันอยู่ที่ไหน แล้วเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง วันนั้นนวลกับทุกคนก็บอกเองว่าฝันไม่ได้เอาเช็กไปคืนให้คุณพ่อที่บ้าน เธอหายตัวไปโดยที่ไม่มีใครรู้เห็นเลย ผมเป็นห่วงเธอครับคุณแม่ ผมไม่มีแรงจะเรียนต่อหรือทำอะไรทั้งนั้น” ปราชญ์ยืนยันว่าจะไม่หนีหายไปไหน หากวันใดทอฝันกลับมา เธอจะได้รู้ว่าผู้ชายคนนี้เฝ้ารออยู่ด้วยความรู้สึกผิดบาปในหัวใจเสมอ
ไม่มีวันไหนเลยที่เขาจะยกโทษให้กับตัวเองได้ลง...
“พ่อรู้ว่าลูกทำแบบนี้เพราะรู้สึกผิดต่อหนูทอฝัน แต่อย่าเอาความรู้สึกผิดพวกนี้มาทำให้ตัวเองหมดอนาคตได้ไหม การที่ลูกมานั่งจับเจ่าอยู่ที่นี่มันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาหรอกนะ”
“ผมไม่ได้ปล่อยเวลาให้มันผ่านไปเฉยๆ นะครับ ผมต้องตามหาฝันให้เจอ”
“แต่พ่อให้นักสืบตามหาตัวหนูฝันมาเป็นเดือนแล้วนะปราชญ์”
“เพราะอย่างนั้นก็ต้องตามหาต่อไปครับ ผมจะไม่ไปไหนจนกว่าจะเจอฝัน” ชายหนุ่มยืนยันเหมือนเด็กรื้อรั้นที่ต่อรองอยากได้ของที่ตัวเองอยากได้ เขารู้ว่าเขายังใหม่นักสำหรับประสบการณ์รักแท้ แต่การที่เขาเลือกที่จะรอใครสักคนอย่างมีความหวัง เขาคิดว่าสามารถเรียกมันว่าความรักได้อย่างเต็มปากแล้ว ที่ผ่านมาเคยคบหาผู้หญิงมากมาย แต่ก็เป็นเพียงแค่ความสัมพันธ์ฉาบฉวยที่ต่างฝ่ายต่างตกลงปลงใจกัน เขาจะลึกซึ้งด้วยสำหรับคนที่เต็มใจและพร้อมแล้วเท่านั้น
“ถ้าแม่ถามอะไรก็อย่าโกรธแม่เลยนะ” บุษราถอนหายใจ “ถ้าลูกมารู้ว่าหนูฝันไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้ว ลูกจะทำอย่างไรต่อไป จะตายตามเธอไปโดยที่ไม่สนใจพ่อแม่เลยใช่ไหม หรือจะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่เพื่อระลึกเธอ...แต่ปล่อยให้พ่อกับแม่อยู่ดูแลกันตามลำพัง”
“ทำไมถึงพูดแบบนั้นละครับ คุณแม่” ชายหนุ่มทำหน้าเครียดหนักขึ้น
“แม่ได้แช่งทอฝันนะปราชญ์ แต่แม่แค่อยากรู้ว่าทำไมลูกถึงไม่นึกถึงจิตใจของพ่อกับแม่บ้าง เราสองคนก็ต้องการเห็นลูกชายคนเดียวมีอนาคตที่ดี มีรากฐานชีวิตที่มั่นคง ไม่ใช่มัวแต่มาทำอะไรที่เปล่าประโยชน์แบบนี้ ทำไมถึงไม่ยอมเข้าใจหัวอกของคนเป็นพ่อเป็นแม่บ้างเลย” บุษราน้ำตาซึม เบือนหน้าหนีลูกชายไปด้วยความน้อยใจ
“คุณปัญกับคุณบุษพูดถูกนะคะ น้าว่ามันถึงเวลาแล้วที่คุณปราชญ์จะต้องไปสร้างอนาคตของตัวเอง คนเราจะมาย่ำอยู่กับที่นานๆ ไม่ได้หรอกค่ะ ชีวิตมันต้องก้าวต่อไปข้างหน้า ช่วงเวลาที่ยากลำบากมันก็เป็นแค่บททดสอบความอดทนของเราเท่านั้น น้าเชื่อว่าถ้าฝันอยู่ตรงนี้ ฝันจะต้องอยากให้คุณปราชญ์ไปเรียนต่อแน่นอน” อรชรช่วยพูดอีกแรง เพราะเข้าใจหัวอกของปัญญากับบุษราเป็นอย่างดี ไม่มีพ่อแม่คนไหนหรอกที่อยากเห็นลูกชายเพียงคนเดียวใช้เวลาอย่างไร้จุดหมายแบบนี้
“แต่ผม...”
“เชื่อคุณพ่อคุณแม่เถอะค่ะ น้าสัญญาว่าจะติดต่อไปทันทีที่ได้ข่าวฝัน แต่ความจริง...คุณปราชญ์ตัดใจเสียเถอะนะคะ เวลามันผ่านมานานเกือบสองเดือนแล้ว น้าว่าเราคงไม่มีโอกาสตามหาฝันเจอหรอก บางทีฝันอาจจะตามไปอยู่กับแม่สุของฝันแล้วก็ได้”
“ไม่จริงครับ ผมว่าเราแค่อาจจะยังพยายามไม่พอก็ได้” ปราชญ์เถียงทันควัน
“คนอย่างฝันไม่มีทางหายไปไหนโดยไม่บอกกล่าวหรอกค่ะ ฝันเคยสัญญาไว้ว่าจะไม่ทอดทิ้งน้า น้าเชื่อว่าถ้าฝันยังมีชีวิตอยู่ ฝันจะต้องกลับบ้านมานานแล้ว แต่การที่ฝันไม่กลับมามันก็บอกได้อยู่แล้วว่าคงไม่ใช่เรื่องดี” อรชรก้มหน้าลงซ่อนน้ำตา
“ทำไมน้าอ้อยถึงสิ้นหวังแบบนี้ละครับ ฝันต้องปลอดภัยดี...เชื่อผมสิ” ไม่มีใครเห็นด้วยกับสิ่งที่ชายหนุ่มพูดสักคน
“เลิกหลอกตัวเองเถอะปราชญ์ หนูทอฝันไม่มีทางกลับมาที่นี่แล้ว ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม” ปัญญาเอ่ยขึ้นบ้าง
“ใช่ แม่เห็นด้วยกับคุณพ่อนะลูก” บุษราหันมาสบตากับลูกชาย “แต่ถ้าหนูฝันยังปลอดภัยดีอยู่จริง สักวันลูกอาจจะได้พบกับเธออีก เคยได้ยินใช่ไหมว่าคู่กันแล้วไม่แคล้วกัน บางทีโชคชะตาอาจต้องการลองใจลูกดูก็ได้ เพราะฉะนั้นลูกจะต้องมีชีวิตต่อไปเหมือนคนธรรมดาทั่วไป ไม่ควรมานั่งจมความทุกข์อยู่แบบนี้ เอาความรักที่มีต่อทอฝันเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างอนาคตให้ตัวเอง ไม่ได้เห็นหน้า ไม่ได้สัมผัส แต่ก็รับรู้ด้วยหัวใจได้ไม่ใช่หรือจ๊ะ”
“คุณแม่...” ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไป คำพูดของมารดานั้นช่างกินใจพาให้ซาบซึ้งเหลือเกิน
“คุณบุษพูดถูกค่ะ” อรชรยิ้มกว้าง “คุณปราชญ์ควรเอาความรักที่มีต่อฝันไปเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างอนาคตให้ตัวเอง น้าเองก็เหมือนกัน น้าจะเอาสิ่งที่คุณบุษบอกไปทำตามด้วยคน ต่อไปจะได้ไม่ต้องมาทนทุกข์ทรมานเพราะความคิดถึงอีกแล้ว ถ้ามีบุญร่วมกันมาจริง ไม่ว่าจะอยู่ใกล้กันแค่ไหนก็ต้องได้พบเจอกันอีกครั้ง”
“ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงครับ ผมจะไปเรียนต่อตามที่คุณพ่อคุณแม่ต้องการ ผมจะให้ฝันอยู่ในใจของผมตลอดเวลา ผมจะใช้ความรักที่มีต่อเธอเป็นแรงบันดาลใจ ไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ไหนในโลกนี้ หรือไม่ได้อยู่ในโลกนี้แล้วก็ตาม แต่ผมก็จะไม่ลืมเธอ ผมจะต้องทำอนาคตของตัวเองให้ดีเพื่อความสบายใจของเธอ...ขอบคุณทุกคนมากนะครับที่ช่วยกันเตือนสติผม...ขอบคุณจริงๆ” ปราชญ์ยกมือขึ้นไหว้ประกอบคำขอบคุณ ฉีกยิ้มกว้างที่แลดูมีชีวิตชีวาให้บุพการีและอรชร ก่อนจะเหลือบมองรูปของทอฝันด้วยความคิดถึง
คนอื่นอาจจะคิดว่าทอฝันคงไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว แต่ปราชญ์จะยังไม่ยอมหมดหวัง ลางสังหรณ์บางอย่างบอกให้รู้ว่าหญิงสาวยังมีชีวิตอยู่ แต่อาจจะตกระกำลำบากด้วยสาเหตุบางประการ ถึงได้ไม่กลับมาที่บ้านเสียที…
นานเหลือเกินแล้วที่ต้องนอนอยู่บนเตียงสีขาวสะอาดและเต็มไปด้วยกลิ่นยาของโรงพยาบาล เจ้าของร่างบางขยับตัวไปมาอย่างอึดอัด โชคดีที่สายระโยงรยางค์สำหรับให้เลือดถูกถอดออกไปทั้งหมดแล้วตั้งแต่เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน ทว่าสายน้ำเกลือและสายออกซิเจนนั้นยังไม่ได้รับอนุญาตให้ถอดออก จนกว่าร่างกายจะกลับมาเป็นปกติมากกว่านี้ อย่างน้อยก็ต้องให้ระบบหายใจทำงานแบบไม่ติดขัดเสียก่อน
อุบัติเหตุในวันนั้นทำให้ทอฝันรู้สึกเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ ทันทีที่มีคนใจดีช่วยนำส่งโรงพยาบาลและเสนอตัวเป็นเจ้าของไข้ หญิงสาวก็ไม่ได้รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกนานหลายสัปดาห์ พอได้สติอีกครั้งก็พบว่าตัวเองนอนอยู่ในห้องไอซียู มีเครื่องมือกับสายอะไรต่อมิอะไรเต็มตัวไปหมด แค่ขยับตัวเล็กน้อยก็รู้สึกเหมือนว่ากระดูกแหลกไปทั้งร่าง จำต้องนอนนิ่งอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งถูกย้ายตัวมาไว้ที่ห้องผู้ป่วยพิเศษ และได้รู้ว่าอาการของตัวเองนั้นสาหัสมาก ที่รอดมาได้ถือว่าเป็นเพราะปาฏิหาริย์ล้วนๆ
ชวิน สุรกิจบวร ชายสูงวัยอายุกว่าหกสิบปีทว่าดูแข็งแรง ซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศไทย เดินเข้ามาในห้องผู้ป่วยพิเศษพร้อมกับพยาบาลสาวในฐานะเจ้าของไข้ เขาส่งยิ้มให้คนที่นอนหน้าเครียดอยู่บนเตียง แล้วเดินเข้าไปลูบศีรษะอย่างอ่อนโยน
“วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง ยังรู้สึกเจ็บปวดตรงไหนเป็นพิเศษไหมหนู” ถ้อยคำอ่อนโยนทำให้ทอฝันยิ้มกว้าง
“ไม่แล้วค่ะคุณลุง ฝันดีขึ้นมากจนอยากออกจากโรงพยาบาลแล้ว” หญิงสาวทำหน้ามุ่ย
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ลุงมาวันนี้เพื่อบอกข่าวดีนะ” ชวินเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “คุณหมอบอกว่าวันนี้จะถอดสายน้ำเกลือกับสายออกซิเจนออกให้ เพราะปอดหนูแข็งแรงขึ้นแล้ว ร่างกายไม่อ่อนเพลีย ระบบหายใจก็ทำงานตามปกติ ต่อไปนี้จะไม่ต้องทรมานเพราะหายใจไม่เต็มที่เสียที แต่อย่าเพิ่งดีใจมากนะ หนูยังไม่ได้กลับบ้านวันนี้หรอก ยังต้องอยู่ทำกายภาพบำบัดต่อก่อนอีกสองสามวัน”
“แต่ฝันอยากกลับบ้านแล้วจริงๆ นะคะ ตอนนี้ฝันจำได้แล้วว่าบ้านอยู่ที่ไหน ป่านนี้น้าของฝันคงเป็นห่วงแย่แล้วด้วย” ทอฝันยกมือไหว้ชวิน “ขอบคุณคุณลุงมากนะคะ ที่ช่วยรับผิดชอบค่าใช่จ่ายทั้งหมดให้ฝัน แต่ฝันไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ ช่วยพูดกับคุณหมอให้หน่อยเถอะค่ะ” ผลจากอุบัติเหตุทำให้ทอฝันจำเหตุการณ์ในชีวิตตัวเองไม่ได้ไปชั่วขณะ แต่ทันทีที่ร่างกายกลับมาทำงานได้ตามปกติ ความทรงจำของเธอก็ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว เริ่มจำได้เมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เองว่าชีวิตมันย่ำแย่แค่ไหน ยิ่งนึกได้ว่ายังมีอรชรรออยู่ เธอก็ยิ่งร้อนใจอยากจะกลับบ้านใจแทบขาด
“เรื่องค่าใช้จ่ายน่ะไม่ต้องเกรงใจหรอก ลุงเห็นหนูเจ็บหนักขนาดนั้นก็ต้องเข้าช่วยเหลืออยู่แล้ว น่าเสียดายจริงเชียวที่ยังจับตัวคนขับรถไม่ได้” ชวินให้การช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ส่วนหนึ่งเพราะเห็นว่าทอฝันน่าสงสาร ถูกทิ้งให้เดียวดายแล้วยังจำอะไรไม่ได้อีกในช่วงแรก แต่เหตุผลที่สำคัญอีกประการคือเมื่อได้เห็นหน้าเธอ ได้มองดวงตาเศร้าสร้อยคู่นี้ มันทำให้เขานึกถึงใครคนหนึ่งที่จากไปนานหลายสิบปีแล้ว เธอกำลังทำให้เขารู้สึกเหมือนว่าได้คนสำคัญกลับคืนมาอีกครั้ง จึงได้ให้ความเอ็นดูและช่วยเหลือมากกว่าความจำเป็น
“ไม่เกรงใจไม่ได้หรอกค่ะ อย่างไรฝันก็ต้องหาเงินมาใช้คืนคุณลุงให้ได้ แต่มันอาจจะนานหน่อยนะคะ เพราะฝันมีเงินเก็บสะสมเอาไว้ไม่ค่อยมากนัก ฝันจะหางานทำแล้วทยอยเอาเงินมาใช้คืนให้คุณลุง รับรองว่าครบทุกบาททุกสตางค์เลยค่ะ” หญิงสาวให้สัญญา
“คุณทอฝันดูจะอาการดีขึ้นอย่างที่ว่าจริงๆ นะคะ วันนี้พูดจาฉะฉานทีเดียว” พยาบาลคนสวยเอ่ยชม
“ถ้าอย่างนั้นฝันก็น่าจะกลับบ้านได้แล้วใช่ไหมคะ” ริมฝีปากบางสวยถามแล้วคลี่ยิ้มคาดหวัง
“คุณหมอเกรงว่าคุณทอฝันจะเดินยังไม่คล่องน่ะค่ะ เพราะการนอนอยู่บนเตียงนานเป็นเดือนมันทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงได้ ทางที่ดีควรอยู่ต่ออีกสักสองสามวันดีกว่านะคะ”
“แล้วถ้าผมจะขอให้นักกายภาพบำบัดไปช่วยดูแลหนูทอฝันต่อที่บ้านละ พอจะเป็นไปได้ไหมครับคุณพยาบาล เรื่องเงินไม่มีปัญหาเลยนะ ผมยินดีจ่ายค่าเสียเวลาให้อย่างเต็มที่เลย” ชวินหันมาถามบ้าง
“ดิฉันตัดสินใจเองไม่ได้จริงๆ ค่ะ อีกครู่เดียวคุณหมอก็จะขึ้นมาตรวจแล้ว เดี๋ยวดิฉันจะแจ้งให้คุณหมอทราบถึงความต้องการของคุณทอฝันและคุณชวินนะคะ บางทีคุณหมออาจจะอนุญาตก็ได้”
“ขอบคุณมากครับ” ชวินเอ่ย
“ยินดีค่ะ เดี๋ยวดิฉันขอตัวก่อนนะคะ ถ้าต้องการอะไรก็กดกริ่งเรียกได้เลยค่ะ” แล้วพยาบาลสาวในชุดสีขาวสะอาดก็แยกตัวเดินออกจากห้องไป ทอฝันมองตาม อยากให้ถึงเวลาตรวจร่างกายเร็วๆ จะได้ขอให้คุณหมออนุมัติการออกจากโรงพยาบาลให้เสียที อยู่ที่นี่ไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันหรือสูดอากาศบริสุทธิ์บ้างเลย มันอึดอัดจะแย่อยู่แล้ว
