ตอนที่ ๗ : สำนึกได้เมื่อสายไป(2)
“ทำไมหรือคะ คุณปราชญ์กับฝันไม่เคยมีเรื่องอะไรกันเลยนี่คะ” ทอฝันโกหกทันควัน
“เรารู้เรื่องที่ปราชญ์ข่มเหงหนูแล้ว เราสองคนมาที่นี่ไม่ใช่แค่มาร่วมงานศพของสุภานะ แต่เรามาขอโทษแทนลูกชายของเราด้วย” ปัญญาถอนหายใจ “ปราชญ์เข้าใจผิดเพราะได้ยินลุงกับคุณบุษคุยกันเกี่ยวกับเรื่องของหนู ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันมาจากความไม่กระจ่างชัดของเราทุกคน ลุงขอโทษนะหนูฝัน...ลุงทำให้หนูต้องมาเสื่อมเสียเพราะลุงแท้ๆ เลย”
“ใช่จ้ะ วันนี้ฉันทะเลาะกับคุณปัญ เพราะคิดว่าคุณปัญไปมีผู้หญิงอื่น คุณปัญพยายามจะอธิบายว่าสุภาเป็นแค่เพื่อนสนิทคนหนึ่ง แล้วที่พูดถึงหนูก็เพื่อจะว่าบอกหนูเป็นสิ่งเดียวที่สุภากังวลใจและเป็นห่วงมากที่สุดเท่านั้น แต่ฉันกลับไม่ยอมฟังอะไรเลย จากนั้นตาปราชญ์ก็เดินฉุนเฉียวเข้ามาในห้อง วันนั้นลูกชายของฉันแค่ได้ยินอะไรผิดๆ อย่าเกลียดชังตาปราชญ์เลยนะทอฝัน เธอรู้ไหมว่าเขารัก...” บุษรากำลังจะบอกเรื่องที่ปราชญ์รักทอฝัน แต่หญิงสาวลุกผึงขึ้นจากเก้าอี้ ตัวสั่นเทาด้วยความเสียใจ
“ฝันไม่ได้เกลียดชังอะไรคุณปราชญ์หรอกค่ะ เพราะคุณปราชญ์ดีกับฝันมาตลอด เขาเป็นคนเดียวที่คอยยื่นมือมาช่วยเหลือฝัน แต่ก็เป็นคนเดียวที่ทำให้ฝันต้องเจ็บปวดเจียนตาย ถ้าคุณทั้งสองคนมาที่นี่เพื่อขอโทษแทนลูกชาย ฝันบอกเลยนะคะว่าไม่จำเป็น เพราะฝันบอกกับคุณปราชญ์ไปแล้วว่า ถ้ารู้ความจริงว่าฝันไม่ใช่เมียน้อยของใครเมื่อไร ไม่ต้องมาขอโทษฝัน เพราะฝันยกโทษให้ไปหมดแล้ว” ทอฝันกำลังจะเดินจากไป
“เดี๋ยวก่อนสิ หนูฝัน ลุงอยากรับผิดชอบเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ นะ ลุงกับคุณบุษจะส่งเสียหนูเรียนต่อให้จบ แล้วค่อยมาพูดเรื่องอนาคตกันอีกที ไม่ว่าอย่างไรปราชญ์ก็ต้องรับผิดชอบชีวิตหนูนะ หนูฝัน” ปัญญารั้งหญิงสาวไว้ด้วยเหตุผล
“รับผิดชอบหรือคะ?” เธอหันมาทวนถามทั้งน้ำตา “คุณปราชญ์คงเสียใจแย่ ถ้ารู้ว่าคุณพ่อคุณแม่มาพูดแบบนี้กับเด็กสลัมอย่างฝัน ฝันไม่มีอะไรคู่ควรกับเขาหรอกค่ะ แล้วฝันก็ไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้รักฝันมารับผิดชอบฝันด้วย เรื่องที่เกิดขึ้นฝันจะถือเสียว่ามันเป็นแค่โชคร้าย คุณทั้งสองคนไม่ต้องกังวลใจนะคะ ฝันไม่ถือโทษโกรธใครทั้งนั้นค่ะ วางใจได้เลย” ทอฝันไม่ยอมรอฟังอะไรต่ออีกทั้งสิ้น พูดจบเจ้าของร่างบางก็เดินหนีไปหาอรชรทันที ปัญญากับบุษราอยากอธิบายว่าปราชญ์นั้นรักหญิงสาวหมดหัวใจ และที่ไม่ได้มาขอโทษด้วยตัวเองเพราะกำลังไม่สบายหนัก แต่กลับไม่มีโอกาส ด้วยถึงเวลาที่ต้องเคลื่อนย้ายศพจากศาลาขึ้นสู่เมรุเสียก่อน
ทอฝันพยายามหลบหน้าปัญญากับบุษราอยู่ตลอด ไม่อยากพูดถึงเรื่องที่ผ่านมาให้ช้ำใจอีก เมื่องานศพเรียบร้อยไปได้ด้วยดี แขกเหรื่อจึงพากันทยอยกลับบ้าน อรชรอยู่ติดกับหญิงสาวราวกับเป็นเงาตามตัว สองสามีภรรยาจึงอ่อนใจ ต้องขอลากลับเหมือนคนอื่น เอาไว้ปราชญ์ดีขึ้นแล้วค่อยบอกให้มาปรับความเข้าใจกับทอฝันเองน่าจะดีกว่า
“นี่ฝัน น้าว่าจะถามแต่ไม่มีโอกาสสักที ภรรยาคุณปัญรู้จักฝันด้วยหรือ กอดเสียแน่นเชียว” อรชรหันมาถาม
“คุณผู้หญิงเป็นคุณแม่ของคุณปราชญ์จ้ะ” ทอฝันตอบเสียงเนือย
“อ้าว ถ้าอย่างนั้นคุณปัญก็เป็นพ่อของผู้ชายร้ายกาจคนนั้นน่ะสิ!”
“ใช่จ้ะ น้าอ้อยอย่าไปเรียกเขาแบบนั้นเลยนะ ฝันไม่อยากให้เคียดแค้นกันไปไม่จบสิ้น”
“น้าพยายามปลงอยู่เหมือนกัน แต่คิดทีไรก็โมโหทุกที ถ้าน้ารู้ว่าสองคนนั่นคือพ่อแม่เขานะ น้าจะไม่ต้อนรับเลย”
“คุณปัญเขามาในฐานะเพื่อนแม่ คุณผู้หญิงก็มาในฐานะคู่ชีวิตของคุณปัญ เราไม่มีสิทธิ์ไปขัดขวางใครหรอกนะน้าอ้อย ฝันไม่อยากให้แม่คิดมาก ฝันบอกกับแม่ก่อนเผาว่าจะดูแลตัวเองให้ดี จะเข้มแข็งแล้วก็เป็นคนดีของแม่ตลอดไป จากนี้ฝันจะไม่พูดเรื่องนี้อีก ถ้าเจอคุณปราชญ์ฝันก็จะทำเป็นเฉยๆ น้าอ้อยอย่าลืมทำแบบเดียวกันนะจ๊ะ ฝันขอร้อง...อย่างน้อยเขาก็เคยดีกับฝันมาตั้งมาก ฝันไม่อยากอกตัญญู”
“ฝันไม่อยากอกตัญญู...หรือว่าฝันรักคุณปราชญ์กันแน่” อรชรถามตามตรง
“ฝัน...” หญิงสาวถึงกับนิ่งอึ้งไป “ฝันว่าเรากลับกันเถอะจ้ะ วันพรุ่งนี้ลุงสัปเหร่อบอกว่าให้มารับโกศใส่กระดูกกับเถ้ากระดูก เดี๋ยวพอรับแล้วเราก็ทำบุญให้แม่กันที่วัดนี้เลยนะจ๊ะ เสร็จแล้วค่อยเอาเถ้ากระดูกไปลอยน้ำกัน” แล้วก็รีบเปลี่ยนเรื่อง เพราะไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไรดี
“ก็ได้ลูก กลับกันเลยก็ดี ฝันจะได้นอนพักบ้าง ตื่นมาแล้วค่อยเก็บข้าวของเครื่องใช้ของแม่สุมาบริจาคที่วัดพร้อมกันพรุ่งนี้เลย ทำให้มันเรียบร้อยไปเสีย จะได้สบายใจทั้งคนเป็นและคนตาย จริงสิฝัน...จบเรื่องนี้เมื่อไร ฝันต้องเรียนต่อให้จบปริญญาตรีนะ น้ากับแม่สุคุยกันเอาไว้แล้ว”
“ฝันไม่มีเงินหรอก น้าอ้อย”
“น้าจะเป็นคนส่งเสียฝันเอง ไม่ต้องกลัวว่าจะทำให้น้าลำบากนะ น้ามันไม่มีลูกไม่มีผัว มีฝันเป็นหลานให้ได้เลี้ยงดูกันไปนี่ก็ถือว่าโชคดีแล้ว ถ้าฝันอยากตอบแทนน้า ขอแค่อย่าทิ้งให้น้าแก่ตายคนเดียวก็พอ...เข้าใจไหม” อรชรยกมือขึ้นลูบศีรษะหญิงสาวด้วยความเอ็นดู
“ขอบคุณน้าอ้อยมากจ้ะ ฝันสัญญาว่าจะไม่ทิ้งน้าอ้อยไปไหนแน่” มือเรียวพนมไหว้แทบอก สวมกอดน้าสาวที่เป็นที่พึ่งสุดท้ายความด้วยรัก หากไม่มีอรชรคอยให้ความช่วยเหลือ ชีวิตของเธอคงมืดมนมองไม่เห็นหนทางที่จะก้าวต่อ มีบางเวลาที่เหนื่อยและท้อเกินทนไหว เธอเคยแอบคิดว่าน่าจะปลิดชีวิตตัวเองให้ตายตามแม่ไปเสีย แต่พอมานึกถึงความรู้สึกของคนเป็นแม่ที่เฝ้ามองอยู่เบื้องบน เธอก็ไม่กล้าคิดอะไรเลวร้ายแบบนั้นอีกเลย
“ต่อไปนี้เรามีกันอยู่แค่สองคนแล้วนะฝัน เราต้องสู้ไปด้วยกันนะ” อรชรกอดกระชับร่างบางแน่นขึ้น
“จ้ะ น้าอ้อย เราจะสู้ไปด้วยกัน” ทอฝันผละออกจากอ้อมกอดของน้าสาว ยิ้มให้กันอย่างอบอุ่น
“จริงสิฝัน เมื่อกี้คุณปัญเขาช่วยเหลือเงินค่าทำศพมาด้วยละ น้าเพิ่งเปิดซองออกดู เป็นเช็กเงินสดถึงสองแสนบาทเลยนะ น้าคิดว่ามันมากเกินไป แต่ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี จะเอาไปคืนก็คงน่าเกลียดแย่ เพราะน้าไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับแม่สุของฝันเลย”
“สองแสนเชียวหรือจ๊ะ!” หญิงสาวดูตกใจ “เอามาให้ฝันเถอะ น้าอ้อย ฝันจะเอาไปคืนคุณปัญเอง ฝันไม่อยากให้เขาใช้เงินรับผิดชอบอะไรในตัวฝันทั้งนั้น คือ...ฝันหมายความว่าเขาก็เป็นแค่เพื่อนของแม่ เขาไม่ใช่ญาติผู้ใหญ่ของฝันเสียหน่อย ฝันเกรงใจน่ะจ้ะ”
“ถ้าอย่างนั้นน้าจะไปเป็นเพื่อนนะ เผื่อคุณปราชญ์จะมาวอแวกับฝันอีก” อรชรเสนอพร้อมยื่นซองสีขาวส่งให้จนถึงมือ
“ฝันบอกแล้วไงจ๊ะว่าอย่าพูดถึงเรื่องพวกนี้อีก น้าอ้อยเอารูปแม่กลับบ้านไปก่อนเถอะจ้ะ ฝันไปคนเดียวได้ คุณปราชญ์คงไม่มายุ่งอะไรกับฝันหรอก พี่นวลบอกว่าช่วงหลังมานี่เขาไม่ค่อยได้กลับมาที่บ้านนัก อีกอย่างฝันว่าจะไม่เอาเช็กไปคืนกับคุณปัญเองด้วย ฝันจะกดกริ่งหน้าบ้านให้พี่นวลออกมาเอาไปคืนให้แทน” หญิงสาวไม่อยากเปิดโอกาสให้ปัญญากับบุษราพูดถึงเรื่องการรับผิดชอบอะไรอีก
“ตามใจฝันแล้วกัน ขึ้นรถแท็กซี่ไปนะ จะได้ไม่เหนื่อย”
“ไม่ดีกว่าจ้ะ น้าอ้อย ฝันแค่เดินออกจากวัดไปหน่อยเดียวก็ถึงป้ายรถเมล์แล้ว ขึ้นรถเมล์ไปมันถูกกว่าเยอะเลย พอถึงก็เดินต่อเข้าไปในหมู่บ้านเอา แต่น้าอ้อยนั่งรถแท็กซี่ไปเถอะนะจ๊ะ ข้าวของพะรุงพะรังแบบนี้ฝันเป็นห่วง”
“เอาอย่างนั้นก็ได้ รีบไปรีบกลับละฝัน น้าจะรออยู่ที่บ้านฝันนะ กุญแจบ้านฝันอยู่กับน้าแล้ว เดี๋ยวน้าจะเข้าไปเก็บของของแม่สุไว้รอเลย” สิ้นคำพูดของอรชร ทอฝันก็พยักหน้ารับแล้วรีบเดินจากไปพร้อมกับซองสีขาวในมือ คนที่มองตามไปรู้สึกใจคอไม่สู้ดีนัก แต่ก็พยายามหาเหตุผลมาอ้างว่าทอฝันมีสุภาคอยตามดูแลอยู่ ฉะนั้นจะต้องไม่มีเรื่องร้ายเกิดขึ้นกับเธออีกแล้ว
ทอฝันเดินกึ่งวิ่งออกมาจนถึงหน้าวัด เจ้าของร่างเล็กเดินลัดเลาะไปตามริมถนนได้เพียงชั่วอึดใจเดียว ยังไม่ทันถึงป้ายรถเมล์ก็ได้ยินเสียงรถหลายคันบีบแตรลั่นสนั่นไปทั่วบริเวณ เมื่อหันกลับไปมองก็พบรถยนต์คันหนึ่งที่หักหลบอะไรบางอย่าง เสียหลักไต่ขึ้นมาบนริมฟุตปาธ หญิงสาวชาวาบไปทั่งตัว ก่อนจะหลับตาลง
โครม!!...
ทุกสายตาเบิกกว้างทันทีที่เห็นรถคันนั้นพุ่งชนทอฝันเข้าอย่างจัง ไม่มีเสียงหวีดร้องหรือโอกาสให้ได้ตั้งตัวด้วยซ้ำ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นรวดเร็วมาก แรงกระแทกทำให้ร่างบางลอยละลิ่วไปนอนแผ่อยู่กลางถนน เลือดกระอักออกจากปากและมีบาดแผลฉกรรจ์หลายแห่ง ท่ามกลางเสียงเอะอะโวยวายของคนบริเวณนั้น...
ปราชญ์ชะลอความเร็วของรถยนต์ลงเมื่อได้เห็นว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้น ชายหนุ่มขับรถผ่านมาโดยไม่ได้สนใจจะมองดูว่าคนเคราะห์ร้ายเป็นใคร เวลานี้หัวใจของเขากำลังพะวงถึงแต่ทอฝันคนเดียว หลังจากอาการไข้ลดลงมากพอที่จะลุกขึ้นจากเตียงได้ เขาก็รีบโทรศัพท์หาบิดาเพื่อถามว่าทอฝันอยู่ที่ไหน เมื่อได้คำตอบว่าหญิงสาวอยู่ที่วัดกำลังจะเตรียมตัวกลับบ้าน เขาก็รีบขับรถออกมาทันที น่าเสียดายที่เมื่อไปถึงแล้ว สัปเหร่อกลับบอกว่าทุกคนแยกย้ายกันกลับบ้านไปจนหมดแล้ว
ปราชญ์ไม่ได้คิดจะยอมแพ้เพียงแค่นั้น รีบขับรถดิ่งไปที่บ้านของหญิงสาวทันที หัวใจที่เต้นแรงห่อเหี่ยวลงอีกครั้ง เพราะคนที่เปิดประตูออกมาคืออรชร ไมใช่ทอฝันอย่างที่ภาวนาในใจ ชายหนุ่มยกมือไหว้ทักทายตามมารยาท แต่อีกฝ่ายกลับเบือนหน้าหนี มองแค่แวบเดียวก็รู้ว่าอรชรไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
“ทอฝันอยู่ไหมครับ ผมมีเรื่องอยากจะคุยด้วย” เขาพักเรื่องอากัปกิริยาของคนตรงหน้าไว้ก่อน ตอนนี้เพียงแค่อยากพบหน้าทอฝัน
“คุณจะมาหาฝันทำไม แค่ที่ผ่านมายังทำร้ายฝันไม่พออีกหรือ!” อรชรตั้งใจว่าจะไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก แต่สุดท้ายก็ห้ามปากไม่ได้
“น้าอ้อย...”
“ถามจริงเถอะ คุณปราชญ์ คุณเอาสมองส่วนไหนมาคิดว่าฝันไปเป็นเมียน้อยพ่อคุณ”
“ทุกอย่างมันเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดครับ”
“แล้วไอ้ที่คุณรังแกฝันนั่นมันหมายความว่าอย่างไร คุณเห็นฝันเป็นตัวอะไร! จะมาบอกแค่ว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิดอย่างนั้นหรือ...พูดแค่นี้แล้วมันทำให้ฝันเป็นเหมือนเดิมได้ไหม! คุณรู้ไหมว่าไอ้เรื่องแบบนี้มันทำร้ายจิตใจลูกผู้หญิงแค่ไหน ถ้าญาติพี่น้องของคุณมาเจอเหตุการณ์แบบนี้บ้าง...คุณจะรู้สึกอย่างไร!”
“ผมขอโทษครับที่ทำตัวเลวร้ายแบบนั้น ผมอาจแก้ไขเรื่องที่ทำให้ฝันมีมลทินไม่ได้ แต่ผมอยากมาสารภาพว่าที่ผมทำแบบนั้นก็เพราะหึงหวงจนขาดการยั้งคิด ผมรักฝันนะครับ น้าอ้อย ผมมาที่นี่เพราะต้องการรับผิดชอบในสิ่งที่ผมทำกับฝัน มันไม่ใช่การรับผิดชอบเพราะรู้สึกผิดเพียงอย่างเดียว แต่มันเป็นเพราะผมรักฝัน...รักมากด้วยครับ” ปราชญ์ชี้แจงยาวเหยียดชนิดที่อรชรไม่สามารถขัดขึ้นได้เลย
“คุณรักฝัน...คุณปราชญ์รักฝันจริงๆ หรือ” สาวใหญ่ถามด้วยสีหน้านิ่งอึ้ง
“ใช่ครับ ผมรักฝัน ผมจะแต่งงานกับฝันทันทีที่ฝันเรียนจบ คุณแม่ผมจะเป็นคนส่งเสียฝันเอง ขอโอกาสให้ผมได้พบฝันเถอะนะครับ น้าอ้อย ผมต้องทนคิดถึงและรู้สึกผิดต่อฝันมานานเป็นเดือน หัวใจผมมันทนต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ ขอร้องเถอะครับ...จะให้ผมกราบก็ได้” เจ้าของร่างสูงเอ่ยอย่างจริงจัง ก่อนจะนั่งคุกเข่าลงบนพื้น ตั้งท่าพนมมือเตรียมกราบลงแทบเท้าผู้สูงวัยกว่า
“ไม่เอานะ คุณปราชญ์!” อรชรรีบรั้งไหล่ชายหนุ่มไว้ แล้วดึงให้ลุกขึ้นยืน “ไม่ต้องทำขนาดนั้นหรอก ตอนแรกน้าก็โกรธมากที่คุณทำเลวกับฝัน แต่พอเห็นคุณเสียใจขนาดนี้น้าก็เลยโกรธน้อยลง เอาเถอะค่ะ...ในเมื่อคุณมีความจริงใจและรักฝันด้วยใจจริง น้าก็จะเอาใจช่วย คุณมาทำทุกอย่างให้มันถูกต้องน่ะดีแล้ว รู้ไหมว่าฝันเองก็คิดถึงคุณทุกวัน เวลาน้าต่อว่าคุณฝันก็มักจะห้ามเสมอ ฝันคิดว่าคุณคือผู้มีบุญคุณที่จะอกตัญญูไม่ได้ น้าดูออกนะว่ามันไม่ใช่แค่นั้น เพราะความจริงแล้วฝันเองก็มีใจให้คุณเหมือนกัน”
“จริงหรือครับ ฝันไม่ได้โกรธเกลียดผมไปแล้วหรอกหรือ” ชายหนุ่มยิ้มลิงโลด
“จริงสิ ภายนอกแสดงออกว่าไม่อยากให้พูดถึงคุณ แต่ในใจน่ะคงคิดถึงมากแน่ น้ามั่นใจ”
“ถ้าอย่างนั้นให้ผมเข้าไปพบฝันนะครับ ผมอยากปรับความเข้าใจกับฝัน”
“ฝันยังไม่กลับมาหรอกค่ะ แต่ป่านนี้คงใกล้มาแล้ว คุณปราชญ์เข้าไปนั่งรอก่อนสิคะ”
“ทอฝันไปไหนหรือครับ”
“อ๋อ ฝันเอาเช็กเงินสดจำนวนห้าแสนบาทไปคืนคุณปัญคุณพ่อคุณนั่นแหละค่ะ เงินนั่นมันมากเกินความจำเป็น ฝันก็เลยไม่อยากรับไว้ให้ต้องเป็นหนี้บุญคุณกัน” อรชรบอกพร้อมกับเดินนำเข้ามาในบ้าน จัดแจงปัดโซฟาตัวเก่าที่ฝุ่นเขรอะให้ชายหนุ่มสามารถนั่งลงได้โดยไม่เปรอะเปื้อน
“ฝันนี่ขี้เกรงใจตลอดเลยนะครับ” ปราชญ์ยิ้มอย่างนึกเอ็นดู
“ใช่ค่ะ ฝันเป็นคนมักน้อยและไม่ชอบเอาเปรียบใคร เดี๋ยวคุณปราชญ์นั่งรออยู่ตรงนี้ก่อนนะคะ น้าจะไปเอาน้ำดื่มที่ร้านมาให้ พอดีที่บ้านฝันไม่ได้ซื้อน้ำไว้เลยค่ะ ช่วงหลังมานี่ใช้ชีวิตอยู่แต่ที่โรงพยาบาลกันตลอด” สาวใหญ่บอกแล้วยิ้มเหนื่อยอ่อน
“ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มยิ้มกว้างและยังคงนั่งรออยู่ตรงนั้นอย่างมีความหวัง
ทันใดนั้นเองกรอบรูปภาพของทอฝันในชุดนักเรียนมัธยมปลายที่วางอยู่บนหลังตู้เย็นก็หล่นลงกระทบพื้น ปราชญ์ใจหายวาบ รีบลุกไปหยิบมันขึ้นมาตั้งไว้ที่เดิม โชคดีที่เป็นกรอบรูปพลาสติกมันเลยไม่แตกกระจายเป็นเสี่ยงให้เก็บกวาดยาก คราวนี้เขาดูกระวนกระวายจนนั่งไม่ติดที่นัก เวลาผ่านไปจากนาทีจนกลายเป็นชั่วโมง จากชั่วโมงล่วงเลยเข้าสู่วันใหม่ แต่ทอฝันก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะกลับมา…
..................................................................................................................................................................
