ตอนที่ ๗ : สำนึกได้เมื่อสายไป(1)
งานศพของสุภาถูกจัดขึ้นที่วัดแห่งหนึ่งอย่างเรียบง่าย คนส่วนใหญ่ที่มาร่วมงานก็มีแค่พวกที่อยู่ในละแวกเดียวกัน ทอฝันนั่งอยู่หน้าโลงศพของมารดาเพื่อคอยยื่นธูปให้แขกเหรื่อ วันนี้เธอสวมชุดกระโปรงแขนกุดสีดำยาวเสมอเข่า พาให้สัดส่วนยิ่งดูผอมบางราวกับจะปลิวลมได้มากขึ้นไปอีก ผมยาวสลวยนั้นมัดเรียบตึงเป็นพวงหางม้า ใบหน้างามขาวซีดไร้การแต่งแต้ม แต่ก็ยังมีผู้ชายหลายวัยจ้องมองอย่างชื่นชมไม่ขาดสาย
งานสวดอภิธรรมศพสองคืนแรกปัญญาไม่ได้มาร่วมงาน เขามาในคืนที่สามพร้อมกับพวงหรีดพวงใหญ่ ซึ่งอรชรเป็นคนรับมันเอาไว้แล้วกล่าวขอบคุณแทนหญิงสาว ปัญญานั่งฟังพระสวดจนถึงเวลาอันสมควรจึงขอตัวกลับ และให้สัญญาว่าพรุ่งนี้มาจะมาร่วมส่งสุภาไปยังสถานที่อันสงบสุขด้วยคน
กว่าจะกลับถึงบ้านก็เกือบสี่ทุ่มแล้ว ปัญญาแปลกใจเล็กน้อยที่วันนี้เห็นปราชญ์นอนเอกเขนกอยู่ในห้องโถง ไม่ได้ออกไปดื่มเหล้าเข้าผับเหมือนทุกวัน ชายสูงวัยที่ดูดีในชุดสูทสีดำสง่ากำลังจะเดินขึ้นห้องไปเพื่ออาบน้ำเข้านอน แต่บุษราเดินกระแทกเท้าลงบันไดสวนมาเสียก่อน
“ไหนคุณบอกว่าไม่ได้มีใครแล้วไง แล้วนี่ภาพนี้มันคืออะไรกันคุณปัญ! คุณยังแอบคบหากับนังเด็กทอฝันนั่นอยู่อีกหรือ!” ภาพถ่ายในตอนที่ปัญญาโอบกอดทอฝันอยู่หน้าห้องผู้ป่วยถูกโยนใส่หน้าแล้วร่วงลงพื้น เขามองภรรยาด้วยความไม่เข้าใจ ก่อนจะก้มลงหยิบรูปพวกนั้นขึ้นมาพิจารณาอย่างถี่ถ้วน
“นี่คุณให้คนสะกดรอยตามผมอย่างนั้นหรือ คุณบุษ!”
“ช่วยไม่ได้ คุณทำตัวไม่น่าไว้ใจเองนี่ แล้วเป็นอย่างไรละ สุดท้ายคุณมันก็เลวเหมือนเดิม!” บุษราตะโกนใส่หน้าสามี คราวนี้ปัญญาทนไม่ไหวอีก ที่ผ่านมาพยายามบอกตัวเองให้ค่อยพูดค่อยจา แต่วันนี้จะไม่มีอีกแล้ว หากคู่ชีวิตที่ยืนโวยวายอยู่ตรงหน้าไม่ยอมรับฟังความจริง เขาจะเป็นฝ่ายยุติเรื่องทุกอย่างด้วยการขอหย่าเอง เธอจะได้ไม่ต้องอยู่อย่างหวาดระแวงเพราะคนเคยชั่วอย่างเขาอีก
“เลิกบ้าได้แล้ว คุณบุษ!”
“คุณทำผิดยังกล้ามาขึ้นเสียงใส่ฉันอีกหรือ!” เสียงทะเลาะดังลั่นบ้านทำให้สาวใช้พากันออกมายืนดูเหตุการณ์อยู่เงียบๆ ปราชญ์รีบลุกจากโซฟาเพื่อจะเดินออกมาถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่สิ่งที่ได้ยินจากปากบิดาทำให้ฝีเท้าชะงักนิ่ง ก้าวไม่ออกและลืมสิ้นทุกคำพูดไปจนหมด
“กล้าสิ เพราะผมไม่ผิด! เลิกใส่ร้ายหนูทอฝันเสียที เด็กคนนั้นไม่เคยรู้จักผม ไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าผมมีตัวตนอยู่บนโลกนี้ จนกระทั่งวันที่ผมไปพบเธอที่โรงพยาบาลนั่นแหละ คนที่ผมไปหาไม่ใช่หนูทอฝัน แต่เป็นสุภาแม่ของเธอ สุภาคือนักร้องคาเฟ่ที่เปรียบเสมือนเพื่อนคนหนึ่ง ผมกับสุภาไม่เคยมีอะไรกัน ที่ผมหายไปแล้วพูดถึงหนูทอฝันในวันนั้นก็เพราะสุภาเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย มีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน แต่ก็เป็นห่วงลูกสาวเหลือเกิน...ผมแค่อยากช่วยเพื่อนของผม!” คำอธิบายที่พรั่งพรูออกมาทำให้ปราชญ์หน้าชาไปทั้งแถบ
“ฉันไม่เชื่อ!” บุษราไม่ยอมรับฟังความจริง
“วันนี้ผมเพิ่งไปงานสวดศพของสุภามา สุภาตายไปแล้ว คุณบุษ! ถ้าคุณอยากถามอะไรเพิ่มก็ตายตามแล้วไปถามกันเอาเอง ต่อไปนี้ถ้าคุณไม่เชื่อใจผมอีก ผมก็จะหย่า ไม่ใช่ว่าผมไม่รักคุณหรอกนะ แต่ผมทนไม่ได้ที่คุณกลายเป็นคนไม่มีเหตุผลขนาดนี้”
“นี่คุณพ่อ...คุณพ่อพูดความจริงหรือครับ” ปราชญ์ถามแทรกขึ้นด้วยสีหน้าตื่นตระหนกสุดขีด
“ใช่ ปราชญ์จะไม่เชื่อก็ตามใจนะ แต่พ่อพูดความจริง อย่าไปโกรธเกลียดอะไรหนูทอฝันเลย”
“มันจะไม่สายไปหน่อยหรือครับ ที่คุณพ่อมาบอกเอาตอนนี้” น้ำตาลูกผู้ชายไหลรินออกมา
“อะไรกัน ทำไมลูกถึงต้องร้องไห้ด้วย” คนเป็นพ่อยกมือขึ้นบีบไหล่ลูกชายแน่น
“ผม...ผมคิดว่าทอฝันคือคนที่ทำให้ครอบครัวเราแตกแยก ผมเลย...” เมื่อรู้ความจริงก็แทบพูดไม่ออก แต่ในฐานะที่เป็นลูกผู้ชายอกสามศอก เขาจึงต้องสารภาพบาปที่ตัวเองก่อไว้ออกมาให้หมด “ผมทำร้ายเธอเพื่อเป็นการสั่งสอนครับ ผมฉุดเธอไป...” ยังไม่ทันพูดจบร่างสูงก็ทรุดฮวบลงคุกเข่าต่อหน้าบุพการี นวล ป้าพิศและบังอรมองสบตากันด้วยความตกใจ แม้ชายหนุ่มจะพูดไม่จบประโยค แต่พอได้ยินคำว่าฉุดก็เดาออกบ้างแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น
“นี่อย่าบอกนะว่าลูกข่มเหงหนูทอฝัน!” ปัญญาหน้าซีดเผือด
“ครับ คุณพ่อ...ผมทำแบบนั้นจริงๆ ผม...ผมทำร้ายเธอเอาไว้เยอะเหลือเกิน” เขาเงยหน้าขึ้นสบตากับบิดา
“โธ่ ปราชญ์! พ่อไม่คิดเลยว่าลูกจะตัดสินคนอื่นเพียงเพราะได้ยินอะไรมาผิดๆ แบบนี้ พ่อจะอธิบายให้ฟังลูกก็ไม่ยอมฟัง สุดท้ายคนที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรเลยก็ต้องมาเดือดร้อน" ปัญญาต่อว่าลูกชาย ก่อนจะหันมาถามภรรยาด้วยความเจ็บปวด “พอใจแล้วหรือยังละ คุณบุษ ถ้าคุณยอมรับฟังผมบ้าง เรื่องมันก็คงไม่เลยเถิด คุณดีใจมากใช่ไหมที่เห็นลูกชายตัวเองกลายเป็นผู้ชายป่าเถื่อน ข่มเหงรังแกผู้หญิงที่น่าสงสารอย่างหนูทอฝัน!”
“ไม่จริงใช่ไหม ปราชญ์ ลูกไม่ได้ข่มเหงเด็กทอฝันอะไรนั่นใช่ไหม” บุษราเดินตรงมานั่งคุกเข่าตรงหน้าลูกชาย
“ผมทำลงไปแล้วจริงๆ ครับ คุณแม่” ปราชญ์ปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาโดยไม่คิดจะอายสายตาใคร “ผมมันเลวมากที่ทำแบบนั้น...ทั้งที่ทอฝันพยายามอธิบาย แต่ผมกลับไม่ยอมฟังเธอเลย ผมมันใจชั่วใจสกปรก! ผมไม่สมควรเกิดมาเป็นลูกของคุณพ่อคุณแม่เลย!” เขาเสียใจจนไม่มีเรี่ยวแรงจะยืนหยัดได้อีก ยังคงนั่งอยู่อย่างนั้นเหมือนมันจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดได้
“ปราชญ์ลูกแม่! ไม่เอานะลูก อย่าพูดแบบนี้สิ...หัวอกแม่เจ็บเจียนตายอยู่แล้วรู้ไหม” บุษราเองก็ไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำจนถึงขั้นมองข้ามเรื่องพวกนี้ไปได้ เธอเป็นผู้หญิงเช่นเดียวกันทอฝัน มีหรือที่จะไม่รู้ว่าการถูกขืนใจมันเปรียบเสมือนตราบาปที่เลวร้ายมากแค่ไหน
“ผมเสียใจครับ ผมรักทอฝัน แต่กลับไม่เชื่อใจเธอ...ไม่ยอมให้โอกาสเธอได้พูดอะไรเลย”
“ลูกไม่ต้องคิดมากนะ ในเมื่อทำผิดไปแล้วก็แค่แก้ไขมันให้ถูกต้องก็พอ” บุษราดึงลูกชายเข้ามากอดปลอบประโลม แม้ปราชญ์อายุย่างเข้ายี่สิบสี่ปีแล้ว แต่สำหรับคนเป็นพ่อเป็นแม่ ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ยังคงเห็นลูกเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ อยู่ตลอดเวลา
“มันแก้ไขอะไรไม่ได้หรอกครับ ทอฝันคงเกลียดผมไปแล้ว”
“รักหรือเกลียดมันไม่ใช่ปัญหาหรอกปราชญ์ สิ่งที่ลูกต้องทำคือไปแสดงให้เห็นว่าลูกสำนึกผิดและขอโทษเธอจากใจจริง ในเมื่อแม่ของเด็กทอฝันนั่นมาด่วนจากไปแบบนี้ ลูกก็ต้องดูแลเธอต่อในฐานะที่ลูกมีส่วนในการทำลายชีวิตเธอ แม่จะไม่สนใจเรื่องความเหมาะสมแล้วปราชญ์ ถ้าลูกรักทอฝันจริง แม่จะไม่ขัดขวางเลย...ขอแค่อย่าตัดพ้อต่อว่าตัวเองก็พอ แม่ทนไม่ไหวจริงๆ…นะลูกนะ ไปขอโทษแล้วก็ขอโอกาสจากทอฝัน แม่จะส่งเสียทอฝันให้ได้เรียนจนมหาวิทยาลัย โตกว่านี้อีกหน่อยค่อยมาพูดถึงเรื่องแต่งงานกัน...ดีไหมลูก” บุษราที่เคยดื้อดึงไม่ยอมใคร เปลี่ยนเป็นคนละคนเพียงเพราะได้เห็นน้ำตาของลูกชายหัวแก้วหัวแหวน ไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตนี้จะได้เห็นปราชญ์คุกเข่าร้องไห้ด้วยความเสียใจอย่างหนัก ยิ่งเมื่อสามีขู่ว่าจะหย่าขาดหากยังทำตัวไม่มีเหตุผล บุษราจึงต้องเลิกเอาแต่ใจตัวเองเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้
“ผมจะพยายามครับคุณแม่ พรุ่งนี้ผมจะไปหาทอฝันครับ วันนี้เธอคงวุ่นวายอยู่กับงานศพจนเหนื่อย ผมอยากให้เธอได้พักผ่อนก่อน” ชายหนุ่มใจชื้นขึ้นมาก เมื่อเห็นมารดาเปิดทางให้ ทอฝันเคยบอกว่ารักเขาด้วยเหมือนกัน ถ้าแสดงความจริงใจให้เธอเห็น คุกเข่าขอโทษจนกว่าเธอจะยอมให้อภัย เขาก็คงได้เธอกลับมาในฐานะคนรักโดยไม่ต้องปิดบังซ่อนเร้นอีก
ปัญญามองภาพที่สองแม่ลูกกอดกันแล้วถอนหายใจยาว รู้สึกโล่งอกที่อย่างน้อยบุษราก็ยอมกลับมาเป็นคนเดิมเสียที แต่ถ้าหากทุกอย่างมันไม่ง่ายอย่างที่คิดเอาไว้ละก็ ชีวิตของปราชญ์กับทอฝันจะต้องหักเหไปในทิศทางที่ไม่มั่นคงอย่างแน่นอน อีกคนต้องจมอยู่กับความรู้สึกผิด ส่วนอีกคนก็เจ็บปวดที่ถูกกระทำโดยไม่มีความผิดอะไรเลย คนเป็นพ่อได้แต่คิดอย่างกลัดกลุ้ม เพราะเรื่องบางเรื่องคำขอโทษอาจจะไม่ช่วยอะไรเลยก็ได้
ปราชญ์ตั้งใจจะไปร่วมฌาปนกิจศพของสุภา แต่โชคร้ายที่มีอาการไข้สูงจนลุกขึ้นจากเตียงนอนไม่ไหว คงเป็นเพราะไม่ได้พักผ่อนติดต่อกันนาน แล้วยังต้องมาเจอกับเรื่องราวสะเทือนใจอีก เขาเอาแต่เพ้อเรียกชื่อทอฝันด้วยความถวิลหา บุษราอยากอยู่ดูแลอาการลูกชายด้วยตัวเอง แต่ติดที่ต้องไปงานศพกับปัญญา จึงสั่งให้ป้าพิศโทรศัพท์ตามคุณหมอประจำบ้านมาตรวจอาการ แล้วให้นวลกับบังอรสลับกันคอยดูแลแทน
ทอฝันประหลาดใจมากที่เห็นบุษราเดินเคียงคู่มากับผู้ชายที่เป็นเพื่อนแม่สุของเธอ อรชรเดินเข้าไปยกมือไหว้อย่างนอบน้อม เมื่อปัญญาแนะนำว่าคนข้างกายคือภรรยาของเขา อรชรไม่ได้มีท่าทีตื่นเต้นนัก แต่ทอฝันนี่สิที่แทบเข่าอ่อน เพิ่งรู้ว่าความจริงแล้วปัญญานี่เองที่เป็นพ่อของปราชญ์ เมื่อวานบนพวงหรีดก็เขียนไว้ชัดเจนว่าจากครอบครัวราชรัชตะ น่าโมโหจริงที่เธอไม่ได้สังเกตเห็นก่อนหน้านี้
ยังไม่ทันได้มีใครพูดอะไร บุษราก็เดินเข้ามากอดทอฝันด้วยท่าทีที่แตกต่างจากเมื่อครั้งก่อนอย่างสิ้นเชิง ปัญญามองหญิงสาวแล้วสงสารจับใจ อรชรเองก็มองตาม เพราะไม่คิดว่าผู้หญิงอายุราวสี่สิบกว่าที่แต่งตัวดูมีฐานะ จะเข้ามาสวมกอดหลานสาวต่างสายเลือดของเธออย่างไม่ถือตัว
“ฉันมีเรื่องจะต้องคุยกับหนู ขอเวลาคุยกันหน่อยนะ ทอฝัน” บุษรายกมือขึ้นลูบแก้มใสที่เย็นเฉียบ
“คุณผู้หญิงมีอะไรจะคุยกับฝันหรือคะ” ทอฝันถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“เอาเป็นว่าขอเวลาให้เราได้คุยกันก็พอนะ หนูฝัน อีกไม่นานก็จะถึงเวลาเผาแล้ว เราจะไม่รบกวนหนูนานหรอก” ปัญญาพูดขึ้นบ้าง บุษราหันไปสบตากับสามีอย่างอึดอัดใจ เพราะการเริ่มต้นพูดถึงเรื่องที่น่าอดสูแบบนี้มันไม่ง่ายเลย เด็กสาวตรงหน้าคงรู้สึกแย่น่าดูที่ถูกรื้อฟื้นมันขึ้นมาอีก
ทอฝันไม่ได้พูดอะไร นอกจากพยักหน้าแล้วเดินนำออกมาจากศาลา ทั้งสามคนพากันมานั่งที่โต๊ะหินอ่อนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด บุษราบีบมือสามีแน่นเหมือนต้องการความมั่นใจ หันมาสบตากับทอฝันด้วยความละอาย เพราะเป็นอีกคนที่ทำให้เธอต้องถูกทำร้าย หากวันนั้นยอมใช้เหตุผลพูดคุยกันให้กระจ่างชัดเสีย ปราชญ์คงไม่ตีความผิดแล้วมาไล่เบี้ยเอากับคนบริสุทธิ์
“คุณผู้หญิงกับลุงปัญ...เอ่อ คุณปัญญา มีอะไรจะพูดกับฝันหรือคะ” หญิงสาวเปิดประเด็นขึ้นมาก่อน
“คือ...เราอยากพูดเรื่องตาปราชญ์น่ะจ้ะ” บุษราบอกออกมาตามตรง
