บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 10 พบกันอีกครั้ง

มัสยารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็สายมากแล้ว เพราะเมื่อคืนเธอต้องออกลาดตะเวนดูพวกตัดไม้เถื่อนจนใกล้สว่าง โชคดีที่วันนี้เป็นวันหยุด ไม่งั้นเธอคงต้องหอบสังขารที่พร้อมจะล้มลงได้ทุกเมื่อไปทำงานแต่เช้าตรู่อีกแน่

ร่างเล็กบอบบางลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินหายเข้าในห้องน้ำเพื่อชำระร่างกายให้สดชื่น เพียงไม่นานมัสยาก็อยู่ในชุดเสื้อยืดที่ดำสนิทและกางเกงยีนส์ในแบบทะมัดทะแมงของเธอเรียบร้อย หญิงสาวเดินลงมาชั้นล่างเมื่อกระเพาะของเธอเริ่มเรียกร้องหาอาหาร

“ว้า ในตู้เย็นไม่มีอะไรเหลือเลยแฮะ กินกาแฟรองท้องไปก่อนดีกว่า” มัสยาบ่นกับตัวเองตามประสาคนที่ต้องอยู่โดยไม่มีใครข้างกาย ตู้เย็นที่ว่างเปล่านั้นทำให้เธอจำต้องหันไปชงกาแฟให้ตัวเองแทน มัสยาเดินขึ้นชั้นบนเพื่อออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ที่ริมระเบียงเช่นเคย ยกแก้วกาแฟขึ้นจิบอย่างสบายอารมณ์เหมือนทุกครั้งที่ได้มายืนดูวิวทิวทัศน์ในจุดนี้

สิ่งแรกที่ทำให้เธอต้องขมวดคิ้วชนกันก็คือร่างสูงที่ยังนอนนิ่งอยู่ที่เดิม เธอเห็นเขานอนอยู่บนโขดหินนั่นมาตั้งแต่เมื่อวาน แล้วก็ไม่มีท่าทีว่าจะจากไปง่ายๆด้วย ความสงสัยในครั้งนี้ฉุดรั้งมัสยาไว้ไม่ได้เหมือนครั้งก่อน หญิงสาวยกกาแฟขึ้นดื่มรวดเดียวก่อนจะเดินลงมาชั้นล่างเพื่อมุ่งหน้าไปหาจุดหมายทันที ไม่ลืมที่จะคว้าปืนคู่ใจที่มีไว้ยามจำเป็นมาถือไว้ด้วย

เสียงฝีเท้าที่ดังใกล้เข้ามาทำให้ร่างสูงที่นอนซมเพราะพิษไข้ขยับตัวเบาๆ ริมฝีปากหยักลึกที่ซีดเซียวเผลอขึ้นเล็กน้อยเหมือนกำลังต้องการความช่วยเหลือ มัสยาเก็บปืนสั้นเหน็บไว้ข้างเอวทันทีที่เห็นร่างสูงนั้นกำลังนอนสั่นอยู่ เธอค่อยๆเอื้อมมือไปเขย่าตัวเขาเบาๆ เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับจึงถือวิสาสะยกมือขึ้นแตะหน้าผากทั้งที่ชายคนนั้นยังคงนอนตะแคงหันหลังให้เธออยู่

“เฮ้ย ตัวร้อนเป็นไฟเลย” มัสยาชักมือกลับเพราะไม่คิดว่าอุณหภูมิในตัวเขาจะสูงขึ้นขนาดนี้ เธอจับเขาหันหน้าเข้ามาหาแต่แล้วก็ต้องถึงกับตาค้างไปเมื่อเห็นใบหน้าซีดเซียวนั้นอย่างชัดเจน

“นายเพชร!” เสียงเรียกของมัสยาทำให้เขาพยายามหรี่ตามองอย่างงุนงง ไม่คิดว่าที่นี่จะมีคนรู้จักชื่อของเขา เพทายหลับตาลงอีกครั้งเพราะพิษไข้ แต่ในใจก็ยังพะว้าพะวงถึงใครคนหนึ่งอย่างสุดหัวใจ

แต่ทว่ากลับนึกไม่ออกสักที...ว่าใครคือเธอคนนั้น

มัสยานั่งเหม่อลอยอยู่บนโซฟาเพียงลำพัง ตอนนี้เธอมีสิ่งที่ต้องครุ่นคิดมากเหลือเกิน การที่ได้พบกับเพทายทำให้เธอรู้สึกทั้งดีใจและตกใจไปพร้อมๆกัน เธอพยายามสืบเสาะหาเขามาตลอดสองปีก็เพราะเป็นห่วง กลัวว่าเขาจะได้รับอันตราย แต่ก็ไม่เคยได้ข่าวคราวของเขา ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะได้เจอเขาง่ายดายทั้งที่ยังไม่ได้ออกตามหาแบบนี้

“หนาว ผมหนาว...” เสียงแหบแห้งที่ดังขึ้นทำให้มัสยาสะดุ้งตื่นจากความเหม่อลอย รีบตรงเข้าไปหาร่างสูงที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงทันที ตัวของเพทายยังร้อนมากอยู่เหมือนเดิมทั้งที่เธอให้ยาลดไข้และเช็ดตัวให้เขาไปแล้วตั้งหลายครั้ง

“เพชร นายเป็นยังไงบ้าง” มัสยาก้มหน้าลงกระซิบเบาๆข้างหูเขา

“หนาว ผมหนาวเหลือเกิน” เสียงที่ตอบกลับมาดูระโหยโรยแรงเต็มทน มัสยาตัดสินใจโทรตามหมออธิปทันทีเพราะกลัวว่าอาการของเขาจะทรุดมากลงไปกว่านี้ เธอใช้ผ้าห่มผืนใหญ่หลายผืนคลุมร่างของเขาเอาไว้แต่เพทายก็ยังคงบอกว่าหนาวอยู่ดี

“พี่หมอคะ เร็วเข้าเถอะค่ะ ท่าทางเขาจะไม่ไหวแล้ว” มัสยารีบร้อนบอกหมออธิปทันทีที่ออกไปเปิดประตูรับ หมออธิปเป็นหนึ่งในหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ของที่นี่ มัสยาเองก็รู้จักและสนิทสนมกับเขาพอสมควรเพราะมีหลายครั้งที่ต้องพึ่งพากัน

หมอหนุ่มหน้าตาหล่อเหลารีบรุดไปดูอาการของเพทายด้วยความแปลกใจ รู้สึกสงสัยว่าเขาเป็นใครแล้วทำไมถึงมาอยู่ในห้องนอนของมัสยาแบบนี้ แต่ถ้าหากจะถามเธอตอนนี้ก็คงไม่เหมาะนัก นั่นก็เพราะอาการของเพทายดูแย่มากอย่างที่มัสยาบอกจริงๆ เขามีไข้สูงมากและแน่นอนว่ามันค่อนข้างอันตราย บนภูเขาแห่งนี้มีป่าไม้หนาทึบล้อมรอบ บรรยากาศโดยรอบจึงค่อนข้างเย็นและชื้นมาก เพทายควรจะได้อยู่ในที่ที่อบอุ่นแต่มีอุปกรณ์การแพทย์พร้อมมากกว่านี้

“หยก พี่ว่าเราน่าจะพาเขาไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลในตัวเมืองนะ เขาคงเป็นไข้ป่าน่ะ ตัวเหลืองมากเลยด้วย ถ้ารอช้ากว่านี้เขาอาจจะเกิดภาวะไตวายหรือชักหมดสติได้นะหยก” หมออธิปชี้แจง แต่เขาเองก็รู้ดีว่ากว่าจะไปถึงโรงพยาบาลเพทายอาจจะแย่เสียก่อน เพราะการเดินทางเข้าไปในตัวเมืองนั้นต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสามชั่วโมง

“พี่หมอคะ พี่หมอน่าจะรู้นะว่าเรารอช้ามากกว่านี้ไม่ได้อีก กว่าจะไปถึงโรงพยาบาลใหญ่เขาจะไม่แย่ไปก่อนเหรอคะ”

“ถ้างั้นเราก็ต้องทำให้เขาอบอุ่นมากกว่านี้ ยาที่พี่เอามาด้วยคงช่วยเขาให้ดีขึ้นได้ถ้าร่างกายของเขาไม่มีปฏิกิริยาต่อต้านยาตัวนี้ แต่ถ้าเขาไม่ดีขึ้นภายในครึ่งชั่วโมง เราจำเป็นต้องพาเขาไปโรงพยาบาลใหญ่นะหยก” หมออธิปเสนอทางออกอีกทาง มัสยาพยักหน้าเร็วๆเพื่อเร่งให้เขารีบทำตามอย่างที่พูด

หมออธิปจัดแจงจุดไฟในเตาผิงให้ลุกโชนแรงกว่าในเวลาปกติ มัสยารู้สึกดีใจอยู่ไม่น้อยที่บ้านไม้เรือนไทยหลังนี้ถูกสร้างขึ้นตามสไตล์ยุโรป เตาผิงจึงถือเป็นสิ่งสำคัญที่เธอขาดไม่ได้ในช่วงฤดูหนาว มัสยาคอยเช็ดตัวให้เพทาย ในขณะที่หมออธิปจัดยาให้เขากินและคอยเช็คอาการอยู่เป็นระยะ

เพทายรู้สึกดีขึ้นมากเมื่อได้รับความอบอุ่นเพียงพอ ยาที่ได้รับทำให้เหงื่อไหลโทรมกาย ลำคอที่เคยแห้งผากแทบก็ชุ่มชื้นขึ้นเยอะเพราะหยาดน้ำอุ่นๆถูกส่งผ่านเข้ามาทุกครั้งที่เขาร้องขอ ในที่สุดหมออธิปและมัสยาก็ยิ้มออกมาได้อีกครั้งเมื่ออุณหภูมิในร่างกายของเขาลดลงมาอยู่ในระดับเกือบปกติ เพทายหลับสนิทไปอีกครั้งทำให้มัสยาพอมีเวลาออกไปคุยกับหมออธิปเป็นการส่วนตัวบ้าง

“ขอบคุณมากนะคะพี่หมอ ถ้าไม่ได้พี่หมอเขาคงแย่แน่ๆ” มัสยาเอ่ยขอบคุณจากใจจริงทันทีที่ยืนอยู่กับหมออธิปที่ระเบียงด้านนอก

หมออธิปส่งยิ้มบางเบาให้เธอแทนคำตอบ ในใจว้าวุ่นอย่างหนักเกี่ยวกับเพทายเพราะเขาไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นถามถึงความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ยังไง ยิ่งเห็นมัสยามีท่าทีห่วงใยเพทายมากแบบนี้ หมออธิปก็ยิ่งใจหายมากขึ้น

หมออธิปแอบชอบมัสยามาตั้งแต่ที่เธอย้ายมาทำงานที่นี่เมื่อสองปีก่อนแล้ว ความเป็นผู้หญิงที่เด็ดเดี่ยวและเอาจริงเอาจังในทุกเรื่องๆของเธอทำให้เขาประทับใจ หมออธิปถอนหายใจเฮือกใหญ่พร้อมกับเหม่อมองท้องฟ้าที่มีดวงดาวประดับอยู่เต็มไปหมด

“พี่หมอเป็นอะไรรึเปล่าคะ หยกว่าวันนี้พี่หมอดูเครียดๆนะ” มัสยาอดถามไม่ได้เมื่อเห็นสีหน้าคล้ายกังวลของหมออธิป

“เปล่าหรอกครับ พี่แค่มีเรื่องต้องคิดนิดหน่อยน่ะ” หมออธิปตอบบ่ายเบี่ยงไปเพราะไม่อยากพลั้งปากถามเรื่องส่วนตัวของเธอ

มัสยาส่งยิ้มให้กำลังใจเขาก่อนจะขอตัวเข้าไปดูเพทายอีกครั้ง หมออธิปเดินเข้าห้องตามมาอย่างเงียบๆจึงทันได้เห็นมัสยานั่งลงข้างเพทายพร้อมกับยกมือของเขาขึ้นแนบแก้ม เพียงเท่านี้เขาก็พอจะเดาออกทุกอย่างออกแล้ว หมอหนุ่มยิ้มให้กับความผิดหวังของตัวเองก่อนจะผละจากมาอย่างเงียบกริบ

ดุจดาวนั่งกอดเข่าอยู่ในห้องเช่าหลังน้อยของตัวเองอย่างเหม่อลอย หยาดน้ำตาคลอเอ่ออยู่เต็มตาแต่ทว่ายังไม่ได้ไหลลงอาบแก้ม จิตใจระส่ำระส่ายและหวั่นไหวอย่างหนักเพราะเหตุการณ์เมื่อคืนทำให้เธอกลัวที่จะอยู่คนเดียวอีกต่อไป

ตั้งแต่เรียนจบเธอก็สามารถอยู่และทำอะไรคนเดียวมาได้โดยตลอด แต่หลังจากเหตุการณ์น่ากลัวที่เกิดขึ้นเมื่อคืน มันก็ทำให้เธอรู้ว่าตัวเองคงทนอยู่คนเดียวด้วยความหวาดระแวงต่อไปไม่ได้อีกแล้ว อัมพิกาเองก็มัวแต่เอาเวลาไปขลุกอยู่กับภพธรรม ทำให้ไม่มีเวลามาใส่ใจเพื่อนที่เคยได้ชื่อว่าสนิทที่สุดอย่างเธอ

แต่แล้วเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นเหมือนผู้มาเยือนจะร้อนรนอะไรสักอย่าง ดุจดาวสะดุ้งอย่างตกใจเพราะร้อยวันพันปีไม่เคยมีใครมาหาเธอ นั่นก็เพราะว่าไม่มีใครรู้ว่าเธออยู่ที่นี่เลยสักคน หญิงสาวผุดลุกขึ้นพร้อมกับถอยหลังกรูด ไม่ลืมที่จะคว้าไม้กวาดมาถือไว้ในมือแน่น

“ดาว เปิดประตูเร็วๆหน่อย ผมจะแย่แล้วนะดาว” เสียงคุ้นหูร้องบอกเมื่อประตูบานสีขาวยังคงปิดสนิท ดุจดาวจำเสียงของคนที่เธอแอบเฝ้าฝันถึงได้เป็นอย่างดีจึงรีบเปิดประตูห้องให้เขา และแทบจะในทันทีที่ภพธรรมรีบแทรกร่างสูงใหญ่เข้ามาในห้องของเธอ ทำให้เขารอดจากอะไรบางอย่างที่กำลังไล่ตามมาติดๆ

“คุณภพ คุณเป็นอะไรไปคะ มีคนจะทำร้ายคุณใช่ไหม” ดุจดาวละล่ำละลักถามเพราะสีหน้าของภพธรรมดูหวาดหวั่นมากนัก หญิงสาววางไม้กวาดในมือลงที่เดิมเมื่อเห็นชัดแล้วว่าผู้ที่มาเยือนนั้นไม่ใช่บุคคลอันตราย

“แค่เกือบไปน่ะครับ ผมคิดว่าก้นตัวเองจะไม่เหลือชิ้นดีแล้วซะอีก” ภพธรรมตอบตามตรงแต่ทำให้คนร่างเล็กถึงกับอ้าปากค้าง

“หา! นี่คุณวิ่งหนีพวกไม้ป่าเดียวกันมาเหรอคะ” คำพูดของดุจดาวทำให้ภพธรรมนิ่งไปก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกดังลั่น ดุจดาวรู้สึกงุนงงกับท่าทางของเขามาก แต่ว่าก็รอคอยคำตอบโดยไม่ได้เป็นฝ่ายถามขึ้นก่อน

“คุณนี่ตลกชะมัดเลย ผมไม่ได้หมายความแบบนั้นสักหน่อย...ที่ผมพูดถึงน่ะหมายถึงหมาต่างหากล่ะ ซอยบ้านคุณนี่มีแต่หมาดุๆเต็มไปหมดเลย ถ้าผมวิ่งหนีไม่ทันคงโดนงับก้นแน่” ภพธรรมอธิบายยาวหลังจากกลั้นหัวเราะเอาไว้ได้สำเร็จ ดุจดาวไม่แสดงสีหน้าหรือท่าทางบ่งบอกอะไร เธอทรุดตัวนั่งลงบนพื้นห้องตามเดิมก่อนจะปิดหน้าร้องไห้อย่างหนัก ภพธรรมเองก็ถึงกับทำอะไรไม่ถูกเพราะไม่รู้ว่าดุจดาวเป็นอะไรไป

“เป็นอะไรไปดาว คุณโกรธผมหรอ” ภพธรรมถามพร้อมกับนั่งลงข้างเธอ

“ดาว...พูดกับผมสิ ถ้าคุณไม่พอใจที่ผมหัวเราะคุณผมก็ขอโทษนะ ผมไม่รู้ว่าคุณจะโกรธขนาดนี้” ภพธรรมยังคงเอ่ยต่อเมื่อเห็นร่างบางยังนั่งร้องไห้อยู่ ดุจดาวเงยหน้าขึ้นสบตาเขา ดวงตาของเธอแดงก่ำและดูหวาดหวั่น หญิงสาวโผเข้าไปกอดเขาเอาไว้แน่นทันที

“ดาวกลัวคะ ดาวไม่กล้าอยู่คนเดียวอีกแล้ว ดาว...”

“อย่าเพิ่งพูดอะไรเลยดาว ผมเข้าใจทุกอย่างดี แล้วที่ผมมาหาคุณวันนี้ก็เพราะเรื่องนี้แหละ” ภพธรรมขัดขึ้นพลางยกมือขึ้นลูบศีรษะของเธออย่างปลอบโยน ดุจดาวผละออกจากอ้อมกอดของเขาอย่างนุ่มนวล ใบหน้ากลายเป็นสีชมพูระเรื่อจนภพธรรมอดเอ็นดูไม่ได้

“คุณหมายความว่าไงคะ แล้วคุณรู้ที่อยู่ของฉันได้ยังไง” ดุจดาวยกมือขึ้นปาดน้ำตาพร้อมกับรีบเปลี่ยนเรื่องพูด

“ถ้าผมอยากรู้มันก็ไม่ได้ยากนักหรอกนะ คุณอย่าใส่ใจเลย ที่ผมมาหาคุณวันนี้ก็เพราะอยากให้คุณไปทำงานกับผม ผมหาที่อยู่แล้วก็งานในบริษัทเอาไว้ให้แล้ว” ภพธรรมบอกเธออย่างละเอียดเมื่อเห็นใบหน้างามยังเต็มไปด้วยความพิศวง

“ดาวคงไม่ปฏิเสธนะ แต่ถึงจะปฏิเสธผมก็จะไม่ปล่อยให้ดาวอยู่คนเดียวอีกหรอก มันอันตรายเกินไป”

“แต่ว่า...”

“ไม่มีแต่หรอกดาว เก็บของเถอะ เราต้องรีบเข้าบริษัทกันแล้ว” ภพธรรมตัดบทเมื่อเห็นดุจดาวทำท่าคล้ายจะคัดค้าน

“เดี๋ยวสิคะ ดาวยังไม่รู้เลยนะว่าพอจะทำงานอะไรในบริษัทของคุณภพได้บ้าง” ดุจดาวร้องถามเมื่อเห็นร่างสูงกำลังดึงกระเป๋าเสื้อผ้าออกมาจากตู้เก็บของของเธอ ภพธรรมหันมาส่งยิ้มให้เธอพร้อมกับส่ายหน้าน้อยๆ

“ดาวกับอ้อเรียนบริหารธุรกิจมาเหมือนกันนี่ แล้วทำไมดาวจะเป็นเลขาของผมไม่ได้ล่ะ”

“คุณว่าไงนะ เลขางั้นเหรอคะ ไม่ได้นะคะ...ดาวทำไม่ได้เด็ดขาด” ดุจดาวร้องเสียงหลงเมื่อได้ยินที่เขาพูดเต็มสองหูอย่างชัดเจน

“ทำไมล่ะดาว คุณจบทางด้านนี้มาโดยตรงนี่นา แล้วทำไมถึงคิดว่าตัวเองจะทำงานนี้ไม่ได้ล่ะครับ” ภพธรรมดูจะงงอยู่ไม่น้อยที่ได้ยินคำพูดของดุจดาว

“ดาวไม่ได้หมายความว่าทำงานไม่ได้หรือทำไม่เป็นหรอกนะคะ แต่มันคงดูแปลกๆแน่ที่จู่ๆก็ได้ไปทำงานในบริษัทยักษ์ใหญ่ของคุณ ทั้งที่ที่ทำงานเก่าก็เป็นแค่สำนักงานเล็กๆเอง แล้ว...”

“เรื่องแค่นี้ไม่เห็นจะต้องซีเรียสเลยดาว ลืมไปแล้วเหรอว่าคุณเป็นเพื่อนสนิทของแฟนผม แล้วก็เป็นเพื่อนของผมด้วย เรียนจบไปแค่สองปีก็ลืมกันแล้วหรอเนี่ย น่าน้อยใจจัง” ภพธรรมพูดพลางปรับสีหน้าให้ดูเหมือนว่ากำลังน้อยใจจริงๆ

“ไม่เลยนะคะคุณภพ ไม่มีวันไหนเลยนะคะที่ดาวจะไม่คิดถึงคุณ...” ทันทีที่ได้ยินประโยคนี้ภพธรรมก็เงยหน้าขึ้นมองเธอทันที ดุจดาวนึกอยากกัดปากตัวเองให้ขาดนักที่พูดจาอะไรออกมาตรงๆแบบนี้

“เอ่อ...ก็เราเป็นเพื่อนกันนี่คะ เพื่อนจะลืมเพื่อนได้ยังล่ะคะ จริงไหม” ภพธรรมยิ้มให้ดุจดาวแทนคำตอบแต่สายตาของเขาก็ไม่อาจละไปจากใบหน้าของเธอได้ หญิงสาวจึงเป็นฝ่ายเลี่ยงไปเก็บข้าวของยัดใส่กระเป๋าที่เขาเอามาวางไว้หน้าตู้เสื้อผ้าแทน

การพบกันในรอบสองปีครั้งนี้ทำให้ภพธรรมรู้สึกประหลาดในหัวใจเหลือเกิน ดุจดาวทำให้เขารู้สึกว่าเธอเป็นเหมือนอะไรบางอย่างที่จะปล่อยให้อยู่ห่างสายตาไม่ได้อีก เขารู้สึกแบบนี้มาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว มันคงเป็นเพราะดุจดาวดูบอบบางและใสซื่อกระมัง เธอต่างจากอัมพิกาที่ดูเร่าร้อนโฉบเฉี่ยวและมีความเป็นตัวของตัวเองสูงมากและมันก็ทำให้เขาไม่มีโอกาสได้ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลได้บ่อยนัก แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็รักเธอ อัมพิกาเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ยึดครองพื้นที่ในหัวใจของเขาไปจนหมด

หัวใจของเขา...ไม่มีที่ว่างเหลือให้ใครแล้วจริงๆ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel