บทที่ 14
โชตินำความผิดหวังมารายงานเจ้านายตั้งแต่เช้าตรู่ เพราะตอนที่มีคนร้ายบุกรุกขึ้นมาในเรือนใหญ่ กล้องวงจรปิดทุกตัวไม่สามารถใช้งานได้เลย เพราะมีใครคนหนึ่งจงใจเข้าไปในห้องควบคุมเพื่อตัดสัญญาณ นั่นทำให้วิเคราะห์ได้ว่าชายปริศนาที่กล้าคิดทำเรื่องชั่ว น่าจะเป็นคนคุ้นเคยของที่นี่ ถึงได้รู้จักทางเข้าออกและห้องหับต่างๆ ในเรือนใหญ่เป็นอย่างดี
“ผมเดาไม่ออกจริงๆ ครับว่าใครที่กล้าทำแบบนี้ เล่นบุกขึ้นมาบนเรือนใหญ่เลยทีเดียว ถือว่ากล้าหาญสุดๆ เลยนะครับนาย ไม่เกรงกลัวลูกปืนของพวกบอดี้การ์ดเลย” โชติพึมพำแล้วยกนิ้วขึ้นแตะที่ปลายคางอย่างครุ่นคิด ร้อยวันพันปีไม่เคยเกิดเรื่องแบบนี้มาก่อน จู่ๆ เมื่อรินนาราปรากฏตัว กลับมีพวกบ้ากามยอมเสี่ยงขึ้นมาหมายจะเอาเปรียบเธอเสียให้ได้
“คิดว่ามีใครบ้างล่ะที่บ้าผู้หญิงอย่างหนัก ถึงขั้นเห็นคนสวยแล้วอดใจไม่อยู่ ต้องงัดสันดานดิบเถื่อนออกมาใช้ ฉันมั่นใจว่ามันต้องเป็นคนที่เราคุ้นเคย เพราะมันรู้ทางหนีทีไล่เป็นอย่างดีทีเดียว” อาชาไม่ได้ขอความเห็น แต่กำลังชวนให้คิดอย่างมีเหตุผล ใบหน้าหล่อเหลายามนี้ดูเครียดหนัก เพราะหลักฐานที่พอจะช่วยให้รู้ตัวคนร้ายได้ ไม่มีอะไรเลยสักอย่าง
“แหม นายครับ นายเองก็น่าจะรู้ คนงานส่วนใหญ่มันก็บ้าผู้หญิงเหมือนกันหมดนั่นแหละ โดยเฉพาะไอ้พวกที่ยังไม่มีเมียเป็นตัวเป็นตน งั้นคงไม่มีบางคนแอบเอาเรือออกไปหาอีตัวบนฝั่งนู้นอยู่บ่อยๆ หรอกครับ”
“หมายถึงตัวเองด้วยหรือเปล่าวะโชติ” ชายหนุ่มแสร้งเย้า แต่สีหน้ากลับราบเรียบไร้ความขบขัน
“อย่าเหมารวมผมสิครับนาย ผมมีเมียแล้วนะ อีกอย่างผมก็ไม่เคยมีเรื่องผู้หญิงด้วย ถ้าเป็นอย่างไอ้เจตน์ก็ว่าไปอย่างมันร้ายใช่ย่อยเสียที่ไหนกันครับ” คนสนิทหนุ่มเพียงแค่ยกตัวอย่างขึ้นมาขำๆ ไม่คิดว่าคำพูดนี้จะทำให้ทั้งตัวเขากับเจ้านาย ชะงัก ก่อนจะหันมามองสบตากันโดยไม่ได้ตั้งใจ
เจตน์เป็นคนเดียวที่มีเรื่องฉาวโฉ่เกี่ยวกับผู้หญิงมากที่สุด ย้ำว่ามากเสียจนอาชาเบื่อที่จะได้ยินด้วยซ้ำ หลังจากถูกเรียกมาตำหนิและคาดโทษอย่างเด็ดขาด ถึงได้เริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น และแม้ว่าจะไม่มีเรื่องเกี่ยวกับผู้หญิงเข้าหูอาชาอีกเลยในช่วงเกือบปีที่ผ่านมา แต่นั่นก็ไม่ได้การันตีว่าเจตน์จะเลิกนิสัยเจ้าชู้ชีกอไปแล้ว
“เมื่อคืนแกกับไอ้เจตน์มาด้วยกันได้ยังไง” ฟังจากน้ำเสียงพบว่ามีความคาใจอย่างชัดเจน
“นังคะนิ้งมันไปตามผมที่บ้านพักครับ ตอนที่ผมกำลังออกมาที่นี่ก็เจอไอ้เจตน์เข้าพอดี มันบอกว่านอนไม่หลับเลยออกมานั่งสูบบุหรี่ที่หน้าบ้านน่ะครับ พอได้ยินที่นังคะนิ้งบอกว่าเกิดเรื่องที่เรือนใหญ่ มันเลยขอตามผมมาด้วย” โชติเล่าพลางนึกย้อนไปเมื่อคืน พอคะนิ้งบอกเรื่องที่เกิดขึ้น เขาก็รีบผลุนผลันออกมาทันที จังหวะนั้นเองที่เห็นเจตน์ยืนสูบบุหรี่อยู่ตรงหน้าบ้านพักของตัวเอง
บ้านพักคนงานที่นี่ อาชาออกแบบให้เป็นบ้านไม้หลังเล็กกะทัดรัด เรียงรายเป็นทิวแถวกันอย่างได้สัดส่วน ไม่ใช่แค่ห้องพักธรรมดาทั่วไป เพราะชายหนุ่มให้ความสำคัญกับคนงานทุกคนมาก อยากให้ได้อยู่กันอย่างสะดวกสบายและเป็นครอบครัว บ้านพักของโชติจะอยู่ใกล้เรือนใหญ่มากที่สุด ถัดไปก็เป็นของเจตน์และคนงานอื่นๆ ตามลำดับ
ตอนแรกเจตน์พักอยู่กับป้ามะลิบนเรือนใหญ่ แต่เมื่อเริ่มคิดว่าอยากได้อิสระ รวมถึงอยากอยู่ให้ห่างจากการดุด่าตักเตือนของมารดา จึงขอแยกตัวออกไปอยู่ที่บ้านพักข้างนอกเหมือนคนงานปกติทั่วไป อาชาไม่ได้คิดจะขัดข้องความต้องการนั้น เพราะการที่เจตน์ออกไปจากเรือนใหญ่เสีย นั่นก็ถือว่าเป็นเรื่องดีสำหรับคะนิ้งและสาวใช้คนอื่นๆ จะได้ไม่มีเรื่องเสื่อมเสียเกิดขึ้นให้ต้องหนักใจอีก
“มันใส่เสื้อหรือเปล่า” อาชาพยายามหาข้อพิสูจน์ว่าคนเมื่อคืนใช่เจตน์อย่างที่สงสัยหรือไม่
“ใส่สิครับ เพราะอากาศตอนกลางคืนค่อนข้างเย็น” โชติตอบด้วยความมั่นใจ และจำได้ดีด้วยว่าฝ่ายนั้นสวมเสื้อยืดสีขาวขนาดพอดีตัวกับกางเกงผ้าขายาวสีเทา “บางทีอาจจะเป็นมัน แต่ก็อาจจะไม่ใช่ก็ได้เหมือนกัน บอกตามตรงนะครับว่าผมไม่กล้าฟันธง เดี๋ยวจะกลายเป็นว่าใส่ความคนเคยทำผิดอีก” ก่อนจะออกความเห็นอย่างเป็นกลาง
