บท
ตั้งค่า

บทที่ 15

ลุยซ์เดินทางกลับมายังเมืองไทยด้วยหัวใจที่ปวดหนึบจนชา ยังไม่ได้คิดเลยว่าจะบอกกับบิดาอย่างไร แต่เชื่อว่าหนทางข้างหน้าจะต้องยากเย็นแน่นอน ตลอดทางที่นั่งเครื่องบินจากสเปนมาจนถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ชายหนุ่มไม่ยอมหลับตาลงพักผ่อนแม้แต่วินาทีเดียว เขาครุ่นคิดถึงสิ่งที่มารดาทำกับผู้เป็นพ่อ รวมทั้งกับครอบครัวของโดโรธี ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งเกลียดผู้ให้กำเนิด ถ้อยคำที่นมถวิลพยายามใช้กล่อมเกลาจิตใจ เริ่มเลือนหายไปทุกขณะ จนตอนนี้ลุยซ์แทบไม่มีสิ่งยึดเหนี่ยวอีก

ชายหนุ่มสวมแว่นตาสีดำกับแมสก์ปิดปากเพื่อซ่อนดวงตากับจมูกที่แดงเรื่อไว้ไม่ให้ใครเห็น สายตาหลายคู่มองมาอย่างสนใจ เพราะจากท่าทางและหุ่นสูงเพรียวสะดุดตา ทำให้ผู้คนพากันคาดเดาไปอย่างส่งเดชว่าเขาน่าจะเป็นดาราต่างประเทศที่พรางตัวมาเที่ยวเมืองไทยอย่างเงียบๆ บางคนถึงกับถือวิสาสะถ่ายรูปเขาไว้เลยด้วยซ้ำ แต่ลุยซ์ไม่สนใจผู้คนรอบกาย ก้าวอาดๆ เดินออกมาจากประตูของสนามบิน มุ่งหน้าไปยังลานจอดรถที่จอดทิ้งเอาไว้เสียหลายวัน ขณะที่กำลังเดินอยู่ในบริเวณนั้น สายตาก็เหลือบไปเห็นชายชราคนหนึ่งกำลังทรุดตัวลงบนพื้น มีอาการหอบหายใจแรง เหงื่อกาฬแตกพลั่กไปทั่วใบหน้า

“คุณลุง!”

ลุยซ์ปรี่เข้าไปหาทันที เสียงเรียกที่ค่อนข้างดังของเขา ทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งที่มีรูปร่างบอบบางหันขวับไปมอง เจ้าหล่อนสวมเสื้อยืดรัดรูปสีดำกับกางเกงยีนสีเดียวกัน บนไหล่มีกระเป๋าสะพายใบใหญ่คาดเอาไว้ เมื่อเห็นคนต้องการความช่วยเหลือ สัญชาติญาณการเป็นพยาบาลก็ทำให้เธอตั้งท่าจะเข้าไปช่วย

แต่ดูเหมือนหนุ่มหล่อร่างใหญ่จะทำหน้าที่นั้นก่อนแล้ว เธอจึงชะงักฝีเท้าแล้วคอยดูอยู่ห่างๆ เผื่อว่าอีกฝ่ายจะต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติม ช่วงเวลาที่อยู่ในระหว่างการหลบหนีอย่างนี้ การยุ่งเรื่องของคนอื่นมากๆ อาจเป็นภัยแก่เธอเอาได้

ลุยซ์ถอดแว่นตาเหน็บไว้ที่กระเป๋าเสื้อแล้ววางกระเป๋าสัมภาระลงบนพื้น ช่วยคลายกระดุมเสื้อของคุณลุงออก ค้นในกระเป๋าของตัวเองเพื่อหาพิมเสนออกมาจ่อที่จมูก เขามักพกมันติดตัวเสมอเพื่อไว้ใช้เวลาถูกแมลงกัดต่อยตอนที่อยู่ในฟาร์ม คนที่นอนราบอยู่บนพื้นเริ่มรู้สึกตัว ดวงตาที่หรี่ปรือเริ่มเปิดกว้างขึ้นและกะพริบถี่ๆ

“นี่มัน...เกิดอะไรขึ้นเหรอพ่อหนุ่ม” ชายชราถามเสียงแผ่วระโหย

“คุณลุงเป็นลมไปน่ะครับ อากาศก็ไม่ร้อน ออกจะเย็นด้วยซ้ำ นี่คุณลุงกินข้าวมื้อสุดท้ายตอนไหนครับ”

เขาคุ้นเคยกับอาการพวกนี้ดี เพราะทั้งนมถวิลและบิดามักเป็นอยู่บ่อยๆ เวลาเบื่ออาหารแล้วรับประทานน้อยมากจนร่างกายขาดน้ำตาลในเลือด

“ลุงยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่...เช้า”

เสียงที่เอ่ยออกมาฟังดูอดสู ลุยซ์มองสำรวจชั่วครู่และพอรู้สาเหตุ

“ถ้างั้นลุงนั่งรอผมก่อนนะครับ เดี๋ยวผมจะไปซื้ออะไรมาให้กิน ห้ามหายไปไหนนะ ไม่งั้นลุงก็จะไปเป็นลมที่อื่นอีก มาครับ...ลุกขึ้นเถอะ เดี๋ยวผมช่วยเอง”

ชายหนุ่มอาสาอย่างมีน้ำใจ ก่อนจะช่วยประคองคุณลุงให้ไปพักอยู่ที่ม้านั่งตัวยาวบริเวณนั้น ส่วนตัวเขารีบเดินกึ่งวิ่งแยกไปอีกทาง

นัทชาลอบมองแล้วยิ้มเพ้อฝัน เธออยู่ไกลเกินกว่าจะได้ยินคำพูดของเขา แต่เดาว่าเขาคงพยายามสื่อสารแบบงูๆ ปลาๆ เพราะดูแล้วน่าจะไม่ใช่คนไทย เขาเพิ่งเดินออกมาจากสนามบิน ดูแล้วคงเป็นชาวต่างชาติที่มาเที่ยวเมืองไทยบ่อยๆ เพราะดูทะมัดทะแมงมั่นใจอยู่ตลอดเวลา

คนอะไร...ใจดีอย่างกับพ่อพระแน่ะ!

แม้จะอยากอยู่ต่ออีกหน่อยเพื่อรอชื่นชมใบหน้าของคนใจดีให้ชัดๆ แต่นาฬิกาบนข้อมือกำลังบอกว่าถึงเวลานัดหมายแล้ว ทำให้เธอต้องรีบไปพบกับพี่ชายของเพื่อน ซึ่งตอนนี้รออยู่ตรงท้ายลานจอดรถ

หญิงสาวถอนหายใจอย่างเสียดาย ขยับกระเป๋าให้มั่นคงบนไหล่ แล้วสาวเท้ายาวๆ เดินผ่านรถมากมายที่จอดเรียงรายกันเป็นระเบียบ สายตามองหาป้ายทะเบียนรถของคนที่จะช่วยพาเธอไปส่งที่ภูเก็ต แล้วก็พบมันจอดอยู่ตรงมุมหนึ่งที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน

ผู้ชายที่เป็นพี่ชายของเพื่อนกำลังยืนสูบบุหรี่พิงประตูรถด้านคนขับอยู่ ลักษณะภายนอกที่เห็นทำให้ฝีเท้าของเธอชะงักกึกโดยไม่ตั้งใจ

เขาเป็นคนตัวใหญ่และมีผิวสีเข้ม หนวดเครายาวเฟิ้มบนใบหน้าบ่งบอกถึงการปล่อยทิ้งไว้มากกว่าสามเดือน ผมที่ยาวปะบ่าและมัดรวบเป็นพวงอยู่ตรงท้ายทอย ยุ่งเหยิงจนเธอแทบแยกไม่ออกว่าอันไหนคือหนวด และอันไหนคือผมของเขากันแน่

“นั่นใช่น้องน่านไหมจ๊ะ” เขาเหลือบมาเห็นเธอยืนจ้องแบบไม่กะพริบตาจึงถามขึ้นพร้อมแยกยิ้มเป็นมิตร

“อ่า...ใช่ค่ะ พี่เป็นพี่ชายของน้ำผึ้งเหรอคะ?”

นัทชาถามเพื่อความแน่ใจ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel