บทที่ 15
ไม่มีใครเอ่ยถามอะไรจี้ใจอีก นอกจากกระซิบถ้อยคำปลอบประโลม ศ.ดร.อนุสรณ์ปล่อยร่างที่สั่นเทาน้อยลงแล้ว ให้ไปอยู่ในอ้อมแขนของภรรยาแทน ไม่ต้องบอกเขาก็พอรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงออกจากห้องโถงไปพร้อมกับลุงเหมี่ยวและเด็กรับใช้รูปร่างผอมสูงที่ชื่อประสาน ไม่ลืมขึ้นไปบนห้องเพื่อถือปืนพกติดตัวไปด้วย เรียบร้อยแล้วจึงพากันมุ่งหน้าไปยังบ้านของขวัญชนกเพื่อจัดการกับปัญหาพวกนี้ให้จบสิ้นเสียที
หลังจากปล่อยให้ขวัญชนกได้ร้องไห้จนสบายใจแล้ว พิมพ์ประภัทรก็จัดการเช็ดเลือดที่มุมปากและทายาให้ มือบางบีบแน่นบนมือของเพื่อนสาวอย่างให้กำลังใจ พิมพ์พรรณคอยคะยั้นคะยอให้ขวัญชนกดื่มโกโก้ที่ร้อนและหวานจนหมด ความร้อนที่แผ่ซ่านในกระแสเลือดทำให้เนื้อตัวของเธอเริ่มมั่นคงจนกลายเป็นนิ่งสนิท ในที่สุดก็พร้อมเอ่ยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“ลุงชาติบอกว่าจะไม่ดื่มเหล้าแล้ว แต่ก็กลับมาในสภาพเมามายพอสมควร ขวัญขึ้นไปดูบนห้องแต่ไม่พบลุง จู่ๆ ลุงก็โผล่มาจากด้านหลัง” คนเล่าเว้นระยะเมื่อรู้สึกเหมือนมีก้อนแข็งๆ มาจุกอยู่ตรงลำคอ
“เขาเหวี่ยงขวัญลงบนเตียง ต่อยท้องขวัญจนขวัญแทบขยับตัวไม่ได้ เขาพยายามจะล่วงเกินขวัญ ขวัญแกล้งทำเป็นนอนนิ่ง แต่พอได้โอกาสขวัญก็กัดลิ้นเขาจนเลือดไหลท่วมปาก เขาตบหน้าขวัญจนชาไปหมด”
“คุณพระช่วย!” พิมพ์พรรณอุทานด้วยความตกใจ
“ก่อนวิ่งหนีมาขวัญเอาโคมไฟฟาดหัวเขาจนเลือดโชก ขวัญจะต้องติดคุกไหมคะ” แล้วร่างบางก็สั่นเทิ้มอีกครั้ง “ตอนที่ขวัญออกมา บางทีเขาอาจจะเสียเลือดจนตายไปแล้วก็ได้ ขวัญ...ขวัญกำลังจะกลายเป็นฆาตกร” เสียงของเธอแหบพร่า สีหน้าแววตาดูน่าสงสารจับใจ
“ไม่หรอกขวัญ ขวัญทำเพื่อปกป้องตัวเอง มันไม่ได้เกินกว่าเหตุไปสักหน่อย พี่เชื่อนะว่ามันจะไม่มีอะไรเลวร้ายหรอก คนเลวอย่างนายวรชาติคงดวงแข็งพอสมควร ไม่มาตายง่ายๆ ด้วยเรื่องแค่นี้หรอกจ้ะ” พิมพ์นาราคิดว่านี่คงเป็นการปลอบโยนที่ดีที่สุดในเวลานี้
ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบงันอีกครั้ง จนกระทั่งหลายนาทีให้หลัง ศ.ดร.อนุสรณ์กับคนอื่นๆ ถึงกลับมาในห้องโถง สีหน้าของผู้สูงวัยเต็มไปด้วยความกราดเกรี้ยว ประสานลากกระเป๋าเดินทางสีสดของขวัญชนก ที่เจ้านายสั่งให้หิ้วติดมือมาด้วยวางลงบนพื้น
“เป็นยังไงบ้างพ่อ” พิมพ์พรรณรีบถามสามี
“พ่อไปถึงไอ้สารเลวนั่นมันก็ไม่อยู่ในห้องแล้วล่ะแม่ เห็นแต่รอยเลือดกับโคมไฟที่แตกอยู่บนพื้น พ่อก็เลยเดินดูไปทุกห้อง เห็นกระเป๋าเดินทางใบนี้อยู่ในห้องที่มีรูปของขวัญตั้งอยู่ พ่อเลยให้ประสานเอาติดมือมาด้วย พ่อจะไม่ให้ขวัญอยู่บ้านหลังนั้นต่อไปอีกแล้ว มาอยู่ที่นี่กับพวกเราดีที่สุด” หัวหน้าครอบครัวชาติศิลาสรุปโดยไม่สนใจจะถามความเห็นของขวัญชนกอีก
วรชาติกลายเป็นคนเลวร้ายที่กู่ไม่กลับแล้ว จากนี้ไปคงต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของชะตากรรม ในฐานะผู้ใหญ่คนหนึ่งที่เห็นขวัญชนกเติบโตมาพร้อมกับลูกสาวของตัวเอง เล่นด้วยกันทุกวันเหมือนเป็นพี่น้องร่วมสายเลือด จนทำให้เกิดความผูกพันขึ้นในสายตาเขากับภรรยา เขาจึงไม่อาจปล่อยให้เธอไร้ที่พึ่งพาได้
“แล้วพ่อจะแจ้งความไหมคะ” พิมพ์นาราถามอย่างสงสัย
“อันนี้ก็คงต้องแล้วแต่ขวัญ ขวัญคิดว่ายังไงลูก” ศ.ดร.อนุสรณ์หันไปสบตากับเจ้าทุกข์
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ขวัญไม่อยากให้มันเป็นเรื่องใหญ่ ถึงยังไงขวัญก็คงไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับลุงชาติแล้ว ปล่อยแกไปตามยถากรรมดีกว่าค่ะ” หญิงสาวเอ่ยทั้งน้ำตา แล้วยกมือกระพุ่มไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสอง “ขวัญขอบคุณคุณพ่อมากนะคะที่ยินดีช่วยเหลือขวัญ ขวัญคงรบกวนสักพัก แต่ทันทีที่หางานทำได้แล้ว ขวัญจะรีบหาที่อยู่ใหม่ ขวัญจะไม่รบกวนทุกคนนานเกินความจำเป็นหรอกค่ะ”
“พูดอะไรแบบนั้นขวัญ หนูอยู่ที่นี่ได้นานเท่าที่ต้องการ ไม่ต้องมาคิดเรื่องย้ายออกหรอก หนูก็เหมือนคนในครอบครัวนี้อยู่แล้วนะจ้ะ” แม่ของพิมพ์ประภัทรแย้ง “แม่ว่าอย่าเพิ่งคิดอะไรมากเลย ไปพักผ่อนขึ้นข้างบนเถอะนะลูก ป่านนี้อิ๋งกับแหนมคงเตรียมห้องให้เรียบร้อยแล้ว”
“เดี๋ยวพริมกับพราวจะพาขวัญขึ้นไปเองค่ะแม่” พิมพ์นาราว่าแล้วขยับตัวลุกขึ้น ดึงมือขวัญชนกให้ลุกจากโซฟา แล้วโอบแขนไปรอบไหล่บางอย่างปลอบประโลม
พิมพ์ประภัทรเองก็บีบมือเพื่อนสาวเสียแน่น ไม่อยากเห็นความหวาดกลัวบนใบหน้าของขวัญชนก เหมือนอย่างที่เคยเห็นเมื่อสองปีก่อนอีก แต่เธอคิดว่าคงต้องใช้เวลาสักพัก เพราะความจริงที่ว่าลุงแท้ๆ คิดร้ายกับหลานสาวตัวเองได้ลงคอ คงทำให้หัวใจเจ็บปวดจนเกินจะเยียวยาได้ในทันที
สองพี่น้องนั่งรออยู่ตรงโซฟาตัวยาวที่วางอยู่ทางปลายเตียงนอน นั่งสบตากันเงียบๆ ระหว่างรอคอยให้ขวัญชนกอาบน้ำให้สบายตัว หลังจากนั้นก็อยู่คุยเป็นเพื่อนต่ออีกจนนาฬิกาบอกเวลาสี่ทุ่ม ทุกคนถึงย้ายแยกย้ายกันเข้านอน พิมพ์นาราลูบแก้มน้องสาวเบาๆ ก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง พิมพ์ประภัทรถอนหายใจกับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น มันคงเลวร้ายยิ่งกว่านี้ถ้าขวัญชนกหนีออกมาไม่ทัน
