บทที่ 14
บนเตียงและภายในห้องว่างเปล่า ไร้วี่แววคนเมาเหมือนกับส่วนอื่นของบ้าน หญิงสาวกลั้นหายใจพลางครุ่นคิด แต่แล้วคำตอบก็โผล่พรวดมาทางด้านหลัง มือหยาบกร้านของวรชาติโอบรอบเอวเล็กไว้ แล้วเหวี่ยงล้มไปบนเตียงอย่างไร้ความปราณี ร่างบางใช้แขนประคองตัวเองขึ้น ตั้งท่าจะคลานหนีไปอีกด้านของเตียง ทว่าปลายเท้าถูกดึงไว้แน่นแล้วลากให้กลับมานอนแผ่ตามเดิม
“อย่าแม้แต่จะคิดเลย ขวัญหนีลุงไม่พ้นหรอก” เขาแสยะยิ้มเหี้ยม ขณะทอดร่างลงมาทาบทับไว้
“อย่านะลุงชาติ! ขวัญเป็นหลานแท้ๆ ของลุงชาตินะ ลุงชาติจะทำอะไรทุเรศๆ แบบนี้ไม่ได้!” ขวัญชนกตะเบ็งเสียงใส่หน้า ดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวาดหวั่นเข้มขึ้น สองมือที่ถูกตรึงอยู่ข้างศีรษะพยายามบิดหนีให้พ้นจากการเกาะกุม แต่คนที่ดื่มเหล้าย้อมใจเข้าไปจนเต็มที่นั้นมีพละกำลังมากมายกว่านัก
“ลุงกับหลานแล้วยังไงวะ นี่มันสมัยไหนแล้ว พี่น้องกันยังแต่งงานกันเองเลยก็มี” เหตุผลที่หลุดออกมาจากปากที่คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นเหล้าทำเอาหญิงสาวกัดฟันแน่น “ไปอยู่เมืองนอกเมืองนามา คงเสียตัวให้ไอ้พวกฝรั่งตาน้ำข้าวไปแล้ว จะมาทำหวงอะไรกันขวัญ อยู่บ้านเดียวกัน มีอะไรก็แบ่งกันกินสิ”
“เลวที่สุด! ลุงพูดแบบนี้ออกมาได้ยังไง” เธอตะคอกลั่น
“หยุดพูดมากได้แล้ว เก็บเสียงไว้ครางเวลาลุงพาเธอขึ้นสวรรค์ดีกว่า หึหึ” แล้วใบหน้าน่ากลัวก็ลดต่ำลงมาคลอเคลียที่ซอกคอหอมกรุ่น
ขวัญชนกกรีดร้องเสียงแหลมเกินกว่าที่วรชาติจะคาดคิด ด้วยความกลัวว่าจะมีคนได้ยินเข้า แล้วมาขัดขวางตอนกำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม เขาจึงปล่อยหมัดฮุกเข้าที่หน้าท้องเรียบเนียน ทำเอาเธอจุกเจ็บจนพูดไม่ออก ได้แต่น้ำตาไหลออกมาเงียบๆ
วรชาติยิ้มกริ่มอย่างผู้ชนะ สองมือลูบไล้ไปตามเรียวแขนขาวเนียนของหลานสาว ประคองใบหน้าสวยใสไว้ในอุ้งมือหยาบช้า ขวัญชนกกัดริมฝีปากแน่นเมื่อเขาพยายามบดจูบเธอ รู้สึกขยะแขยงเสียจนอยากกลั้นใจตายไปให้รู้แล้วรู้รอด เธอนอนหอบหายใจแรงด้วยโทสะทั้งหมดที่บังเกิดขึ้นในหัวใจ ในเมื่อผู้เป็นลุงไม่เห็นว่าเธอคือหลานสาว มันก็ไม่มีความจำเป็นที่เธอจะต้องเห็นแก่เขาอีก ต่อให้กลายเป็นฆาตกรฆ่าลุงตัวเองในวันนี้ เธอก็ไม่คิดจะเสียใจ
ชายแก่มากตัณหาครางฮือในลำคอ เมื่อสาวน้อยได้ร่างยอมนอนนิ่งอย่างศิโรราบ ริมฝีปากของเธอเผยอออกเพื่อต้อนรับจุมพิตของเขา แต่นั่นเป็นการคาดผิดไป ขวัญชนกไม่ได้ยินดีที่จะจูบตอบคนสารเลว แต่เธออ้าปากแล้วใช้ฟันงับลงบนลิ้นน่าขยะแขยงของเขาเกือบเต็มแรง
“โอ๊ย! นังบ้า!” วรชาติผงะถอยห่าง ตวัดฝ่ามือฟาดลงบนพวงแก้มขาวเนียนสุดแรงจนมุมปากมีเลือดซึม ก่อนจะถอยร่นออกไปด้วยความเจ็บปวด แม้ลิ้นของเขาจะยังคงอยู่ในปาก แต่มันก็น่าจะเกิดแผลใหญ่ทีเดียว เลือดถึงได้หลั่งรินออกมามากมายขนาดนี้
ขวัญชนกไม่ยอมปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอย เธอพลิกตัวถลาลงจากเตียงนอน คว้าโคมไฟฟาดซ้ำเข้าไปตรงหัวของวรชาติ จนเห็นเขาล้มลงไปนอนครางด้วยความเจ็บปวด หญิงสาวปาดน้ำตาออกจากแก้ม รีบวิ่งตัวปลิวออกจากห้องแล้วรัวเท้าลงบันไดไป มันเป็นครั้งแรกที่คิดว่าสามารถวิ่งได้เร็วที่สุดและมั่นคงที่สุด ปลายทางไม่ใช่ที่ไหนอื่นไกล นอกจากบ้านอันอบอุ่นของครอบครัวชาติศิลาที่ยินดีต้อนรับเสมอ
มือเล็กรัวกดกริ่งหน้าบ้านด้วยหัวใจที่บอบช้ำและหวาดกลัว สายตามองไปอีกทางอย่างระแวง กลัวว่าวรชาติจะตามมาสานต่อเรื่องสกปรกนั้นให้จบ แล้วยัดเยียดเธอให้จมอยู่กับตราบาปอันน่าขยะแขยงไปจนวันตาย คนที่เดินมาเปิดประตูคือศ.ดร.อนุสรณ์ ซึ่งกำลังเดินเล่นอยู่ในสวนหน้าบ้านพอดี
ตอนแรกชายชราก็ยิ้มแย้มอย่างต้อนรับ แต่พอเห็นสภาพไม่สู้ดีของสาวรุ่นลูก จึงรีบเลื่อนประตูเปิดแล้วอ้าแขนรับร่างอันสั่นเทานั้นอย่างรวดเร็ว
“คุณพ่อ! ฮือๆๆ...ช่วยขวัญด้วย!” วงแขนเรียวรัดรอบเอวหนาแน่นมาก
“เกิดอะไรขึ้นขวัญ ใครทำร้ายลูกแบบนี้” บิดาของพิมพ์ประภัทรถาม ยกมือขึ้นลูบศีรษะเล็กที่ซุกอยู่ตรงอกอย่างพยายามปลอบโยน เสียงเอะอะของทั้งสองคนดึงคนที่เหลือในบ้านให้ออกมาดู พิมพ์นาราขมวดคิ้ว พอประเมินได้ในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นกับขวัญชนก ในขณะที่พิมพ์ประภัทรทำตาโตแล้วรีบวิ่งเข้าไปหาเพื่อนรัก
“ขวัญ! ใครทำร้ายเธอ” คำถามเดียวกันหลุดออกมาอีก
“พาขวัญเข้าไปข้างในก่อนเถอะพ่อ อย่าเพิ่งถามอะไรตอนนี้เลย ขวัญคงยังตกใจอยู่” พิมพ์พรรณเดินมาสมทบด้วยคน พิมพ์นาราแยกตัวกลับเข้าไปในบ้านเพื่อสั่งให้อิ๋งกับแหว๋วช่วยขึ้นไปเตรียมห้องสำหรับขวัญชนก แล้วก็ช่วยหาอะไรที่อุ่นและหวานให้เธอดื่มคลายความตระหนก
ศ.ดร.อนุสรณ์โอบร่างเล็กของคนที่เอ็นดูเหมือนลูกสาวอีกคนเข้าไปข้างใน ประคองเธอนั่งลงบนโซฟาตัวยาวในห้องโถง ขวัญชนกยังคงร้องไห้สะอึกสะอื้น เจ็บปวดเหลือคณากับสิ่งที่ผู้เป็นลุงทำลงไป
เธอคิดว่าชีวิตนี้คงไม่สามารถทำใจมองหน้าเขาได้แล้ว คงถึงเวลาตัดขาดกันให้จบสิ้นเสียที เธอยอมเป็นคนที่ไม่เหลือใคร ดีกว่าต้องใช้ชีวิตด้วยความหวาดระแวง จนในที่สุดก็พลาดท่าเข้าสักวัน
